GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "Dark Souls"
ผู้กำกับ Dark Souls เผย ที่เกมยาก เพราะเขาอยากโดนแบบในเกม!!
ในรายการ Game no Shokutaku ที่เป็นรายการ podcast ของทางฝั่งญี่ปุ่น ได้มีตอนหนึ่งที่ Hidetaka Miyazaki ผู้กำกับของเกม Dark Souls ไปออกรายการซึ่งบทสัมภาษณ์นี้ถูกนำไปพูดถึงอีกครั้งผ่านบัญชี Twitter ของ @_7albi โดยเขาทวิตบทสัมภาษณ์ฉบับภาษาอังกฤษ พร้อมข้อความว่า “บทสัมภาษณ์ของคนสร้าง Dark Souls ช่วยบอกพวกเราเป็นอย่างดีว่าทำไมเกมตระกูล Souls ถึงได้ยากมากถึงขนาดนั้น” โดยในบทสัมภาษณ์ ทางพิธีกรได้ถามถึงแรงบันดาลใจในการสร้างเกมสไตล์ยากสุดโหดหินเอาไว้ว่า “ระหว่างการพัฒนาตัวเกม ทีมของพวกคุณยิ้มไปพลางขณะที่คิดว่าผู้เล่นจะต้องตายยังไงบ้างไหม?”ด้าน Miyazaki ได้ปฏิเสธทันควัน พร้อมกับตอบกลับว่า “สำหรับผมมันไม่ใช่แบบนั้นนะ ผมเคยได้รับคำถามแบบนี้จากสื่อต่างประเทศเหมือนกัน คำตอบของผมคือ ไม่! ทำไมพวกคุณถึงทำตัวซาดิสต์กันจัง”Miyazaki ยังกล่าวอีกว่า “ผมไม่รู้เกี่ยวกับทีมงานคนอื่นหรอกนะ แต่ผมค่อนข้างจะเป็นมาโซคิสต์ (พวกที่ชอบถูกกระทำ) ตัวพ่อเลยล่ะ เพราะฉะนั้นในตอนที่ผมสร้างเกมนี้ ผมคิดเอาไว้ว่าผมอยากโดนแบบนี้กับตัวเองนั่นแหละ”ซึ่งทางพิธีกรอย่าง Isomura และ Moruhashi ยังได้ถามต่อ “จริงเหรอ? คุณอยากตายอยู่ในป่าลึก หรือถูกจู่โจมโดยเห็ดยักษ์เนี่ยนะ? คุณอยากโดนห่าฝนของลูกธนูยิงตายงั้นเหรอ?”แน่นอนว่าทาง Miyazaki ยังคงยืนยันคำเดิม “ใช่แล้ว มันต้องมีความสุขมากแน่เลย ผมอยากจะโดนแบบเน้น ๆ เลยล่ะ” ดูเหมือนว่ามาโซคิสต์ตัวพ่อคนนี้จะสร้างเกมออกมาสนองกิเลสตัวเองได้ตรงใจกับเกมเมอร์ทั่วโลกมากมายเลยล่ะครับ เพราะยอดขายของเกมตระกูล Souls ที่ทำได้ในตอนนี้นั้น ปาเข้าไปถึง 27 ล้านชุดแล้วแหล่งข้อมูล: thegamerscreenrant
16 Dec 2021
Elden Ring วิเคราะห์ข้อมูลจาก Trailer พร้อมสรุปสิ่งที่เราน่าจะได้เห็นในเกม!
ในงาน E3 2021 และ Summer Game Fest ได้มีการประกาศเปิดตัว รวมถึงเผยข้อมูลข่าวสารของเกมน่าสนใจมากมาย ทั้งที่มีกำหนดจะขายหลังจากนี้ชัดเจนแล้ว และที่มาเพียงแค่เปิดตัวให้โลกได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ แม้งานจะจบไปได้ 2 อาทิตย์แล้ว แต่ยังคงมีควันหลง หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลเกมที่มาโชว์ในงานอยู่ตาม Socia Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Twitter. Facebook หรือ Reddit ซึ่งหนึ่งในเกมที่ได้รับความสนใจสุดๆ ก็คือ Elden Ring เกม ARPG ใหม่จากทาง From Software อาจจะเพราะด้วยความกระหายข้อมูลใหม่ที่มีมานานของแฟนๆ จึงทำให้ตัวเกมยังคงถูกพูดถึงอยู่ แม้งานจะจบไปแล้ว บวกกับข้อมูลเกมชุดใหม่ที่คุณ Hidetaka Miyazaki เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ และการได้ทราบวันวางจำหน่ายหลังจากเฝ้ารอมานานด้วยที่ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับ Elden Ring ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่เกมเมอร์หลายคนให้ความสนใจกันอยู่ในตอนนี้ ตัวผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นเต้นกับผลงานใหม่จาก From Software นี้มากๆ วันนี้จึงอยากขอแสดงความคิดเห็น รวมถึงความคาดหวังเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะได้พบในผลงานใหม่ชินนี้ว่าด้วยคอนเซ็ปต์ ธีม และโทนสีที่ผ่านมาเกมที่คุณ Hidetaka Miyazaki เป็นผู้กำกับดูแลด้วยตัวเอง มักมีธีมหม่นๆ ให้เราผจญภัยในสถานที่ปิดอย่างคุกใต้ดิน, ปราสาทขนาดใหญ่, เมืองที่ล่มสลาย, หรือต่อให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เวลาของสถานที่นั้นก็มักจะเป็นตอนกลางคืน หรือไม่ก็มีท้องฟ้าที่อยู่โทนสีตอนเย็นไปจนก่อนรุ่งอรุณ ขนาดผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro ที่น่าจะเป็นเกมซึ่งผู้เล่นได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์มากที่สุด ก็ยังมีการใช้สีเทาในการแต่งแต้มท้องฟ้าให้ออกมาดูหม่นๆ อย่างไรก็ตาม Sekiro ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างจะแตกต่างจาก 5 ผลงานแรกของเราอย่าง Demon's Souls, Dark Souls 1 - 3 และ Bloodborne มากอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ถูกเล่าให้เข้าใจง่ายมากขึ้น เกมเพลย์ที่สามารถเคลื่อนที่แบบ 3 มิติได้ หรือกระทั้งความเร็วของการต่อสู้ กับรูปแบบการเล่น ที่เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการทดลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งมันก็ได้รับเสียบตอบรับที่ดีจากผู้เล่นที่นี่จากบทสัมภาษณ์ของ IGN ที่เคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึง Trailer ล่าสุดที่ปล่อยออกมาในงาน Summer Game Fest มันทำให้เรารู้ว่าธีมของเกมใหม่นี้ จะกลับไปใช้เซ็ตติ้งอาวุธ ชุดเกราะตะวันตกแบบเดียวกับตระกูล Souls แต่ไม่ได้เอาความมืดมิดอันเป็นเอกลักษณ์มาด้วย ซึ่งคุณ Miyazaki ได้เลือกที่จะใช้ธีมแสงออกไปทางสว่างมากขึ้นแบบเดียวกับ Sekiro (สังเกตได้จากแสงอาทิตย์และแสงจากต้นไม้ขนาดยักษ์ ซึ่งทำให้โลกของเกมดูสว่าง) จึงอาจกล่าวได้ว่า ผลงานใหม่นี้เป็นการรวมเอาเสน่ห์ของเกมตระกูล Souls กับ Sekiro เข้าไว้ด้วยกันทีนี้ว่าจากคำบอกเล่าของคุณ Miyazaki เราจะยังคงได้เห็น เวทมนต์ ความตาย กองทัพผีดิบ รวมถึงปีศาจขนาดยักษ์อยู่ในเกมนี้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้รับการยืนยันทั้งจากปากของผู้พัฒนาเอง และตัวอย่าง คือเหล่าปีศาจจาก Cthulhu Mythos (ปีศาจหัวปลาหมึก หรือปีศาจหนวดๆ) ที่มักจะเห็นได้ในทุกๆ เกมของเขา ซึ่งเอาจริงๆ ผู้เขียนอยากเห็นอะไรแบบนี้อีกในผลงานจาก From Software เพราะมันช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีจริงๆ โดยในผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro แทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับ Cthulhu Mythos อยู่เลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าคาดหวังที่จะได้เห็นปีศาจเหล่านั้นอีกในเกมใหม่นี้ว่าด้วยเนื้อเรื่องประกาศออกมาพร้อมๆ กับเปิดตัวเกมเลยว่าเนื้อเรื่องของเกม Elden Ring จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Miyazaki และ George RR Martin ผู้แต่ง Game of Thrones แถมยังหน้าตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อเราได้รับการยืนยันว่า วืธีการเล่าเรื่องของเกมนี้จะเป็นแบบเดียวดั้งเดิม คือไม่เล่าตรงๆ แต่ให้ผู้เล่นไปทำความรู้จักกับโลกภายในเกมเอาเอง ผ่านการพูดคุยกับ NPC และคำอธิบายไอเทม ซึ่งล่าสุดหน้าเว็บไซต์ของเกมได้มีการเล่าเนื้อเรื่องคร่าวๆ ของเกมไว้ด้วยElden Ring จะกล่าวถึงอาณาจักรที่ชื่อว่า The Lands Between มี Erdtree ต้นไม้สีทอง ซึ่งเป็นแหล่งพลังของวงแหวน Elden Ring สูงตระหง่านอยู่ตรงใจกลาง อาณาจักรแห่งนี้ถูกปกครองโดย Queen Marika the Eternal โดยพลังของเธอคาดว่าเชื่อมโยงกับ Elden Ring ไม่มากก็น้อย ส่งผลให้ลูกๆ ของเธอถูกเรียกว่า Demigods หรือครึ่งเทพ แต่จุดสิ้นสุดของยุคที่รุ้งเรื่องได้มาถึงเมื่อ Elden Ring ถูกทำให้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ผลึกที่แตกออกมานี้ถูกเรียกว่า Elden Rune ซึ่งผู้ที่ครอบครองมันจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่มา จนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแย่งชิง Elden Rune ระหว่าง Demigod ขึ้น เกิดเป็นความบ้าคลั่งในตอนที่วงแหวน Elden Ring ถูกทำลายมันก็ได้ทำให้แสงสว่างของ Erdtree ส่องสว่างนำทางให้กับ Tarnished นักรบไร้ชื่อที่เคยถูกเนรเทศออกไปจาก The Lands Between ได้หวนคืนสู่อาณาจักร เพื่อรวบรวมเศษชิ้นส่วน Elden Rune จากเหล่า Demigod และเมื่อทำสำเร็จ The Tarnished จะได้กลายเป็น Elden Lord คนถัดไป ซึ่งอ่านๆ ดูแล้วจะสังเกตได้ว่ามีความใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 มากๆอีกหนึ่งคำถามที่เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนให้ความสนใจ คือประเด็นเรื่อง "ความเชื่อมโยง" ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยนำเสนอทฤษฎีความเป็นไปได้ของการที่ Demon's Soul, Dark Souls และ Bloodborne อยู่ในจักรวาลเดียวกัน และอยู่บน Timeline ที่ต่อเนื่องกัน ส่วนความเชื่อมโยงกับ Sekiro ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าอาจเป็นประเทศทางตะวันออก ซึ่งโผล่มาแค่จากคำบอกเล่าของ NPC ภายในเกมตระกูล Souls มาโดยตลอด ดังนั้นมันจึงน่าสนใจไม่น้อยเลยหาก Elden Ring เองจะเชื่อมโยงกับเกมอื่นๆ ของ From Software ด้วยแต่ไม่ว่าเนื้อเรื่องของเกมใหม่นี้จะเป็นยังไงสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม คือมันจะกล่าวถึงโลกที่กำลังล่มสลาย อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ IGN ในช่วงปี 2019 "Elden Ring ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ได้มีความหมายอะไรที่เกี่ยวกับแหวน แต่มันคือ 'วงกลม' อันเป็นองค์ประกอบที่ลึกลับและเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างโลก เป็นกฎเกณฑ์และจังหวะของโลก แต่อย่างที่เห็นในตัวอย่างแรก มันได้เริ่มพังทลายลงจากบางสิ่ง"เรื่องราวเกี่ยวกับการล่มสลาย หรือการพังทลายของอะไรบางอย่าง มักเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในเกมของ From Software เสมอ มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ Elden Ring เอง อาจเป็นโลกอีกหนึ่งใบที่มีความเกี่ยวข้องกับเกมที่ผ่านๆ มาของทางค่าย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่แน่ว่า Elden Ring อาจเป็นเรื่องราวก่อน / หลัง หรือโลกแห่งภาพวาดอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครสักคนในจักรวาลของ Darks Souls ซึ่งมันจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยหากมันเกี่ยวข้องกับผลงานก่อนหน้านี้ของพวกเขาจริงๆว่าด้วยเกมเพลย์เบื้องต้นขอทบทวนข้อมูลทั้งหมดที่เราได้รับการยืนยันแล้วจากปากผู้พัฒนาก่อน (สามารถอ่านเต็มได้ผ่านบนความก่อนหน้านี้ของเรา ลิงก์นี้ )ผู้เล่นจะสามารถเรียกวิญญาณของศัตรูขึ้นมาช่วยต่อสู้ได้ผู้เล่นจะสามารถร่วมมือกันผ่านระบบ Online Co-op ได้โลกของเกมจะแบ่งออกเป็น 6 เขต ซึ่งแต่ละเขตจะปกครองโดยบอสระดับเทพเกมจะมีระบบลอบเร้นแบบเดียวกับ Sekiroเกมจะมีระบบ “คล้ายกับ” การชุบชีวิตในเกม Sekiroนอกจากดันเจี้ยนหลักทั้ง 6 ยังมีอะไรให้สำรวจอีกเพียบเกมจะมีสกิลให้เลือกใช้ประมาณ 100 ชนิด ให้ปั้น Build ได้หลากหลายรวมถึงอยากให้ทุกคนดู Trailer ตัวล่าสุดกันอีกครั้งก่อนอื่นมาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันก่อน ประเด็นแรกคือเรื่องโลกของเกม ที่จะกว้างใหญ่มากกว่าที่ผ่านมาๆ และให้ใช้ม้าในการเดินทางไปในดินแดนต่างๆ ได้ แต่ความพิเศษไม่ได้จบแค่ตรงนั้น เนื่องจาก Trailer ล่าสุดได้โชว์ให้เราเห็นแล้วว่า ม้า ในที่นี้จะสามารถเรียกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สามารถเสริมพลังเวทย์แล้ววิ่งไต่หน้าผ่าได้ สามารถกระโดดได้ 2 จังหวะ รวมถึงสามารถขี่ม้าต่อสู้ได้ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าสังเกตกันหรือไม่ ฉากขี่ม้าทั้งหมดที่เอามาฉายใน Trailer เป็นพื้นที่แบบเปิดโล่งทั้งหมด ดังนั้นเชื่อว่าภายในเกมจะมีพื้นที่ 2 ประเภทคือ ที่สามารถเรียกม้าได้ กับไม่สามารถเรียกม้าได้ ผู้เขียนเชื่อว่าม้าจะสามารถใช้ได้เฉพาะในพื้นที่เปิดโล่ง และไม่สามารถใช้ได้ในขณะที่อยู่ในดันเจี้ยนทั้ง 6 กล่าวคือม้าคงจะสามารถใช้ได้ในการเดินทางไปมาระหว่างทั้ง 6 ดันเจี้ยนกับพื้นที่ตรงกลาง ซึ่งคุณ Miyazaki เคยกล่าวว่า "จะมีพื้นที่ตรงกลางสำหรับพักแบบ Firelink Shrine ใน Dark Souls 3 ด้วย" โดยในดินแดนตรงกลางที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่นี้จะมีพื้นที่อื่นนอกจาก 6 ดันเจี้ยน ให้เราได้สำรวจด้วย และบางที่ก็น่าจะมีบอส หรือไอเทมลับให้เราได้เก็บเช่นกัน บอสบางตัวอาจจำเป็นต้องขี่ม้าสู้เหมือนกับมังกรที่เราได้ดูในตัวอย่างข้างบน ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าโลกของ Elden Ring น่าจะมีขนาดที่ใหญ่มากกว่าเกมทั้งหมดที่ From Software เคยสร้างมาเลยก็เป็นได้ ส่งผลให้เวลาที่จำเป็นต้องใช้ คงมากกว่าเกมที่ผ่านๆ มาเช่นกันอีกหนึ่งระบบที่ถูกโชว์ผ่าน Trailer และน่าสนใจคือ "การกระโดด" ซึ่งถูกใส่มาครั้งแรกในเกม Sekiro ของ From Software ซึ่งการมีระบบกระโดดได้ทำให้ เกมเพลย์การสำรวจ กับต่อสู้แตกต่างออกไปจากผลงานก่อนหน้าเป็นอย่างมาก สำหรับ Elden Ring เท่าที่โชว์ออกมาในตัวอย่าง ยังไม่รู้ว่าการสำรวจจะแตกต่างออกไปจากเดิมมากขนาดไหน แต่สำหรับการต่อสู้คิดว่าอาจต่างกันแบบมากๆ เลยทีเดียวภายในตัวอย่างจะสังเกตได้ว่าผู้พัฒนาได้โชว์หลบหลีกการโจมตีทั้งหมด 3 แบบคือ กลิ้ง สไลด์ และกระโดด การกลิ้งเป็นน่าจะเป็นเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดีเพราะมักเห็นได้ในเกมส่วนใหญ่รวมถึงจากซีรีส์ Souls ของ From Software เอง ส่วนสไลด์เป็นสิ่งที่เราเห็นครั้งแรกใน Bloodborne และสุดท้ายการกระโดดจาก Sekiro โดยการใส่วิธีหลายเข้ามาหลากหลายขนาดนี้ หมายถึงตัวเลือกที่มีมากขึ้นในการต่อสู้ และอาจหมายถึงรูปแบบการหลบที่จำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้องสำหรับการโจมตีบางประเภทด้วย พอเอาไปรวมกับคำพูดของคุณ Miyazakiในเชิงความสนุกในการต่อสู้จะมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในเรื่องของความยากเอง ก็น่าจะมากกว่าเกมที่ผ่านมาเช่นกัน เนื่องจากยิ่งมีตัวเลือกในการต่อสู้มากขนาดไหน ยิ่งหมายความว่าท่าโจมตีของบอส และศัตรูที่ได้เจอก็ยิ่งหลากหลายมากขึ้นเท่านั้น เชื่อว่าประสบการณ์ที่เราจะได้เจอใน Elden Ring คงแตกต่างออกไปมากเลยทีเดียวการลอบเร้นอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบใหม่ที่น่าสนใจ เอาจริงๆ ในซีรีส์ Souls เองมีการใส่องค์ประกอบการลอบเร้นเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่เนื่องจากมันทำได้ยาก และไม่ได้มอบผลลัพธ์ที่ดีมากมายอะไร แต่ในผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro การลอบเร้นเพื่อโจมตีก่อน 1 ครั้ง ช่วยสร้างความได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้แต่ละครั้ง ซึ่งจากองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ From Software ได้พยายามเอาระบบต่างๆ ที่เคยสร้างขึ้นมาในเกมก่อนหน้านี้ มารวมไว้ในเกมเดียวกัน ดังนั้นการลอบเร้นใน Elden Ring เชื่อว่าจะมีความหายมากกว่าที่เคยเห็นในเกมตระกูล Soul Borne ครับสุดท้ายคือระบบเรียกวิญญาณของศัตรูที่ฆ่าได้มาช่วยสู้ จาก Trailer ดูเหมือนจำเป็นต้องใช้ไอเทมบางอย่างเช่นกันถึงจะสามารถเรียกวิญญาณออกมาช่วยสู้ได้ ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าไอเทมดังกล่าวจะหายากขนาดไหน หรือวิญญาณที่ถูกเรียกออกมาจะมีความสามารถขนาดไหน คิดว่าถ้าเกิดเอาออกมาช่วยสู้ได้ง่ายๆ รวมถึงอยู่กับเราไปทั้งเกม ก็อาจจะทำให้เกมง่ายขึ้นมากพอสมควร อันนี้น่าจะต้องรอดูกันตอนที่เกมออกอีกทีครับข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากการเอาข้อมูลที่มีในตอนนี้มาวิเคราะห์ ซึ่งอาจผิด และถูก ดังนั้นขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งปักใจเชื่อทุกสิ่งที่ผมได้เขียนมาในบทความนี้ยกเว้นสิ่งที่ได้รับการยืนยันแล้ว Elden Ring มีกำหนดจะวางขายในวันที่ 21 มกราคม 2022 โดยลงให้กับ PS5, PS4, Xbox Series X / S, Xbox One และ PC ใครรู้สึกสนใจ ก็สามารถรอติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้เลยหลังจากนี้
29 Jun 2021
นึกว่าภาคใหม่!! กลุ่มแฟนคลับปล่อย Teaser เกม Dark Souls: Nightfall ภาคต่อของ Dark Souls Remastered
นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ของกลุ่มแฟนคลับ Dark Souls เลยก็ว่าได้กับ Dark Souls: Night Fall Mod ของเกม Dark Souls Remastered ที่เปรียบเป็นภาคต่ออย่างไม่เป็นทางการของ Dark Souls ภาคดั้งเดิมที่มาพร้อมด้วยเนื้อเรื่องใหม่ แผนที่ใหม่ ระบบการต่อสู้ใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยใน Mod มีกำหนดปล่อยให้โหลดในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ สามารถดูตัวอย่างได้ด้านล่างนี้Mod นี้จะเหมือนกับเกมต้นฉบับตรงที่เนื้อเรื่องจะเริ่มที่ Undead Asylum แต่จุดต่างจะอยู่ที่ไม่มีกามาคว้าตัวผู้เล่นเลย แต่จะตกลงไปที่ Kiln of the First Flame แทนซึ่งดูเหมือนว่าตัวเอกจะจัดการ Gwyn ไปเรียบร้อยแล้วเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทางแฟนคลับยังได้ปล่อยตัวอย่างเกมเพลย์ที่อยู่ในช่วงพัฒนานาน 18 นาทีออกมาด้วยสามารถรับชมได้ข้างล่างนี้เลย Credit : PC Gamer
28 Jun 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 16 มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอมตะ
         สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่สิบหก ซึ่งเนื้อหาภายในบทนี้ จะเป็นช่วงที่ผู้เล่นสามารถเลือกเส้นทางไปปราบเหล่าบอส Lord Soul อันประกอบไปด้วยจ้าวแห่งความตาย Nito, แม่มดแห่งนคร Izalith, สี่ราชันแห่ง New Londo, และมังกรไร้เกล็ด Seath ทว่าในส่วนเนื้อเรื่องเสริมของ DLC Artorias of the Abyss ผมก็ได้วางแผนแล้วว่าจะใส่มาในบทถัดไป(บทที่สิบเจ็ด)         เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบหก “มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอมตะ” ( ภาพประกอบ : ในโลกของ Dark Souls มีผู้โง่เขลาบางคนคิดว่าการเป็นอมตะคือทางออกของทุกสิ่ง... )< ลิงค์บทความก่อนหน้า > บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปดบทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสองบทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่ l บทที่สิบห้า เปิดประตูสู่ Lord Soul             หลังได้รับ Souls Vessel อันเป็นกุญแจของเหล่าทวยเทพ Undead นิรนามก็เดินทางกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อรับคำแนะนำจากอสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ Frampt ทว่าทางด้านอัศวิน Solaire ได้ขอตัวอยู่เยี่ยมชมเมืองหลวง Anor Londo ต่อไป ทั้งสองจึงตัดสินใจแยกทางกันในที่สุด         ระหว่างเดินทางกลับพระเอกของเราก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทาย Darkmoon Knightess ซึ่งนางก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง(ก็แน่ละ! เพราะแมงเมาบินเข้ากองไฟแล้วนิ) โดยก่อนจะจากกัน Darkmoon Knightess ก็ได้แนะนำให้เขาไปปราบเจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath เป็นอันดับแรก เนื่องจากมันอาศัยอยู่ในหอจดหมายเหตุ Duke's Archives ซึ่งอยู่ไม่ห่างจาก Anor Londo มากนัก ( ภาพประกอบ : ภาพ Duke's Archives ในมุมสูงที่ได้มาจากการเเฮค )         เวลาผ่านไปจนกระทั่ง Undead นิรนามกลับมาถึงยัง Firelink Shrien เขาก็ได้รับการต้อนรับจากบรรดาคนที่ยังเหลืออยู่ โดยจะขาดก็แต่พ่อมดเพลิง Laurentius ซึ่งเดินทางลงไปยัง Blighttown และเจ้า Crestfallen Warrior ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ...         Undead นิรนามไม่ได้จนใจถ้อยคำสรรเสริญเยินยอถึงวีรกรรมของเขาแต่อย่างใด หากแต่ได้รีบปลีกตัวเดินไปยังห้องขังของ Anastacia และวางวิญญาณของนางลงยังจุดเดิมที่เคยถูกคร่าชีวิต ตอนนี้เขาได้ลงมือทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้แล้ว ต่อไปคงได้แต่สวดภาวนาขอให้ Anastacia กลับมาเกิดใหม่โดยเร็ว…( ภาพประกอบ : หลัง Anastacia กลับมาเกิดใหม่ ผู้เล่นจะสามารถพูดคุยกับนางได้ ทว่านางกลับไม่ค่อยอยากพูดกับเรา )         นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปี ที่สายลมเย็น ๆ ได้พัดเอาความหวังกลับคืนสู่ดินแดน Lordran อีกครั้ง และมันก็ทำให้ Frampt เจ้างูยักษ์บรรพกาลรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมาก โดยได้มันกล่าวกับ Undead นิรนามว่า Soul Vessel จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อถูกนำไปวางไว้บนแท่นบูชาภายใน Firelink Altar เท่านั้น ซึ่งวิธีการเดินทางไปที่นั่น Undead นิรนามจะต้องยอมเข้าไปอยู่ในปากเน่า ๆ ของ Frampt เสียก่อน เเล้วมันจึงจะพาเขาไปส่งที่  Firelink Altar ได้( ภาพประกอบ : บรรยากาศใน Firelink Altar )          Frampt ขย้อน Undead นิรนามซึ่งกำลังอารมณ์เสียจากกลิ่นเหม็นลงสู่พื้นของสถานที่ปริศนาแห่งนี้   อันดูมีสภาพเป็นเหมือนกับวิหารร้างยุคโบราณ รอบด้านเต็มไปด้วยรากไม้ยักษ์ใหญ่ประหลาดชอนไชไต่ตามผนังทั่วไปหมด เเละหากจะให้สันนิษฐานตัวเขาก็คงคิดว่ากำลังอยู่ในใต้ดิน         Frampt กล่าวว่าการวาง Lord Vessel ลงบนแท่นบูชา จะเป็นการปลดปล่อยพลังงานของ The First Flame เข้าสู่ Bonfire ทั่วทั้งโลกให้เชื่อมต่อถึงกัน อีกทั้งยังปลดผนึกม่านพลังที่ป้องกันดินเเดนของเหล่าบรรดาผู้ถือครอง Lord Soul อีกด้วย  ฉะนั่น Undead นิรนามควรจะรีบทำภารกิจให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากตอนนี้อาจจะมีคนที่ไม่หวังดี ริอาจอยากช่วงชิง Lord Soul ตัดหน้าเขาก็เป็นได้( ภาพประกอบ : การปลดผนึก Lord Vessel จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถวาปไปมาระหว่าง bonfire ได้ )         หลังกลับมาจาก Firelink Altar พระเอกของเราก็ตัดสินใจค้างแรมสักหนึ่งคืนเพื่อเอาเเรง และได้ใช้ช่วงเวลายามราตรีเสวนากับผู้คนที่ยังอยู่ที่นั้น เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบพานรวมไปถึงการเลือกตัดสินใจว่าจะไปปราบ Lord Soul ตนไหนก่อนดี…         เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าปราชญ์พ่อมด Big Hat Logan ก็มองเห็นโอกาสในการเข้าไปยัง Duke's Archives มันได้คะยั้นคะยอหาเหตุผลสารพัดสารเพมาจูงใจพระเอกของเรา อย่างเช่นการเอ่ยถึงนักบวชสาวที่มีชื่อว่า Rhea... เจ้า Logan เชื่อว่านางอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ อีกทั้ง Duke's Archives ยังเป็นป้อมปราการอันเเสนสำคัญของบิดาแห่งเวทมนตร์ Seath ดังนั้นการที่มีเขาติดตัวไปด้วย ย่อมจะมีประโยชน์มากกว่าไปคนเดียวเป็นไหน ๆ… ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามก็ไม่ปฏิเสธ( ภาพประกอบ : ภาพ concept art ของ Duke's Archives )  สวนสัตว์นรก         หอจดหมายเหตุ คือสถานที่อันเป็นแหล่งเก็บเอกสารและข้อมูลความรู้มากมาย ตลอดรวมไปถึงบันทึกเเห่งประวัติศาสตร์(ประวัติศาสตร์ที่ Gwyn เขียน) Duke's Archives เคยถือกำเนิดมาด้วยแนวคิดข้างต้นมาก่อน... มันควรจะเป็นสถานที่ที่เหล่าบัณฑิตสมองเปรื่องทั่วล่าใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยือน ด้วยหวังจะได้รับการศึกษาร่ำเรียนเวทมนตร์จากบิดาแห่ง Sorcerer ตัวต่อตัวนับวัน Duke's Archives ก็ยิ่งเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อย ๆ มันพัฒนาซะจนมีกองทัพส่วนตัวที่รับใช้เฉพาะกับ Seath เท่านั้น แถมยังมีการสร้างโรงเรียนเวทมนตร์สาขาลูกตามอาณาจักรต่าง ๆ อีกมากมาย โดยที่เห็นจะมีชื่อมากที่สุดก็คงไม่พ้นโรงเรียนมังกรขาว Vinheim ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับมหานครทั้งเมืองกันเลยทีเดียว         ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จู่ ๆ Duke's Archives ก็หยุดรับผู้คนจากภายนอกอย่างไม่เเจ้งสาเหตุ นานนาน~ถึงจะมีพวกข้ารับใช้ Channeler ออกมาทำธุระให้กับ Seath อย่างเช่นการนำพิมพ์เขียวอาวุธเวทมนตร์ไปให้แก่ช่างตีเหล็กยักษ์แห่ง Anor Londo สร้างภาพลักษณ์ของ Duke's Archives กลับยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก เมื่อเริ่มมีข่าวแพร่สะพัดถึงการจับมนุษย์ไปทดลอง (ช่วงเวลาก่อน Curse of Undead จะปรากฏตัวครั้งแรก และกลุ่มกบฏทมิฬกำลังวางแผน) ทำให้เหล่าบรรดาเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ไม่สามารถไว้ใจ Seath ได้อีกต่อไป เเละหาข้ออ้างเพื่อปิดผนึก Seath เอาไว้ใน Duke's Archives… ทว่าพวกทวยเทพหารู้ไม่ว่านี่แหละคือสิ่งที่เจ้ามังกรวิปริตต้องการ มันอยากจะใช้ช่วงเวลาหลายพันปีเพื่อการทดลองอะไรบางอย่าง( ภาพประกอบ : ใน comic เนื้อเรื่องเสริมของเกม Dark Souls ได้มีการบอกไว้ว่า Channeler เป็นพวกมีสติปัญญา เเละเที่ยวตระเวนจับผู้หญิงไปให้ Seath )         กลับมายังปัจจุบัน Undead นิรนามและจอมเวทย์ Logan ต่างร่วมมือกันฝ่าฟันเหล่าทหารยาม Royal Sentinel กับหมูโลหะ Fang Boar พวกเขาพยายามดั้นด้นดิ้นรนจนเข้ามาถึงยังห้องโถงด้านหน้าของ Duke's Archives ได้สำเร็จ ซึ่งแม้สถานที่แห่งนี้จะไม่เปิดรับผู้คนมานานแล้ว เเต่ทว่าข้าวของภายในกลับยังคงสะอาดเอี่ยมอ่อง โดยเฉพาะกับชั้นหนังสือที่ถูกเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทุกตารางนิ้ว ประหนึ่งกับว่ามีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูมันอยู่ทุกวัน         Logan สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์อันมหาศาลลอยตลบอบอวลไปทั่วอากาศ เขาเริ่มมีท่าทีกระสันไม่อยู่กับร่องกับลอยวิ่งเข้าหาชั้นหนังสือ พร้อมกับเปิดมันอ่านด้วยดวงตาอันแวววาวราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ Undead นิรนามพยามขานเรียกพร้อมกับวิ่งตามหลังเจ้าพ่อมดไปเเต่ก็หาวิ่งทันไม่ เขาค้นหาเจ้าพ่อมดตามมหาสมุทรชั้นหนังสืออยู่สักพัก ทว่าเขากลับบังเอิญได้พบกับยักษ์ Crystal Golem ซึ่งมันก็วิ่งจู่โจมใส่เขาทันทีตามสัญชาตญาณดุร้าย...ซึ่งแน่นอนว่าหาได้ระคายปลายดาบของ Undead นิรนามไม่ เขาสามารถจัดการมันลงได้ภายในดาบเดียว( ภาพประกอบ : ห้องสมุดที่ควรจะผู้คนมากมาย บัดนี้กลับเหลือเพียงเเต่ความเงียบ )         Crystal Golem ร่างระเบิดแตกสะลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยท่ามกลางกองเศษสากเรืองแสงนับพัน ๆ ชิ้น พระเอกของเราก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังบางสิ่งที่มองไม่เห็น พลังที่มอบความรู้สึกหอมหวนอันดูคุ้นเคยเมื่อนานมาเเล้ว... ใช่แล้วความรู้สึกเช่นนี้ก็คือตอนที่เขาได้พบกับกุลสตรี Dusk เป็นครั้งเเรก         Undead นิรนามนั่งลงคุ้ยกองเศษซากคริสตัลชิ้นเเล้วชิ้นเล่า จนได้พบกับเครื่องรางปริศนา Broken Pendant เครื่องรางที่ทำให้เข้ามองเห็นภาพนิมิตใบหน้าของกุลสตรี Dusk ที่ตนเองเกือบจะลืมไปนานแล้ว         พระเอกของเราเลิกสนใจตามหาเจ้าพ่อมด Logan ตัวยุ่ง เเละหันเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับ Broken Pendant ภายในมือ พร้อมกับมุ่งหมายว่าหลังจากปราบ Seath เสร็จ ตัวคงจะเเวะเวียนไปทักทายเเม่นาง Dusk สักหน่อย ( ภาพประกอบ : Crystal Golem ตัวนี้จะโผล่ออกมาก็ต่อเมื่อผู้เล่นครอบครอง DLC Artorias of the Abyss เท่านั้น )         Undead นิรนามมุ่งหน้าขึ้นลิฟต์สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  โดยระหว่างทางเขาก็ได้จัดการเหล่าลูกกระจ๊อก Undead Crystal ไปมากมาย จนกระทั่งมาถึงยังห้องซึ่งเต็มไปด้วยผลึกเเก้ว Crystal มากมาย ที่งอกเงยออกมาทั่วทั้งพื้น, กำแพง, และเพดาน พวกมันต่างเปล่งความสว่างไสวราวกับว่าเป็นทางช้างเผือกสีขาวนม เเต่กระนั้น ก็หาได้ขาวสว่างไปมากกว่าผิวสีเผือกของเจ้ามังกรที่อยู่ตรงไม่ เจ้ามังกรจอมวิปลาสซึ่งกำลังเฝ้ารอพระเองของเรา... Seath( ภาพประกอบ : Undead Crystal ก็คือมนุษย์ที่ถูก Seath จับมาทดลองด้วยการยัดผลึก Crystal เข้าไปควบคุมร่างกาย )         Seath หนึ่งในมังกรนิรันดรสายเลือดแท้ตนสุดท้าย ยืดคอสยายปีกสีรุ่งระยิบระยับชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าบดบังเเสง Crystal ตามด้วยการขยับรยางค์หางสามเส้นอันพิกลพิการไปมา ประหนึ่งราวกับว่ามันกำลังดีใจที่จะได้หนูทดลองเป็น Undead ผู้ถูกเลือก… มันอยากจะคว้านตับไตไส้พุงของ Undead คนนี้เพื่อดูว่าสิ่งใดกันที่ทำให้เขาพิเศษกว่า Undead คนอื่น ๆ         ศึกต่อสู้ เริ่มต้นขึ้นด้วยพลังลมหายใจเวทมนต์จากฝั่งเจ้ามังกรวิปลาส อันมีฤทธิ์สามารถเปลี่ยนให้กายเนื้อกลายเป็นก้อนหินได้(สถานะ Curse) แต่ว่าพระเอกของเราก็ได้อาศัยความพลิ้วส่วนตัวหลบเลี่ยงไปอย่างสบาย ๆ โดยที่เขาไม่รู้ไม่ว่านี่อยู่ในการคำนวนของ Seath... ลมหายใจที่ Seath พ่นออกไปหาได้เป็นการโจมตีอันไร้ทิศไร้ทางไม่ มันค่อย ๆ สร้างผลึก Crystal งอกขึ้นมาตามพื้นที่ดังกล่าว เพื่อต้อนให้ Undead นิรนามจนมุมทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งพลาดท่าถูกอาบด้วยลำแสงเวทมนต์เเละตายลงในที่สุด( ภาพประกอบ : ภายในเกม ผลึกเเก้วที่เกิดจาก Seath จะขว้างทางเดินผู้เล่นเอาไว้ชั่วคราว )( ภาพประกอบ : Concept Art ดั่งเดิมของห้องโถงบนสุดใน Duke's Archives  )         ช่วงเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ Undead นิรนามตื่นขึ้นมา และพบว่าตนเองจะกลับเกิดมาอยู่ในห้องขังแปลกประหลาดซึ่งทำจากชั้นหนังสือ เเทนที่จะไปเกิดใหม่ยัง Bonfire ล่าสุดพระเอกของเราพอจะทราบมาก่อนว่าเจ้ามังกรขาวนั้นปราดเปรื่อง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเก่งจนสามารถแซกแทรงกระแสวิญญาณภายใน Bonfire ได้เพียงนี้… เห็นทีเขาคงดูถูก Seath มากไปดูเหมือนว่า Seath จะเข้าใจถึงจุดแข็งของพวก Undead ในเรื่องตายแล้วสามารถเกิดใหม่ ตัวมันจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้สร้างกับดักจับหนูทดลองขึ้นมาซะเลย เเถมยังเป็นการกีดกันไม่ให้ Undead กลับมาพยายามฆ่าตนซ้ำเเล้วซ้ำเล่า นับว่านี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็คงไม่ผิดนัก ( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถข้ามฉากการต่อสู้กับ Seath ในครั้งเเรกได้ โดยการกระโดดลงจากระเบียงลิฟต์ในตำเเหน่งดังภาพ  )          สถานที่ซึ่ง Undead นิรนามถูกนำมาคุมขังก็คือคุกลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากห้องสมุดอันเเสนสวยงาม มันคือคุกซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยชั้นตำราหนังสือที่ไม่มีประโยชน์ วางทับซ้อนกันชั้นเเล้วชั้นเล่าก่อตัวขึ้นเป็นหลุมวงกลมที่มีขนาดสูงกว่าร้อยเมตร ซึ่งจะมีเหล่า Man Serpent คอยเดินตรวจตราความสงบอยู่เป็นระยะ ๆ( ภาพประกอบ : คุกที่ถูกาสร้างขึ้นจากชั้นหนังสือ )         เมื่อได้สติพระเอกของเราก็ไม่รอช้ารีบหาทางหนีทันที เขาใช้เวลาสังเกตดู Man Serpent ตนหนึ่งซึ่งคอยทำหน้าที่เฝ้าระวังเขาเป็นพิเศษ เจ้า Man Serpent ตนนี้มันจะไม่ค่อยเดินห่างไปไหนมาไหนไกลจากห้องขังเขาเท่าไรนัก และมักจะวิ่งหน้าตั้งมาดูเสมอเมื่อเขาหายตัวลับหลบเข้ามุมห้อง ดังนั้นพระเอกของเราจึงได้อาศัยประโยชน์จากจุดนี้ ล่อให้มันเดินเข้ามาใกล้ลูกกรง จากนั้นก็จัดการยื่นมือออกบีบกระดูกคอมันจนเเหลกตายภายในเสี้ยววินาที         กุญเเจห้องขังที่มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ถูกล่วงออกมาจากศพเพื่อเปิดประตูลูกกรงหนี แต่ทว่าโชคร้ายเหล่าเวรยามเเถวนั้นดันพานพบเห็นพอดิบพอดี พวกมันจึงส่งสัญญาณลั่นแตรเตือนเหล่า Man Serpent ตนอื่น ๆ ร่วมไปถึงการปล่อยพวกสัตว์ทดลอง Pisaca ให้ออกมารุมไล่ล่านักโทษเหมือนกับหมาล่าเนื้อ( ภาพประกอบ : เเตรสัญญาณภายในคุกห้องสมุด  )( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Pisaca… โดยมีคนตั้งทฤษฎีว่าพวกมันถูกฝึกให้เชื่อฟังเสียงเเตรสัญญาณ เพราะถ้าหากผู้ปิดมัน Pisaca โจมตีผู้เล่นก่อน  )         แม้ว่าระดับพลังของ Undead นิรนามจะก้าวไกลไปกว่าพวกลูกสมุนของ Seath แต่ถ้าหากเสียงแตรสัญญายังคงร้องดังไม่หยุดเช่นนี้ เห็นทีอีกไม่นานจำนวนของศัตรูก็คงจะมากจนเกินรับมือ และถ้าหากพลาดท่าขึ้นมาครั้งต่อไปคงจะเเหกคุกได้ไม่ง่ายอีกเเล้ว Undead นิรนามจำต้องเสี่ยงลงไปยังก้นเหวของคุกเพื่อปิดแตรสัญญาเสียก่อน เเต่นั่นก็ทำให้เขาได้พบกับตาพ่อมด Logan อีกครั้ง เจ้าพ่อมดขอร้องให้ Undead นิรนามปล่อยตนเองจากที่คุมขัง ทว่าคร่านี้พระเอกของเรากลับปฏิเสธ โดยกล่าวว่าตราบใดที่ Logan ยังคงทำตัวปลิ้นปลอนตลบตะเเลงเเบบนี้ ตัวเขาก็คงมิอาจเชื่อใจได้หลังได้ยินเช่นนั้นเจ้าพ่อมดก็คอตกด้วยความจนมุม มันจึงสารภาพว่าเหตุผลที่มาที่นี่ก็เพื่อศึกษาตำราความรู้เวทมนตร์ หาได้มาเพราะต้องการช่วย Undead นิรนามไม่… อย่างไรก็ตาม Logan ได้บอกอีกว่าตอนที่ตนถูกนำตัวมาคุมขัง บังเอิญสายตาดันไปมองเห็นผู้หญิงในชุดนักบวชสีขาวคนหนึ่ง ซึ่งนั่นอาจจะ Rhea ที่ Undead นิรนามกำลังตามหาอยู่ก็ได้ โดยถ้าหากยอมปล่อยเขาออกไป Logan ก็จะช่วยบอกทางให้เพื่อเป็นการเเลกเปลี่ยน( ภาพประกอบ : ในคุกที่ Logan อาศัยอยู่ไม่มี Bonfire ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูง ว่ามันจงใจยอมให้จับเอง )         Rhea คือชื่อนักบวชสาวเเสนอับโชคคนหนึ่ง เธอนั้นถูกลอบสังหารจนกลายเป็น Undead ด้วยเหตุผลทางการเมือง จากนั้นก็ถูกขับไล่มายังดินแดน Lordran เพื่อทำภารกิจซึ่งไม่มีวันสำเร็จ มิหนำซ้ำยังถูกหลอกลวงให้สิ้นหวังในความมืดอันโดดเดี่ยวจากพวกพ้อง นี่ถ้าหากไม่ได้ตัวของ Undead  นิรนามช่วยเอาไว้ เห็นที Rhea คงจะต้องกลายเป็น Hollow ไปแล้ว         พระเอกของเรารีบวิ่งตรงปรี่ไปยังห้องขังตามที่เจ้า Logan บอกทันที โดยที่นั่นเขาก็ได้พบกับผู้หญิงในชุดสีขาวสกปรกคนหนึ่ง นั่งคดตัวกอดเขาหันหน้าเข้ามุมห้องขัง กลิ่นกายที่เคยหอมหวนบริสุทธิ์บัดนี้กลับเหม็นเน่าเปื่อยประหนึ่งซากสัตว์ ผิวพรรณอันเคยนิ่มนวลไร้รอยด่าง ปัจจุบันพลันเหือดแห้งเหี่ยวไร้หยดเลือดคอยหล่อเลี้ยง… แม้แต่คู่ดวงตาที่เคยส่องประกายบนใบหน้าตอนนี้ก็พาลเลือนลับดับหายไป เหลือเอาไว้ความดำมืดคล้ายกับรูโหว่จากนรก         Rhea… คือคำพูดเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ซากศพร่างนี้หันหน้ากลับมามอง ศีรษะใต้ผ้าคลุมของมันสั่นเครือเหมือนกับคนที่กำลังร้องแต่ไม่มีน้ำตาไหลริน มันพยายามยกฝ่ามือที่มองเห็นเเต่กระดูกออกไปหาชายคนเดียวที่เคยช่วยมันเอาไว้( ภาพประกอบ : ภาพด้านซ้ายก็คือ Rhea ตอนยังมีชีวิต ส่วนภาพด้านขวาเป็นเเค่ร่างไร้สติที่ปราศจากวิญญาณของเธอ... )         Undead นิรนามโอบกอดร่างกายอันซีดเสียวของหญิงสาวไว้ใต้อ้อมอก ตัวเขาต้องการจะให้นางจดจำรอยยิ้มทั้งน้ำตาเเละความอบอุ่นนี้ไว้เป็นครั้งสุดท้ายตราบนานเท่านาน เเม้ว่ารยางค์แขนขาเธอจะเริ่มไขว่คว้าไปมาเหมือนกับคนบ้า เเม้ว่าใบหน้าจะเริ่มบิดเบี้ยวร้องตะโกนไม่เป็นภาษา Undead นิรนามก็ยังคงไม่ปล่อยมือจากร่างของ Rhea ตัวเขาจะเป็นคนปลดปล่อยวิญญาณของเธอจากโลกอันโสมม... ( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นช่วยเธอออกมาจาก Tomb of Giants เเละได้ไว้ชีวิตพระนักรบ Petrus เธอจะถูกฆ่าตายตั้งเเต่อยู่ในโบสถ์ที่ Undead Burg )         ความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ติดตาม Undead นิรนามออกมาจากห้องขัง การตายของ Rhea  ทำให้เขากล่าวโทษตนเองที่มัวแต่ทำตามคำทำนาย เเละเกลียดชัง Seath ที่บังอาจจับตัวคนสำคัญต่อเขามาทรมาน Undead นิรนามสาบานด้วยเลือดว่าเจ้ามังกรไร้เกล็ดจะต้องรับรู้ถึงความสูญเสียนี่เป็นสองเท่า!เมื่อพลังโทสะเข้าครอบงำพวกลูกกระจ๊อกก็มิอาจต่อกรกับพระเอกของเราได้ เเม้เเต่เวทมนตร์ของพวก Channeler ที่อุตสาห์ขายวิญญาณความเป็นคนเพื่อร่ำเรียนมา ก็ถูกปัดป้องโดยง่ายราวกับเป็นแค่เศษใบไม้( ภาพประกอบ : ไม่มีการยืนยันว่า Seath อ่านหนังสือได้ยังไงทั้งที่ตาบอด เเต่ทฤษฎีที่นิยมมากที่สุดก็คือพวก Channeler เป็นคนอ่านให้ฟัง )         พระเอกของเราบุกเข้าไปห้องสมุดยักษ์ซึ่งบรรจุหนังสือเวทมนตร์ล่ำค่าไว้มากมาย...หลายเล่มเป็นคัมภีร์หายากที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลก แต่ทว่า Undead นิรนามก็หาได้ลังไม่ที่จะทำลายพวกมัน! ศาสตร์ความรู้อันได้มาจากการทรมานผู้คนบริสุทธิ์แบบนี้ เป็นสิ่งที่ Undead นิรนามไม่สามารถยอมรับได้ นี่ถ้าหากว่าเขามีขบเพลิงอยู่ในมือก็คงจะเผาห้องสมุดแห่งนี้ไปแล้ว         พระเอกของเราไล่ทำลายข้าวของเรื่อยมาจนเข้ามาถึงยังห้องลับแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเขาก็พบเจอเจ้าพ่อมด Logan อีกครั้ง โดยมันกำลังนั่งอ่านตำราปริศนาในมุมมืดของห้อง         เจ้าพ่อมดกล่าวกับ Undead นิรนามอย่างดีใจว่าในที่สุด ตนก็ได้ค้นพบความลับของ Seath ถึงแก่นแท้แห่งความเป็นอมตะ เจ้ามังกรมิใช่เพียงเเค่มีร่างซึ่งปราศจากอายุขัย หากเเต่ผิวหนังยงคงเเข็งเเกร่งเเละสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้ในพริบตา เรียกง่าย ๆ ว่า Seath ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมังกรนิรันดรไปเเล้ว( ภาพประกอบ :  Logan หลงใหลมัวเมาในเวทมนตร์เป็นอย่างมาก จนถึงกับกล่าวชม Seath ว่านี่แหละคือ Undead ของจริง... Undead ที่แปลว่าไม่มีทางตาย )         หลังความลับของเจ้ามังกรถูกเปิดเผย Undead นิรนามก็ลงมือถาม Logan ต่อทันที ถึงวิธีในการคลายเวทมนตร์อมตะนี่ออก ทว่าเจ้า Logan กลับทำท่าทางลุกลี้ลุกลนและปฏิเสธว่าไม่มีทาง ทำให้ Undead นิรนามเลือดขึ้นหน้าเพราะเหลืออดต่อความหลงใหลวิชาของเจ้าพ่อมด เขาทราบดีว่า Seath กลายเป็นอมตะเพราะการทดลอง ฉะนั้นมันจะต้องมีวิธีทำให้เวทมนตร์เสื่อมหรือมีเครื่องรางอะไรสักอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่         พระเอกของเรากับเจ้าพ่อมดไม่สามารถตกลงกันได้เเละหวิดเกือบจะวางมวยกัน เเต่โชคดีที่ Undead นิรนามพลันนึกคิดวิธีเกลี้ยกล่อมเจ้าพ่อได้เสียก่อน เขาจึงงัดเอาเล่ห์กลปลายลิ้นออกมาเป่าหู Logan เเทน         Undead นิรนามกล่าวว่าหากสิ่งที่ Logan ต้องการก็คือความรู้ในศาสตร์เวทมนตร์ แล้วเขาคิดจริง ๆ เหรอว่ามังกรนิสัยอย่าง Seath จะย่อมแบ่งปันความรู้ง่าย ๆ ลองดูพวก Channeler ซึ่งอยู่รายรอบสถานที่แห่งนี้เป็นตัวอย่างก็ได้... Logan คงไม่มีวันเป็นไปได้มากกว่ากว่านั่นหรอก! Seath น่ะขึ้นชื่อในหลายเรื่องก็จริงแต่ความเอื้อเฟื้อไม่ใช่หนึ่งในนั้น หาก Logan อยากจะเรียนรู้เวทมนตร์จริง ๆ เขาก็ต้องถือไพ่เหนือกว่าหรือมีอะไรมาบีบบังคับให้ Seath ยอมทำตาม( ภาพประกอบ : ภารกิจเสริมของ Big Hat Logan จะทำให้ผู้เล่นสามารถใช้เวทมนตร์ White Dragon Breath ได้...เเม้ว่ามันจะโจมตีเเรงเเต่ถ้าหากว่ากันตามตรง เวทมนตร์นี้ค่อนข้างห่วยในเรื่องการเล็งเป้าหมายเเบบสุด ๆ )         หลังได้ยินดังนั้น Logan ก็เริ่มสงบจิตสงบใจลง เขาเงียบไปสักครู่ก่อนจะตัดสินใจบอกว่า Seath มีจุดอ่อนเป็น Primordial Crystal ผลึกวิเศษที่เก็บงำพลังอมตะของเจ้ามังกรเอาไว้ แต่แน่นอนว่าของล้ำค่าแบบนี้ไม่มีวันถูกเก็บไว้ในสถานที่ธรรมดา ๆ ตัวมันเองก็เคยลองพยายามเดินทางเข้าไปแล้วแต่ก็ล้มเหลว... นามของสถานที่นั้นก็คือ Crystal Cave หรือ ถ้ำผลึกแก้ว( ภาพประกอบ : ภาพถ่ายที่อยู่ด้านซ้ายคือถ้ำคริสตัลของจริง ซึ่งเป็นเเรงบันดาลใจให้ภาพทางด้านขวาภายในเกม )         หลังได้รับสิ่งที่ต้องการ Undead นิรนามก็เลิกสนใจอดีตสหายคนนี้ และมุ่งหน้าตรงไปยัง Crystal Cave  โดยระหว่างทางเขาก็บังเอิญไปพบกับ Crystal Golem สีทองตนหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ผนึกกุลสตรี Dusk เอาไว้ไม่มีผิด         พระเอกของเราจัดการช่วยคนที่ติดอยู่ภายในออกมา ทว่าชุดเกราะของบุคคลนั้นกลับทำให้เขาคิดคำนึงถึงเจ้าอัศวินหัวหอม Siegmeyer เสียเหลือเกิน จะต่างกันก็แค่คนที่อยู่ข้างในชุดกลับเป็นผู้หญิงนามว่า Sieglinde โดยนางได้อธิบายว่าตนกำลังตามผู้เป็นพ่ออยู่ (ก็ลูกสาวของ Siegmeyer นั่นแหละ)         Undead นิรนามแปลกใจนิดหน่อยว่าคนอย่าง Siegmeyer เนี่ยนะมีลูก?... แถมยังเป็นลูกสาวใจเด็ดเกินชายเสียอีก! เพราะคงมีไม่กี่คนนักที่เดินทางมายังดินแดน Lordran ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นคนเป็นเป็น(ยังไม่ตายกลายเป็น Undead) การสนทนาระหว่างสองชายหญิง จบลงด้วยการที่ Sieglinde เดินทางกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อตามรอยพ่อของเธอ และปล่อยให้พระเอกของเราลุยต่อเข้าไปใน Crystal Cave เพียงคนเดียว( ภาพประกอบ : ในภาพนั่นก็คือ Sieglinde… ถ้าไม่มีเสียงพากย์ เราก็คงจะนึกไปเเล้วว่านี่คือ Siegmeyer )         แสงอันวาววับราวกับพระอาทิตย์สีฟ้านับล้านดวง สาดส่องความสว่างใส่พระเอกของเราทันทีที่เขาเข้ามาถึง Crystal Cave ภายในนั้นมีสภาพเหมือนกับหุบที่ลึกมาก ๆ ทอดตัวยาวเข้าไปในถ้ำ ทว่าอย่าให้ความสวยงามของมันหลอกตาเอาได้ ก้อนผลึกเปล่งประกายพวกนี้ได้แผ่พลังงานเวทมนตร์มหาศาลออกมาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ฝูงผีเสื้อ Moonlight Butterfly  ที่เคยดักจู่โจมพระเอกของเรา มารวมตัวดูดกินพลังจากถ้ำนี้( ภาพประกอบ : Moonlight Butterfly ที่ผู้เล่นเจอใน Darkroot Garden ก็หลุดมาจากที่นี่เนี่ยละ )         Undead นิรนามนึกถึงคำพูดของเจ้า Logan ที่เคยกล่าวว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาก็เพิ่งจะเข้าใจความหมายเอาตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้วิธีห้องปิดตายเช่นนี้ หากบังเอิญมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับ Primordial Crystal อย่างฉับพลัน Seath เเละเหล่าบรรดาลูกน้องก็จะเข้าไปแก้ไขไม่ทันการ... ว่าง่าย ๆ คนที่ฉลาดอย่าง Seath น่าจะต้องสร้างกลไกหรือเครื่องมืออะไรสักอย่างในการข้ามไป         พระเอกของเราหยิบก้อนผลึกเเก้วขึ้นมา เเล้วก็ปามันออกไปท่ามกลางหุบเหวอันอ้างว้าง เสียงผลึกที่แตกกระจายเมื่อตกกระทบกับก้นเหว ดังก้องขึ้นมาเหมือนกับการเคาะกำแพงเพื่อหาโพรง เขาโยนมันต่อไปซ้ำเเล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งบังเกิดเสียงหนึ่งที่ดังชัดถนัดหู!ใช่แล้ว! Undead นิรนามอุทานพร้อมกับโยนหินอีกก้อนใส่ที่เดิมเพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ปรากฎว่าหินก้อนนั้นกลับลอยนิ่งอยู่ท่ามกลางอากาศราวกับมันลอยได้ โดยมันก็ทำให้เขารู้ว่าทีว่าที่นี่มีสะพานล่องหนถูกซ่อนเอาไว้( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถทิ้งของไว้เป็นเครื่องบอกทางได้ หรือเดินตามข้อความที่ผู้เล่นใจดีคนอื่นทิ้งไว้ให้ หากเราอยู่ในโหมด Online )         หลังความจริงเปิดเผย Undead นิรนามก็ไม่รอช้า รีบคลำทางข้ามไปเหมือนกับคนตาบอด เขาค่อย ๆ ข้ามสะพานล่องหนไปทีละนิด ทีละนิด จนเขาสามารถมองเห็นอุโมงค์ที่ส่องแสงแวววับอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีอยู่เเล้วเชียว หากมิใช่จู่ ๆ ก็บังเกิดเสียงคำรามปริศนาดังสนั่นไล่มาจากข้างหลัง… Undead นิรนามแทบจะไม่ต้องหันกลับไปมองเลย จิตสำนึกของเขารับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของตัวอะไร พระเอกของเราตัดสินใจเสี่ยงตายกระข้ามหุบเหวลึก เเล้ววิ่งตรงตัดผ่านพวกปีศาจ Man Eater Shell ที่อยู่รอบ ๆ ทางเข้าอุโมงค์ไป         ภายในนั้น Undead นิรนามได้พบผลึกแก้ว  Primordial Crystal อันเป็นเเหล่งพลังอมตะของ Seath เเต่ทว่าแทนที่เขาจะทุบทำลายมันในทันที พระเอกของเรากลับยืนรอให้เจ้าของเสียงคำรามพุ่งตัวเข้ามาในอุโมงค์เสียก่อน... แต่ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าเขาต้องการให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด ได้เป็นสักขีพยานในช่วงเวลาต่อจากนี้( ภาพประกอบ : สูญเสียไปเท่าไรเพื่อให้ได้พลังมา... )              ความเป็นอมตะคือสิ่งที่ Seath โหยหามาแต่ยุคสมัยยุคสมัยบรรพกาล สิ่งนี้คือปมด้อยที่คอยผลักดันให้เจ้ามังกรลงมือกระทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง หรือยอมทำสิ่งผิดศีลธรรม Seath ยอมเเลกทุกอย่างเพื่อที่จะทดแทนปมด้อยภายในใจจนสุดท้ายก็ได้มันมาครอบครอง...         Undead นิรนามตะโกนเรียกชื่อเจ้ามังกรวิปลาสอย่างสุดเสียง เขารอให้มันหันใบหน้าสีซีดเสียวมาตรง ๆ แล้วจึงถีบผลึกแก้ว Primordial Crystal จนแตกกระจายต่อหน้า Seath         เพียงเเค่เสียง… เเค่เสียงที่ดังเเสบหูคล้ายกับเเก้วเเตกลงพื้น เจ้ามังกรรู้สึกเจ็บปวดทันทีเหมือนกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มหัวใจ ทั้งความเศร้าเเละความโกรธเกรี้ยวที่มิอาจบรรยายได้ คือสิ่งที่ Undead นิรนามต้องการให้ Seath รับรู้เช่นเดียวกับในยามที่เขาต้องมอง Rhea ตายลง( ภาพประกอบ : ความจริง Seath จะหนีไปเพื่อตั้งหลักใหม่ก็ได้...เเต่ด้วยความโกรธทำให้มันบ้าจนลืมความรอบคอบ )Seath เริ่มคำรามอย่างบ้าคลั่ง มันเหวี่ยงหางที่พิกลพิการทั้งสามไปมั่วซั่ว คล้ายกับเด็กน้อยที่ร้องงอแงเมื่อของเล่นชิ้นโปรดถูกทำลาย เเต่ทว่านี่กลับทำให้พระเอกของเรารู้สึกซะใจมากยิ่งขึ้น เขาได้ลงมือวิ่งเข้าไปหั่นหางของเจ้ามังกรออกทีละชิ้น ทีละชิ้น เพื่อให้ Seath ซึมซับความเจ็บทุกอณูรูขุมขนเฉกเช่นเดียวกับเหล่าหนูทดลองที่เคยผ่านมือมัน         เจ้ามังกรวิปลาสร้องลั่นเเละบิดตัวหมุนไปมา มันพยายามพ่นลมหายใจมังกรเข้าใส่ Undead นิรนาม ทว่าพระเอกของเราก็หลบได้ ประสบการณ์ได้สั่งให้เขาปีนขึ้นบนหลังเจ้ามังกร และจัดการเลื่อยปีกสีรุ้งของมันออกจนไม่เหลือ!          ความทรมานปิดฉากลงด้วยการที่ Undead นิรนามปักดาบเข้าใส่ท้องของเจ้ามังกร ตัวเขาไม่ลังเลเลยที่จะคว้านดาบไปรอบ ๆ ซี่โครงเพื่อค้นหา Lord Soul ในตับไตไส้พุง… เขาทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกับพ่อครัวที่กำลังคนเเกง แม้ว่าร่างเจ้ามังกรจะหยุดดิ้นไปแล้วก็ตาม( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นตัดหางของ Seath ในระหว่างการต่อสู้ เราก็จะได้ Moonlight Greatsword มาใช้งาน)         ในท้ายที่สุด Undead นิรนามก็ดีใจเมื่อได้ค้นพบชิ้นส่วน Lord Soul จนได้! ทว่าความรู้สึกปลื้มปริ่มก็คงอยู่ได้แค่แป๊ปเดียว เพราะเมื่อเลือดแห่งความแค้นได้เลือนลับหายไปจากดวงตา ความเป็นจริงที่ว่านักบวชสาว Rhea จะไม่มีวันย้อนคืนกลับมาก็พลันเเล่นเข้ามาในหัวโปรดอย่าเข้าใจผิด Seath มันสมควรตาย! แค่ทว่าดวงใจของ Undead นิรนามกลับมิได้รู้สึกหายจากอาการเศร้าสร้อยเลยเเม้เเต่น้อย... พลังอันมหาศาลจาก Lord Soul ภายในอุ้งมือ มีหรือจะสู้ความอบอุ่นจากปรายนิ้วของแม่นาง Rhea คนดีของเขาได้  ความอมตะที่แท้จริง         หลังจาก Seath ได้ตายลงหอจดหมายเหตุ Duke's Archives ก็ถูกทิ้งร้างและไร้ซึ่งกฎระเบียบ เหล่า Channeler ทั้งหลายต่างเลิกรา เเละกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันได้นำตำรับตำราติดตัวไปด้วย ห้องสมุดอันสุดแสนอลังการที่ผู้คนมากมายเคยใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยือน บัดนี้กลับเหลือเพียงแค่ชั้นวางหนังสือเปล่า ๆ กับใยเเมงมุม         กระนั้น ก็ยังมีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยังคงปักหลักอยู่ใน Duke's Archives เขาคนนั้นพร่ำเพ้อร้องพูดไม่ได้ศัพท์ แถมยังเปลือยกายล่อนจ้อนเดินโทงเทงไปมาอยู่ในห้องโถงคริสตัล อันครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของ Seath… นามของเขาก็คือ Big Hat Logan( ภาพประกอบ : Big Hat Logan ถอดเสื้อผ้าออกเพราะต้องการจะกลายร่างเป็นมังกร อันเป็นวิธีเดียวกับที่ Path of the Dragon ทำ )         Logan บุคคลที่เคยเป็นถึงปรมาจารย์ระดับสูงของศาสตร์เวทมนตร์ เขาเคยมีลูกศิษย์ลูกหาเก่ง ๆ มากมายนับไม่ทวน แต่ว่าอะไรกันละ? อะไรเป็นสาเหตุทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้? คำตอบก็คงต้องย้อนกลับไปดูยังจุดเริ่มต้น         อย่างที่รู้ ๆ กัน ว่าเจ้ามังกรวิปลาส Seath เป็นนักทดลองวิทยาศาสตร์ตัวยง เเละแน่นอนว่ามันต้องเผชิญกับความล้มเหลวหลายครั้งก่อนจะค้นพบ Primordial Crystal  โดยหนึ่งในบรรดาการทดลองที่ล้มเหลวนั้น ก็มีอยู่เวทมนตร์หนึ่งที่ให้ผลลัพธ์คล้ายครึ่งกับการเป็นอมตะ.... มันคือศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า “การย้ายจิต”( ภาพประกอบ : ตำนานของ Logan ได้เเพร่กระจายออกไปสู่คนรุ่นเเล้วรุ่นเล่า เเละสร้างคนที่นับถือวิถีเฉกเช่นเขาไว้มากมาย )         เวทมนต์ย้ายจิต ก็คือท่าไม้ตายก้นหีบที่ Seath ตระเตรียมไว้ก่อนที่จะได้ค้นพบ Primordial Crystal โดยมันได้แอบสอดไส้คำสาปนี้ลงไปในตำราเวทมนตร์ชั้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่าใครก็ตามที่หลงไปอ่านมันจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถอยู่พอสมควร หรืออย่างน้อยขอแค่มีพลังมากพอที่ Seath จะควบควบร่างไปใช้ทำอย่างอื่นได้ตามประสงค์         Big Hat Logan ก็คือเหยื่อคนเเรกแห่งความทะเยอทะยานนี้ เขาได้ถูกคำสาปเข้าครอบงำสมองจนหลงคิดว่าตนเองเป็น Seath และได้กำลังเตรียมการย้ายถิ่นฐานไปสู่ดินแดนอันห่างไกล ดินเเดนที่ติดกับชายฝั่งทะเลซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า Drangleic( ภาพประกอบ : วันหนึ่งในอนาคตผู้เล่นจะได้หวนกลับมาเจอกับ Seath อีกครั้ง... )  คุยกันหลังเรื่องเล่า         ก็จบลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบหก “มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอัมตะ” สำหรับผม บทนี้เป็นบทที่ค่อนข้างจะสนุกในการเขียนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับเรื่องของเจ้า Logan และการตายของ Rhea... ซึ่งถ้าหากเรามาคิดกันดูดี ๆ NPC ทั้งสองต่างก็เป็นตัวละครที่ถูกเราช่วยเอาไว้ทั้งนั้น แต่สุดท้ายทั้งสองก็ต้องจบลงด้วยความเศร้าอย่างช่วยไม่ได้ (เหมือนว่าทางผู้พัฒนาต้องการจะสื่อว่าทุกคนถึงเวลาก็ต้องตาย)         ในส่วนตอนท้ายบทความ ผมได้มีการทิ้งเชื้อไว้สำหรับ Dark Souls 2 นิดหน่อย…แต่คงอาจจะใช้เวลาอีกนานกว่าตัวผมจะเขียนไปถึงจุดนั้น อย่างไรก็ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่ยังร่วมเดินทางไปด้วยกัน แม้หลายคนอาจจะรู้ตอนจบอยู่แล้วก็ตาม เอาละตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาตัวผมต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ   
01 Apr 2021
ชวนนั่งคิด เป็นไปได้หรือไม่ที่จักรวาล Soulsborne ทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน?
ประเด็นที่ว่าจักวาล SoulBorne ทั้งหมด (Demons Souls, Dark Souls 1 - 3, และ BloodBorne) ซึ่งบ้างก็บอกว่าทั้งสามไม่น่าเป็นเกมที่อยู่ในจักรวาล หรือ Timeline เดียวกับ แต่ก็ยังมี Youtuber และนักเขียนหลายคนที่นำเสนอทิศดีที่ชื้ให้เห็นว่า ทั้ง 3 เกมอยู่ในจักรวาล และ Timeline เดียวกัน ซึ่งทาง From Software ก็ไม่เคยออกมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงพูดคุยในหมู่แฟนเกม โดยส่วนตัวผมเองแล้ว เชื่ออย่างยิ่ง ว่าทั้ง 3 เกม อยู่ในจักวาลเดียวกัน โดยมี Demons Souls เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล ต่อมาด้วยประเด็นความขัดแย้งเรื่องว่า โลกควรจะมีพลังของไฟอยู่หรือไม่ใน Dark Souls ก็เป็นจุดเริ่นต้นของเรื่องราวในโลกของ Bloodborne ซึ่งวันนี้ผมจะขออธิบายทฤษฎีของผมให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ ป.ล "บทความนี้มีการสรุปเนื้อเรื่องของตัวเกม SoulBorn ทั้งหมดเอาไว้แบบพอสังเขป และมีการสปอยเนื้อเรื่องบางส่วนด้วย" เรื่องราวของ Demon’s Souls เกี่ยวกับอะไร ? บทเริ่มต้นของ Demons Souls ได้กล่าวว่า   "ในวันแรกมนุษย์ได้รับดวงวิญญาณ / สติความนึกคิดมา และในวันที่สองแผนดินของถูกปลูกด้วยพิษร้ายแรง ปิศาจที่กัดกินดวงวิญญาณทั้งปวง" เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ) การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า   "ฉันยินดีที่จะยกไอเทมเหล่านี้ให้กับเธอ เพื่อแลกกับ Souls จำนวนที่เท่าเทียม เธอก็รู้ว่าฉันต้องการ Souls เพื่อให้ตัวเองยังคงมีสติอยู่"  เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder, Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง เมื่อพลังแห่งความมืดเข้มแข็งกว่า การตายของมนุษย์จึงไม่ทำให้พวกเขาตาย แต่ได้รับ Dark Sign มา โดยแลกกับ Humanity ที่ตัวเองมี และทำให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะ Undead และยิ่ง Undead ต้นนั้นตายซ้ำตายซากมากขึ้นเท่าไหร่ พวกมันก็จะสูญเสียความนึกคิดกับสติปัญญาไปมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง เหล่า Undead จะกลายเป็น Hollow ที่ไม่มีความนึกคิด ไม่มีจุดหมาย ลืมกระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร Hollow บางตัวก็อยู่นิ่งเฉยๆ แต่ Hollow บางตัวก็โจมตีผู้อื่นไปทั่ว (ซึ่งนี่อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของ Lore ช่วงแรกจากเกม Demons Soul ที่กล่าวว่าถึงพิษที่ถูกปลูกลงมายกพื้นโลก เพราะถ้าหากเข้าใจว่า Souls และ ไฟ คือพลังของมนุษย์ Deep Fog กับพลังแห่งความมืด ก็คือสิ่งที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามครับ) เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One) เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel  เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน) โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen One ที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ Father Ariandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ  Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ อีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เลือด มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าไฟ คือในฉากที่เลือดของเหล่า The Abyss Watcher ไปรวมกันที่ร่างเดียว และหลอมรวม Soul ของพวกเขาทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง ก่อให้กำเนิดร่างที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา หรือตอนจบของ DLC The Ringed City ที่ Slave Knight Gael ดื่มเลือดของราชาแห่ง Pygmy เข้าไป และได้รับพลังแห่งความมืดมา รวมถึงประโยคที่เขาพูดว่าหลังเลือดลดไปได้ครึ่งหลอดที่บอกว่า "นี้คือเลือด เลือดที่มีพลังของ Dark Souls" กล่าวคือนอกจาก เลือด จะเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ใช้ส่งต่อพลังให้กับคนอื่นได้ด้วย ในขณะเดียวกัน เลือด ก็เป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกันสามารถสังเกตได้ในตอนที่ Father Ariandel ใช้ ถ้วยทองขนาดใหญ่ ทุบลงไปที่เลือดของ Elfriede ที่นองอยู่บนพื้นจนทำเกิดเปลวไฟขึ้นมา (ให้ไปนาทีที่ 3.19 ในคลิปด้านบน) ในจุดนี้ผมจึงคิดว่า เลือด เปรียบเสมือนภาชนะที่ใช้ในการกักเก็บพลังของแสงสว่าง หรือความมืดก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ใน DLC Ashes of Ariandel เราจะได้พบกับหญิงสาวผมขาวที่ต้องการจะวาดภาพโลกที่ มืดมิด หนาวเหน็บ และอ่อนโยน และเธอหวังว่ามันจะเป็นบ้านที่แสนสุขให้กับใครสักคน ซึ่งภาพวาดของเธอถูกวาดขึ้นมาด้วย "เลือด" เพื่อที่จะวาดภาพนี้ให้สำเร็จเธอกล่าวว่าเธอต้องการที่จะเห็น ไฟ (ซึ่งผมเข้าใจว่า เพื่อเธอจะไม่เผลอวาดพลังของ ไฟ เข้าไปในโลกใบนี้ด้วย) ในตอนจบหลังจากเอาชนะ Father Ariandel กับ Friede ได้ ไฟจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่ง Ariandel ถ้าหากกลับไปคุยกับเธอ เธอจะขอบคุณเรา และเริ่มวาดภาพต่อ โดยถ้าหากอ้างอิงว่าภาพที่ถูกวาดด้วยเลือดคือโลกหนึ่งใบ ภาพที่หญิงสาวผมขาววาดขึ้นมาด้วยเลือด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นโลกของ BloodBorne ครับ โลกของ BloodBorne เรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลา ซึ่งต้องการจะวิวัฒนาการ BloodBorne จะกล่าวถึงโลกที่มนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็น Hunter ได้ เพียงแค่รับเลือด "PaleBlood" เข้าไป โดยโลกของเกมไม่มีการกล่าวถึงคอนเซ็ปต์เรื่อง Souls หรือ ไฟ และความมืดอีกเลย ราวกับว่าเป็นโลกที่มนุษย์ลืมพลังเหล่านั้นและหันมาพึ่งพาเพียงแค่พลังของ เลือด อย่างเดียว แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด ไ ปแล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป) เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้ ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ " โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)   อีกหนึ่งหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของผม คือบทพูดของ NPC ที่ชื่อว่า Marvellous Chester ที่เมือง Oolacile ในภาคแรกที่มีใจความว่า   "อืม ขอฉันเดานะ เดินเข้าไปในความมืด แล้วรู้ตัวอีกที่ก็มาโผล่อยู่ในอดีตสินะ? เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน เราทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น ที่มาอยู่ในแดนประหลาด" บวกกับแต่งตัวเหมือนมาจากเมือง Yharnam มากกว่า Oolacile แถมยังถือมีดที่โจมตีติดเลือดไหล กับหน้าไม้ในมืออีกข้าง (ดูยังไงก็เป็นรูปแบบการใช้อาวุธของ Hunter ในเกม BloodBorne) ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเรื่องราวของ BloodBorne คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตอันห่างไกลจาก Dark Souls ซึ่งมันยิ่งทำให้คิดแบบนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพบว่า ใต้เมืองของ Yharnam มีซากชุดเกราะจากยุคอดีตที่เหมือนกับตัวละครของเราใน Dark Souls ดังนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของ Oolacile ความเป็นไปได้ของ Elden Ring ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ เป็นอย่างไรกันบ้างกับทฤษฎีเนื้อเรื่องของผม? ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่เพื่อนๆ ได้อ่านมา เป็นการคิด วิเคราะห์ และสรุปจากหลักฐานที่ผมมี หมายความว่า มันอาจจะไม่ถึงต้องเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้ แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องที่ทั้ง 3 เกม อาจอยู่บนจักรวาล และ Timeline เดียวกัน? คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่? คอมเม้นต์พูดคุยกันได้ครับ
03 Mar 2021
ชวนนั่งคิด Soudtrack และ BGM สำคัญมากน้อยขนาดไหนในวิดีโอเกม?
ทุกวันนี้ผลงานเกมที่ยอดเยี่ยมถูกวัดค่าจากสิ่งใด? เป็นความยอดเยี่ยมของเนื้อเรื่องที่แต่งมาได้ซึ้งกินใจจนห้ามน้ำตาของผู้เล่นไว้ไม่อยู่? บางครั้งอาจเป็นเกมเพลย์สุดมันส์ที่บังคับดึงอารมณ์ความสนุกของผู้เล่นออกมาได้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบชั่วโมง? บางคนอาจบอกว่าเป็นวิธีการนำเสนอที่ผู้พัฒนาสร้างสรรค์ได้แปลกตาไม่เหมือนใคร ความอลังการ / สวยงามของกราฟิกก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น หรือจริงๆ แล้วอาจเป็นการผสมผสานทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาเข้าด้วยกันอย่างลงตัวรึเปล่า เราถึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า "เกมนี้คือผลงานที่ยอดเยี่ยม" ? แม้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกต้อง และอาจถูกใช้เป็นเกณฑ์ที่สื่อ หรือผู้เล่นจะมอบคะแนนให้กับเกมหนึ่งเกมจริง แต่จริงๆ เรากำลังมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป บางสิ่งที่คอยผลักดันให้ทั้ง 4 ได้อยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ของเวทีแห่งการชื่นชม สิ่งที่ถูกเรียกว่า "Soudtrack และ BGM"   งานวิจัยเรื่อง "Does Music Induce Emotion?" ของนักจิตวิทยาชาว Serbia คุณ Vladimir J. Konečni ในปี 1982 ได้แสดงให้เห็นว่าท่วงทำนองที่ซับซ้อน และดังจะสร้างอารมณ์โกรธให้ผู้ชม ในขณะที่ดนตรีที่นุ่มนวล ผ่อนคลาย และเรียบง่าย จะมอบความสบายให้กับผู้ชม นอกจากนี้ในฉากเดียวกันหากเราเลือกใช้ดนตรีประกอบที่ต่างกันไป ก็จะทำให้ความรู้สึก ความสงสัย และอารมณ์ที่มีต่อฉากนั้นแตกต่างกันไป วิดีโอข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนซึ่งผมอยากให้เพื่อนๆ สละเวลาเล็กน้อยสัก 2 นาทีเพื่อดูมันครับ (ไม่ต้องดูจนจบก็คิดว่าคงเห็นภาพกันแล้ว) มาถึงจุดนี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า "แล้วมันเกี่ยวกับเกมตรงไหน" ผมจะอธิบายว่า ก่อนอื่นเลยคือทั้ง 2 เป็นมัลติมีเดียเหมือนกัน และเป็นสื่อที่ให้ความบันเทิงเช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีสร้างของทั้งสองจึงแตกต่างกันแค่กระบวนการผลิตเท่านั้น (ซึ่งจากคำพูดของผู้กำกับชื่อดัง Christopher Nolan แล้ว จริงๆ เกมอาจสร้างยากกว่าหนังด้วยซ้ำ) ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าองค์ประกอบ หรือวิธีการใดๆ ที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งเป็นหนังที่ดีได้ วิธีการเหล่านั้นก็น่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างวิดีโอเกมให้ดีได้เช่นกัน แบบนั้นแล้ว เมื่อสำหรับหนังเพลงประกอบเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ฉันใด เกมเองก็ไม่สามารถขาดเพลงประกอบได้ฉันนั้น เนื่องจากการสร้างอารมณ์ร่วมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากเพียงผ่านตัวหนังสือ หรือสีหน้าของตัวละครอย่างเดียว ยิ่งเป็นฉากที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งความหวัง และความสิ้นหวังอยู่ด้วยดังเพลง Answer ฉาก Realm Is Reborn จาก Final Fantasy XIV ด้วยแล้ว การไม่มีบทเพลงใดๆ ประกอบเลย ฉากนี้ก็คงไม่ทำให้ผู้เล่นหลายหมื่นคนนั่งร้องไห้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองหลังได้เห็นโลกของเกมที่พวกเขารัก NPC ที่พวกเขาชื่นชอบ ตายไปพร้อมกับโลกที่พังทลาย ดั่งคนบ้าในยามราตรี ในคืนที่ชมเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก อีกหนึ่งตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของบทเพลงแห่งความหวัง และความสิ้นหวัง คงจะไม่พ้น Weight of The World ในตอนที่ผู้เล่นกำลังพยายามจะเก็บฉากจบสุดท้ายที่ชื่อว่า The [E]nd of Yorha เราจะต้องพบกับการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะได้ ตัวเกมจะถามทุกครั้งที่เราล้มเหลวว่า "จะยอมแพ้หรือไม่" ซึ่งในขณะเดียวกันเราจะต้องฟังบทเพลงที่มอบความสิ้นหวัง และความหวังให้ในเวลาเดียวกันไปด้วย โดยในทุกครั้งที่พ่ายแพ้ จะมีคำพูดให้กำลังใจจากผู้เล่นทั่วทุกมุมโลกค่อยๆ ขึ้นมาให้กำลังใจเรา พวกเขาจะบอกอยู่เสมอว่า "อย่ายอมแพ้", "นายทำได้", "เชื่อมันในตัวเองสิ" นำไปสู่ช่วงเวลาที่ตื้นตันจนไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ เมื่อได้ฉากจบสุดท้ายมา ตัวเกมจะถามว่า "คุณเอง ก็ต้องการส่งมอบความหวังให้กับคนอื่นรึเปล่า?" ถ้าหากใช่สิ่งที่ต้องแลกไปก็คือเซฟทั้งหมดของเกมที่เล่นมาจนถึงตอนนี้ ราวกับเป็นข้อความจากผู้พัฒนาว่า "ช่วงเวลาที่คุณเพิ่งได้สัมผัสไป จะมีได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น" บางครั้งดนตรีประกอบเบาๆ ที่มีเสียงร้องขับขานไม่เป็นภาษาในช่วง End Credit ก็อาจเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนการจากลาจากผู้พัฒนา เหมือนดังเช่น The Nameless Song จาก Dark Souls เมื่อเพลงดังกล่าวถูกขับขานผู้เล่นจะได้รับรู้ว่า "อา.. การเดินทางที่แสนยาวนานใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว" ปลายทางที่ไขว่คว้ามานานอยู่ห่างเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทั้งความสนุก, ความทรมาน, ความขื่นขม, ความเศร้า, ความตื่นเต้น ความรู้สึกทุกอย่างค่อยๆ จมหายไปพร้อมกับ ตัวอักษร End Credit ที่ขึ้นมาแทนที่ ในช่วงเวลานี้บางคนอาจรู้สึกเศร้า บางคนอาจร้องไห้อย่างเงียบๆ และบางคนอาจหลับตาเพื่อเงียบหูฟังบทเพลงแห่งการจากลานี้ด้วยรอบยิ้ม และความคิดที่จะไม่ลืมท่วงทํานองตราบนานเท่านาน บทเพลงที่น่าจดจำบางครั้งอาจเป็น BGM เล็กๆ สั้นๆ ที่เราฟังจนคุ้นเคยโดยที่ไม่รู้ตัวได้เช่นกัน ซึ่งถ้าหากให้ยกตัวอย่างเพลงที่คนไทยส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก และเมื่อฟังจะเกิดการคิดคำนึงถึง ก็คงไม่พ้นเพลง Theme หน้า Log In และเพลงบรรเลงของเมืองต่างๆ จากเกม Ragnarok ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ได้ยินก็ยังคงทำให้หวนรําลึกถึงความรู้สึกในวันวาน เมือง Prontera ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก, เมือง Morroc ที่มีพ่อค้าอยู่มากมาย, บางครั้งเราอาจได้เห็นห้องสนทนาที่มีหัวข้อแสนสนุก บางที่หัวมุมถนนตรงหน้าอาจผู้เล่นจำนวนมากกำลังหนีเอาตัวรอดจากบอสที่ออกมาจากไม้ผีอยู่ เมื่อเดินทางมาถึงหน้าดันเจี้ยนอาจได้พบกับสมาชิกเพื่อนร่วมกิลที่นัดหมายกันไว้ เมื่อได้ฟังเพลงข้างล่างนี้ทุกคนคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นกันบ้างรึเปล่า? เพียงแค่เสียงจากกีตาร์โปร่งหนึ่งตัว กับถ้อยคำขับร้องที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ในสถานการณ์ และฉากที่ถูกต้อง บางครั้งอาจน่าจดจำยิ่งกว่าดนตรีที่ถูกบรรเลงมาอย่างประณีต ดังเช่น Future Days ของ Joel ในช่วงเริ่มต้นของ The Last of Us Part 2 แม้เพลงนี้จะความยาวจะมีเพียงแค่ 3 นาที แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เชื่อว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจได้เลยว่า Ellie มีความสำคัญต่อชายแก่คนนี้ยังไง ทำไมเขาถึงหวงแหนเธอขนาดนี้ และมันจึงทำให้เราเสียใจ รวมถึงโกรธมากเมื่อได้ทราบถึงโชคชะตาของเขาในเนื้อเรื่องของเกมหลังจากนี้ โดยที่หลายคนอาจไม่ได้ตระหนักเลยว่า ตัวเองได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่อง รวมถึงเหตุการณ์ในเกมนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่านี้ไม่ใช้บทเพลงทั้งหมดที่ล่วนแล้วแต่งดงามในแบบของตัวเอง น่าจดจำในแบบของตัวเอง แต่หากจะให้ยกตัวอย่างทุกเพลงจากทุกเกมในโลกนี้แล้ว คิดว่าบทความนี้คงยาวแบบไม่มีวันจบสิ้นกันเลยทีเดียว ตัวอย่างที่ผ่านมาเพียงแค่อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพถึงพลัง และความสำคัญของบทเพลง ที่มักไม่ค้อยถูกพูดถึง หรือได้รับความสนใจจากเหล่าผู้เล่นเท่าไหร่นัก และน่าเสียดายเหมือนกันที่มิอาจยกตัวอย่างเพลงที่ดี แต่ไม่ถูกจดจำในโลกวิดีโอเกมให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพได้ เนื่องจากตัวผมเองก็เพิ่งหันมาให้ความสนใจ บทเพลงที่สวยงามจากเกมเหล่านี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม "เกม" ก็ยังถือว่าเป็น Multimedia ชนิดหนึ่ง ที่สุดท้ายแล้วก็ยังคงจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ตัวเองเป็นสิ่งที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ,การดำเนินของเนื้อเรื่อง, ภาษาที่ใช้, การเรียบเรียงคำพูดของตัวละคร, ฉาก, กราฟิก, ธีม, เกมเพลย์, ระบบ และปัจจัยสําคัญอีกมากมายที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เพลงที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นจะมีดนตรีที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน พรรณนาได้งดงามเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผลงานมีคุณค่า ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักเพียงหนึ่งเดียวที่จำเป็นต้องสร้างออกมาอย่างประณีตจนไม่จำเป็นต้องทำสิ่งอื่นได้ เช่นนั้นแล้วก็คงมิอาจเข้าถึงจิตใจของผู้เล่น หรือทำให้ถูกจดจำได้ หากขาดองค์ประกอบอื่นๆ ไปแม้จะเป็นบทเพลงที่สวยงาม และน่าฟังเพียงใด เมื่อไม่มีคุณค่าในการจดจำ เพลงนั้นก็คงถูกลืมเลื่อนหายไปตามกาลเวลา
28 Jan 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 15 มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ
            สวัสดีครับ! กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายเกม Dark Souls บทที่สิบห้า โดยเนื้อหาในบทนี้จะเน้นหนักไปยังแผนที่ Anor Londo ซึ่งจะมีเนื้อเรื่องเเยกย่อยมากมายให้กับตัวเอกของเราจะได้เผชิญหน้า อีกทั้งยังจะได้รับรู้ความจริงอันชั่วร้ายที่หมักหมมเอาไว้ใต้พรมโดยเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า Painted World of Ariamis โลกแห่งการจองจำ ณ อีกฟากของมิติ          พลังความศรัทธาของ Undead นิรนามจะถูกทดสอบด้วยคำถามที่จะสั่นคลอนคำทำนายแห่ง The First Flame เเละเปลี่ยนถึงมุมมองใหม่ต่อพลังความมืด... พลังซึ่งเดิมทีคือรากเหง้าของมนุษย์ เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ” ( ภาพประกอบ : ที่ใดมีเเสงสว่างที่นั่นก็ย่อมมีเงา...เหล่าเทพเจ้าต่างตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ )  < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่   คุกนรกเยือกแข็ง          Undead นิรนามสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนพื้นหิมะสีขาวที่หนาวเหน็บเเละกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่ทราบเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ก็เพียงเเต่เขากำลังล่วงตกลงสู่พื้นภายในวิหารของ Anor Londo จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป Undead นิรนามเดินเท้าลุยหิมะอย่างไร้จุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบกับปราสาทสีดำทมิฬแห่งหนึ่งที่มีสภาพเก่าพุพังคล้ายกับเพิ่งผ่านสงครามมามาด ๆ สภาพทางด้านหน้าได้มีการปักป้ายเตือนสุดพิสดารด้วยการนำศพของมนุษย์มาตั้งเรียงรายปักเด่นเป็นสง่า คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ริอาจก้าวเท้าเข้ามาเชียว          แต่ทว่ามีหรือกลจิตวิทยาแค่นี้จะสั่นคลอนจิตใจของคนอย่าง Undead นิรนามได้ เขาเดินผ่านป้ายเตือนที่ทำจากซากศพราวกับว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง พระเอกของเราไม่ทราบหรอกว่าที่นี่มันจะอันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้าหากยังยืนเก ๆ กัง ๆ อยู่ข้างนอกแบบนี้ละก็มีหวังคงได้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทั้งยืนกันพอดี ( ภาพประกอบ : ทางเข้าสู่ปราสาทเเห่งความสิ้นหวังใน Painted World of Ariamis )          บรรยากาศภายในปราสาทดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองของมนุษย์ซึ่งเกิดเหตุนองเลือดและล่มสลายเพราะ Curse of Undead โดยจะแปลกใหม่ก็เเค่ตรงที่มีกองหิมะสีขาวนวลคอยปกคลุมสุกซ่อนลอยเลือดสาดกับเศษภูเขาโครงกระดูกทั่วผืนดิน          ในระหว่างที่ Undead นิรนามกำลังเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น เขาก็ได้พบกับบุรุษปริศนาคนหนึ่งที่สวมหมวกสีเหลืองทองรูปทรงประหลาด ยืนตัวนิ่งอยู่ท่ามกลางลานหิมะซึ่งเต็มไปด้วยไม้เสียบลูกชิ้น(ซากศพ)มากมายนับไม่ถ้วน… ด้วยว่ารูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอกัน พระเอกเราตัดสินใจทันทีว่านั่นต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนเเละกระโจนเข้าห้ำหั่นอย่างไม่รีรอ ( ภาพประกอบ : Xanthous King, Jeremiah ในสภาพของ Red Phantom )          เจ้าบุรุษปริศนาเข้าต่อสู้กับพระเอกของเราด้วยการใช้เวทย์เพลิงขั้นสูง Pyromancy ซึ่งมันก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่พอตัวจนสามารถต่อกรกับพระเอกของเราได้อย่างสูสี พวกเขาประลองฝีมืออยู่นานเเต่ก็ไม่มีผู้เเพ้ผู้ชนะสักทีจน Undead นิรนามเริ่มเหนื่อยหน่าย จึงได้ลดอาวุธลงพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้วาจาเพื่อคุยตอบโต้กับอีกฝ่าย          เจ้าพ่อมดแนะนำตนเองว่ามันคือราชันทองคำ Jeremiah ส่วนสถานที่แห่งนี้ก็คือ Painted World of Ariamis คุกต่างโลกอันหนาวเหน็บซึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ใช้กักขังสิ่งต่าง ๆ ที่พวกมันหวาดกลัว (สถานที่ซุกขยะใต้พรมดี ๆ นี่เอง)   ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Chaos Storm ที่เจ้า Jeremiah ใช้เป็นเวทมนต์ขั้นสูงซึ่งมีเเต่คนตระกูลของเเม่มด Izalith เท่านั้นที่รู้  ) หลังได้ยินเช่นนั้นพระเอกของเราก็ถึงกับสงสัย เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนว่าเหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังนักทรงพลังหนา จะกวาดกลัวสิ่งใดเป็นด้วยน่ะเหรอ?... เจ้า Jeremiah หัวเราะเสียงดังลั่นใส่ Undead นิรนามถึงความไม่ประสีประสา จากนั้นก็เริ่มสาธยายวีรกรรมของเทพเจ้าให้กับพระเอกของเราได้รับฟัง… Gwyn คือเทพชั่วร้ายผู้หลงมัวเมาในอำนาจ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้โดยไม่เกียงวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดต่ออดีตพระชายา Velka และคนในครอบครัวของตนเอง, การอนุญาตให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath กระทำการทดลองอันโหดร้ายต่างต่างนานาต่อเหล่ามวลมนุษย์,  การอุปโลกน์ศาสนา Way of White เพื่อหลอกใช้ประโยชน์จาก Undead ให้มากทีสุด, ฯลฯ          Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในคำพูดของเจ้าพ่อมดตัวเหลือง เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสอนว่าเทพเจ้าคือสิ่งดีงาม Jeremiah จึงได้ถามพระเอกของเราว่ารู้จักกบฏทมิฬหรือไม่ ( Occult Rebellion ) ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องส่ายหัว ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพี Velka ใน Painted World of Ariamis )          Jeremiah เล่าว่าในครั้งอดีตเมื่อตอนที่ Curse of Undead เพิ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ทั้งโลกต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวและหันหน้าไปพึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo... ทว่าพวกโง่เขลานั่นหารู้ไม่ว่าเทพเจ้าเองก็กำลังระส่ำระสายไม่เเพ้กัน กบฏทมิฬซึ่งตอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลิงสีดำ Hexes โดยเทพี Velka ต่างก็ลงมติเห็นว่านี่นิมิตหมายอันดีที่จะโค่นล้ม Gwyn พวกเขาจึงเรียกรวบกำลังพลที่เคยส่งไปแทรกซึมตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อวางเเผนรอวันรอบสังหารที่เหมาะสม ( ภาพประกอบ : Vow of Silence เป็นหนึ่งในเวทมนต์สาย Hex ของ Velka โดยมันจะทำการผิดผนึกเวทมนต์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงพลัง Miracle ของเหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน )          ทว่าก็โชคร้ายแผนการดังได้เกิดรั่วไหลขึ้นเสียก่อน เหล่ามนุษย์ผู้ต้องสงสัยมากมายต่างถูกจับกุมเเละสังหารทิ้ง ณ ตรงนั้นโดยเหล่า Silver Knight อย่างโหดเหี้ยม จนเหตุการณ์บานปลายเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่ง          ผลลัพธ์จบลงด้วยการที่เหล่ากบฏทมิฬรังเเตก! พวกบรรดาสายลับเเละผู้มีส่วนเกี้ยวข้องกับ Velka ต่างถูกจับมาสืบสวนเพื่อสาวไส้หาต้นต่อ ซึ่งปรากฏว่ามีทั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูง ไปจนถึงวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เป็นนับหน้าถือตาในสังคม  Gwyn จึงมิอาจตัดสินลงโทษคนเหล่านี้เเบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และมันอาจจะกลายเป็นน้ำผึ่งหยดเดียวอันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นได้          Gwyn จึงออกอุบายหลอกให้คนเหล่านั้นเข้ามาอาศัยอยู่ใน Painted World of Ariamis โดยอ้างว่าเป็นสถานกักบริเวณชั่วคราวเพื่อรอวันที่ทุกคนจะได้เเก่ต่างให้ตนเองในชั้นศาล **ต้องชี้แจงก่อนว่ามิใช่ทุกคนที่นับถือเทพี Velka แล้วจะเป็นพวกกบฏทมิฬไปซะหมด หลายคนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่บูชา Velka แต่ก็ถูกจับตัวมาด้วย** ( ภาพประกอบ : The bloodshield หรือโล่โลหิต โดยมันเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ระดับตำนานที่สามารถพบเห็นได้เฉพาะใน  Painted World of Ariamis เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยมีบุคคลระดับตำนานอยู่ในนี้จริง ๆ )          เเต่ทว่าคนบ้าอำนาจอย่าง Gwyn มีหรือจะเชื่อใจได้ สาวกของ Velka ถูกหลอกให้เฝ้ารอวันพิพากษาที่ไม่มีวันมาถึง เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาจึงได้พากันละทิ้งความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก และหันมาสร้างอารยธรรมใหม่ของตนเองขึ้นบนดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้          เหล่าผู้ถูกทิ้งเริ่มสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ทางร่วมจิตใจอย่างโบสถ์บูชาเทพี Velka, โรงตีเหล็กที่เอาไว้ใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ซึกกร่อนเสียหาย, โรงเหล้าสำหรับดื่มย้อมใจเพื่อให้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในความทรงจำ... ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือผืนหิมะที่หนาวเหน็บ ( ภาพประกอบ : Black Set คือชุดเครื่องเเบบของนักบวชที่นับถือ Velka ซึ่งหาพบได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น ) ( ภาพประกอบ : Dark Ember เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างอาวุธธาตุมืด...เเละก็เช่นเคยมันอยู่ใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )          เเต่ทว่าโปรดอย่าลืม!ว่านี่คือเกม Dark Soul ฉะนั้นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจึงไม่มีอยู่จริง... หากโลกภายนอกมีความมืดที่คอยกัดกินแสงสว่างอยู่แล้วละก็ ในโลกของ Painted World of Ariamis ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความเน่าเปื่อยซึ่งมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน!          เหล่าผู้คนเริ่มก็สังเกตถึงเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดลอกจากร่างกาย บางก็มีตุ่มน้ำหนองน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาตามผิวหนัง มันเป็นโรคร้ายที่สร้างความทรมานให้แก่ร่างต้นพาหะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย เเต่โชคร้าย Curse of Undead ทำความตายมิอาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้ เศษเสี้ยวของ Dark Soul ที่ยังคงหลงเหลือในวิญญาณ ได้บังคับให้พวกเขาเกิดและตายวนเวียนไปมาไม่รู้จบ โดยต้องทนทุกข์เป็นสองเท่าจากการกลายเป็น Hollow(เสียสติ) และการเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน          สังคมสงบสุขที่อุตสาห์บากบันสร้างมาด้วยความฝัน บัดนี้กลับล้มครืนไม่เป็นท่าราวกับปราสาททรายที่ไม่เคยมีอยู่จริง ( ภาพประกอบ : Engorged Hollow หรือ Hollow ที่เน่าเปื่อย พวกนี้จะระเบิดร่างปล่อยควันพิษออกมาเมื่อตายลง )          พวกมนุษย์ที่สิ้นหวังเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี Velka ทุกวี่ทุกวันขอนางให้ช่วยนำพาความทุกข์ทรมานออกไปจากร่างกายนี้เสียที แต่ด้วย Painted World of Ariamis คือโลกต่างมิติดังนั้นจึงมีเพียงเเค่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพระนางอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น จึงได้รับพรให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ซึ่งเรียกว่า Crow Demon หรือปีศาจอีกา ครึ่งคนครึ่งที่สามารถโบยบินเพื่อหนีจากคำสาปเน่าเปื่อยบนพื้นดินได้ ( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวก Crow Demon )          ปาฏิหาริย์พลังแห่ง Velka เป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนเชื่อว่าจะช่วยพวกเขาได้ ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไปเสียหมด พวกคนที่สวดอ้อนวอนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยเพราะกลัวความตาย ร่างกายของคนพวกเขาก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน ทำให้กลายร่างเป็นก้อนเนื้อพิลึกพิลั่นที่ตามจำนวนพลังศรัทธา ( ภาพประกอบ : เหล่าสาวกของ Velka ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยจนกลายเป็นก้อนเนื้อ เเต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงปกป้องเเละภาวนาต่อนาง )         เมื่อสนทนามาจนถึงจุดนี้พระเอกของเราก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า Jeremiah ว่ามันอยู่ในช่วงเวลาไหนของเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งเจ้า Jeremiah ก็อ้างเเบบข้าง ๆ คู ๆว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งจึงมีภูมิต้านทานต่อคำสาป(โกหก) และมักจะใช้เวลาว่างในการสังหารพวก Hollow เพื่อสร้างสรรค์ป้ายบอกทางก่อนหน้านี้          Undead นิรนามเเกล้งพยักหน้ารับเหมือนกับว่าเชื่อลมปากดังกล่าว ทว่าความจริงเขาก็ทราบดีว่าใครก็ตามที่ใช้เวทมนตร์ Pyromancy จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกจอมเวทย์เพลิงใน Great Swamp หรือไม่ก็อสูรแห่ง Izalith ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงยังคงระวังตัวต่อไป... ( ภาพประกอบ : คนที่ทำเรื่องเเบบนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าได้ลงคอ คงจะต้องเป็นคนมีสันดานดิบเป็นเเน่เเท้ )          หลังได้แลกเปลี่ยนวาทะกันพอสมควร Undead นิรนามก็ถามถึงวิธีในการออกไปสู่โลกภายนอก เพราะว่าตนเองยังมีภารกิจที่ยังต้องไปสานต่อ เจ้า Jeremiah จึงบอกว่าวิธีจะออกไปน่ะมันไม่รู้หรอกเพราะตนเองก็ติดอยู่ที่นี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวเพราะยังมีหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งมันยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ โดยทางเข้าจะถูกเเบ่งออกเป็นสองทางด้วยกัน คือทางด้านบนเเละทางด้านล่าง ( ภาพประกอบ : เส้นทางที่จะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยว )          ทางด้านบน ได้ถูกปกปักรักษาไว้โดยมังกรยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยยักษ์ ส่วนทางด้านล่างก็หินไม่แพ้กันเพราะต้องลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบกรงล้อ Wheel Skeleton (แบบเดียวกับใน Catacomb) เพื่อกดสวิตช์เปิดประตูลับ          เจ้า Jeremiah หลงคิดว่าพระเอกของเรานั้นจะเป็นพวกสิ้นหวังเหมือนกับคนอื่น ๆ ทว่าหารู้ไม่ว่าพระเอกของเราเคยทำอะไรมาบ้าง(สังหารมังกรตัวเป็น ๆ ก็เคยทำมาแล้วฉะนั้นเรื่องแค่นี้ถือว่าง่ายมาก) Undead นิรนามได้พาเจ้า Jeremiah บุกไปสังหารมังกรเน่าเปื่อยจนสำเร็จ แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอเขายังได้สำแดงฝีมือด้วยการลงไปเปิดสวิตช์ประตูในชั้นใต้ดิน เเล้วกลับออกมาโดยไร้ซึ่งรอยขีดขวน ซึ่งวีรกรรมพวกนี้ก็ค่อย ๆ สร้างความเคารพนับถือภายในใจของมันทีละเล็กทีละน้อย ( ภาพประกอบ : ประตูลับที่จะเปิดก็ต่อเมื่อลงไปเสี่ยงยังใต้ดินอันสุดเเสนอันตราย ) ( ภาพประกอบ : มังกรผู้พิทักษ์ที่ร่างกายเน่าเปื่อยเเต่ก็ไม่สามารถตายได้สักที ) ( ภาพประกอบ : ลำตัวท่อนล่างที่ขาดลงชองมังกรเน่าเปื่อย )          เผลอเเป๊บเดียวจ้า Jeremiah ก็มายืนอยู่ต่อหน้าประตูหอคอยซึ่งมันไม่เคยมาถึง ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกระอายที่ปราศจากความกล้าในแบบ Undead นิรนามมี อันตัวมันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงกษัตริย์ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่ไม่น้อย          ผู้กล้าทั้งสองเดินเข้าไปในหอคอยโดดเดี่ยวและได้พบสาวน้อย(ร่างใหญ่)ปริศนาคนหนึ่ง นามว่า Priscilla เธอมีหน้าซะสวยประดุจเทพีนางฟ้า ทว่าร่างกายกลับมีขนสีขาวขึ้นตามตัวเหมือนกับสัตว์...ซึ่งดูร่วม ๆ ก็งดงามสะดุดตาดี... *เรื่องต้นกำเนิดของ Priscilla มันค่อนข้างจะยืดยาวและเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ ตัวผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในบทแรก ๆ แต่ถ้าหากจะให้สรุปง่าย ๆ นางก็คือลูกผสมข้ามสายพันธุ์ของเทพเจ้า Gwynevere และมังกรวิปลาส Seath * ( ภาพประกอบ : Priscilla สาวน้อยผู้ไร้เดียงเเละโดดเดี่ยวที่สุดในเกม Dark Souls )           Priscilla กล่าวทักทายผู้กล้าทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ในมือของนางกลับง้างเคียวเล่มยักษ์ขึ้นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ ( เพราะตอนเด็ก ๆ นางเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง ) Priscilla กล่าวว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองต้องการจะออกไปจากโลกอันหนาวเหน็บแห่งนี้ ก็เชิญกระโดดลงไปในเหวลึกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นางจะไม่ขัดขวางหรือทำอะไรทั้งสิ้น ( ภาพประกอบ : หน้าผาที่ Priscilla บอกให้กระโดดขึ้นไปเลย )          ในตอนแรก Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ Priscilla พูดเลยสักคำ เพราะนางเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ จะมาบอกให้เขากระโดดลงหน้าผาได้ยังไง? คง0tมีแต่พวกบ้าจี้ไม่ก็มือใหม่เท่านั้นแหละหลงกล... ซึ่งแตกต่างกับทางฝั่งของเจ้า Jeremiah มันคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาว(ตัวใหญ่)ผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คนแบบนี้ไม่มีทางโกหกใครได้หรอก          หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และหยิบยกเอาประเด็นข้อกังขาเรื่องเวทมนตร์ Pyromancy ออกมาซักถามเจ้าพ่อมดเหลือง เพราะ Pyromancy เป็นศาสตร์ที่ต้องหาเรียนจากผู้เท่านั้นซึ่งอาศัยอยู่ Great Swarm แถมเพลิงที่มันใช้ยังมีความคล้ายคลึงกับเหล่าอสูรนรกแห่ง Izalith อีกต่างหาก! Undead นิรนามจะไม่ยอมร่วมทางกับคนที่เขาไม่รู้ตัวตนที่เเท้จริงอีกเด็ดขาด... เพราะเขาอาจจะโดนหักหลังได้ทุกเมื่อ ( ภาพประกอบ : ในเเผนที่ Lost Izalith ได้มีศัตรูตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Daughter of Chaos ซึ่งใช้เวทมนต์เเบบเดียวกับ Jeremiah )          เมื่อหลักฐานเห็นตำตาเจ้า Jeremiah ก็ยอมจำนนในที่สุด มันรับสารภาพว่าตนเองเคยเป็นถึงอดีตพระสวามีของแม่มดแห่ง Izalith ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเพราะนางหมกมุ่นอยู่กับพลังของเพลิง Chaos จึงกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเขากับลูก ๆ และประชาชนอีกบางส่วนได้หลบลี้หนีภัยออกมาจากนคร Izalith          อันตัวเขามิอาจยอมรับชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้ จึงไปขอพึ่งใบบุญของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ทว่าก็ถูกจับโยนเข้ามาในมิตินรกเยือกแข็งแห่งนี้แทน แต่กระนั้นในส่วนเรื่องที่มันอ้างว่าตนเองมีภูมิคุมกันต่อพลังเน่าเปื่อยนั้นเป็นจริงทุกถ้อยคำ          Jeremiah เตรียมใจเฝ้ารอให้ร่างกายของตนเองเน่าเปื่อยมานานแล้ว ทว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเสียที ซึ่งถ้าหากจะให้สันนิษฐานดูเหมือนว่าพลังเน่าเปื่อยใน Painted World of Ariamis อาจจะพ่ายแพ้ต่อความร้อนจากเพลิงเวทมนตร์ Pyromancy ของมัน (เหมือนกับ Curse of Undead ที่แพ้ต่อแสงของ The First Flame) ( ภาพประกอบ : Painted World of Ariamis ก็เหมือนกับโลกภายนอก มันสามารถถูกชุบชีวิตได้ด้วยไฟ... จะต่างกันก็เเค่ไม่คนคอยสืบทอดอำนาจเเบบ Gwyn ดังนั้นโลกใบนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ทุก ๆ ครั้งที่มันเกิด )           เมื่อกล่าวความจริงออกมาหมดสิ้นเจ้า Jeremiah ก็เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราถึงโลกภายนอก ว่าเหล่าประชาชนแห่ง Izalith นั้นมีความเป็นอยู่เช่นไร? เเล้วพระชายาของเขา(แม่มดแห่ง Izalith)นางควบคุมเพลิง Chaos ได้ดั่งใจรึยัง?           พระเอกของเราลังเลนิดหน่อยที่จะตอบคำถาม(ก็เเน่ละ...พี่เเกเล่นฆ่าลูกสาวเจ้า Jeremiah ไปถึงสองคน) ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าความจริงจนได้ ประชากรแห่งนคร Izalith ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวกันไปหมดแล้ว แถมลูกสาวสองคนของเเม่มดเเห่ง Izalith ยังเป็นปีศาจร้ายจับผู้คนไปทรมานเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์อสูร ส่วนโลกภายนอกน่ะเหรอ? มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่นี่นักหรอก Hollow เดินเตร่ ๆ เต็มท้องถนน, ซากศพมากมายที่กองทับกันเป็นภูเขา, มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง Humanity… พูดง่าย ๆ ว่ากองหิมะคือสิ่งเดียวที่เเตกต่างจากตลกภายนอก ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Painted World of Ariamis / เดิมทีสถานนี้เคยถูกผู้พัฒนากำหนดให้เป็นสถานที่เริ่มต้นเกม เเต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ Northern Undead Asylum เเทน )           ความจริงเป็นสิ่งที่มิอาจจะวิ่งนี้ได้ Jeremiah เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวเขาที่เคยสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วครั้งหนึ่ง(นคร Izalith) มาบัดนี้กลับต้องเห็นภาพเดิมเกิดขึ้นซ้ำกับ Painted World of Ariamis... พอแล้ว พอกันที บุรุษผู้นี้มิอาจจะยอมรับความปวดร้าวได้อีกต่อไป ความหวังเป็นเพียงเเค่ภาพหลวงตาบนอากาศเมื่อถูกลมพัดก็อันตรธานหายไปในบัดดล          Jeremiah เริ่มสำผัสได้ว่าสติของตนเองกำลังเลือนลางเเละตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณแรกสู่ภาวะ Hollow เจ้าพ่อมดเหลืองจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยอมจบชีวิตตนเสียที่นี่ ดีกว่าจะกลายเป็น Hollow และต้องมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเหยื่อหลายคนที่มันฆ่า เพลิง Chaos ซึ่งร้อนดั่งไฟนรกถูกร่ายขึ้นมาล้อมรอบร่างกายของเจ้า Jeremiah เพื่อเผาเศษดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายในกายให้มอดไหม้ แต่ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะดับลง Jeremiah ก็ได้หันกล่าวเตือนพระเอกของเราเอาไว้เรื่องหนึ่ง “เหล่าเทพเจ้านั้นปลิ้นปล้อน จงอย่าเชื่อใจพวกมัน” ( ภาพประกอบ : ศพของราชันทองคำ Jeremiah )          คำพูดสุดท้ายของคนตายมันมักจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ...  Undead นิรนามเริ่มเอะใจกับคำพูดดังกล่าวเเละค่อย ๆ ตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่เขาเคยมองข้าม หากการต่ออายุของ The First Flame เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจริง ๆ ละก็ เหตุไฉนจึงใช้ให้มนุษย์ตัวจ้อยไปกระทำมันด้วยเล่า? ทำไมเทพเจ้าถึงไม่ทำมันซะเองละ Gwyn ก็เเสดงให้ดูเเล้วนี่ว่าทำได้? และถ้าหากว่ามาคิดดูดี ๆ ขนาดเทพเจ้า Gwyn ได้เผาตนเองตายไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไฟก็ยังคงดับอยู่ดี นี่ก็หมายความว่าวิธีนี่มันไม่ยั่งยืนน่ะสิ? หรือมันยังคงมีหนทางอื่นในการเอาชนะ Curse of Undead...หนทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ร่วมกับมืดได้อย่างสงบสุข ( ภาพประกอบ : ในอนาคตอันแสนไกลจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เฟ้นหาการหลุดพ้นจากวงจรเเห่ง The First Flame พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า Church of London )          Undead นิรนามนั่งขบคิดถึงคำถามมากมายที่อยู่ในหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า Priscilla กำลังย่องเข้ามาจากข้างหลัง ซึ่งถ้าหากว่านางตัดสินใจฟาดเคียวลงใส่เขาลงตอนนี้ Undead นิรนามก็คงไม่รอดชีวิต เผลอ ๆ อาจจะถูกนางดูดกินวิญญาณเสียด้วยซ้ำ… แต่ทว่ารางสังหรของเจ้า Jeremiah นั้นแม่นยำ สาวน้อยในร่างใหญ่ทำเพียงแค่เขย่าหลังของ Undead นิรนามเบา ๆ ด้วยสงสัยตามประสาเด็ก ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอได้เตือนสติเขาถึง Bonfire อันโชติช่วงของ Anastacia          พระเอกของเราจึงได้หันไปถาม Priscilla อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกระโดดหน้าผาคือออกไปจาก Painted World of Ariamis จริง ๆ โดยนางก็ผงกหัวและส่งยิ้มตอบกลับมา(ประมาณว่ายืนยันคำพูด) เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีก Undead นิรนามก็กลั้นใจทำตามที่นางบอก เขากระโดดโถมร่างกายลงสู่ความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ ถูกลบเลือนหายไปในความมืดอย่างช้า ๆ ( ภาพประกอบ : ภาพ Cutscene ในตอนที่ออกมาจาก Painted World of Ariamis  )   สหายผู้ทรยศ          Undead นิรนามข้ามมิติกลับมายังวิหารหลังใหญ่ใน Anor Londo วิหารซึ่งเดิมทีเขากับเจ้า Tarkus เคยล่วงตกลงมาพร้อมกันแต่ก็มีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ เกร็ดหิมะที่กำลังละลายบนชุดเกราะของเขาคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่า Painted World of Ariamis นั้นไม่ใช่ความฝัน ไม่รู้ทำไมพระเอกของเรารู้สึกว่าเเสงสว่างอันอบอุ่นในเมืองหลวง Anor Londo มันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้ว… สิ่งที่ได้รับรู้มามันได้สั่นคลอนความเชื่อในทุก ๆ ที่เขาเดินไปข้างหน้า  ( ภาพประกอบ : ศพของเจ้า Tarkus ที่ตกลงมาตาย ) Undead นิรนามมองดูเหล่า Silver Knight ที่ตั้งเเถวประจันหน้าเตรียมยิงมหาคันธนู(Great Bow) เข้ามาใส่ ชุดเกราะอันส่องสว่างดุจดวงดาวใต้พระอาทิตย์ของพวกมัน ไม่ได้มอบความรู้สึกภาคภูมิเเละเกียรติยศเเก่หัวใจของ Undead นิรนามอีกต่อไป เขาเริ่มค่อย ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงเเค่คนโง่เคราที่เต็มใจยอมทำตามคำสั่งราวกับเป็นหุ่นเชิดไร้วิญญาณ ( ภาพประกอบ : Silver Knight ภายใน Anor Londo ถือเป็นศัตรูที่น่ารำคาญมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเพราะว่ามันมักจะอยู่ในที่ ๆ เราสามารถพลาดพลังได้ง่าย )          ส่วนพวกยักษ์ Sentinel ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่หลอกด้วยคำสัญญากลวง ๆ พวกมันเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขนาดสามารถร่ายเวทมนต์ Miracle ขั้นสูงอย่าง Wrath of the Gods และ Healing อันเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้แรงศรัทธาได้ (Faith) เผลอ ๆ พวกมันอาจจะมีเเรงศรัทธามากกว่าเหล่า Silver Knight หรือนักบวชของ Way of White บางคนเสียอีก! ( ภาพประกอบ : Royal Sentinel ที่กำลังร่ายเวทมนตร์ Miracle )         
20 Jan 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 14 ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ โดยในบทนี้พวกเราจะมาดูกันว่าหลังจาก Bells of Awakening ทั้งสองใบถูกลั่นระฆัง เพื่อให้ประตูของ Sens Fortress อันเป็นด่านหน้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออก… เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่บทความ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ “ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์” ( ภาพประกอบ : ปากทางสู่เมืองหลวง Anor Londo เเห่งเหล่าเทพเจ้า เเต่มันช่างดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง เสียจนเเม้เเต่เเสงสว่าง ก็มิอาจส่องเข้าไปถึงข้างในได้ ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง บทที่สิบสาม เริ่มบททดสอบ Undead นิรนามลุกพรวดตื่นขึ้นจากการสลบไสล และได้พบว่าตนเองเดินทางมาถึงยัง Firelink Shrine ตั้งเเต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ เขาจำได้เเต่เพียงความฝันประหลาดว่าตนได้สังหารเหล่าอสูรแห่ง Izalith ไปนับถ้วนอย่างโหดเหี้ยม... แต่ทันก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก จู่ ๆ ก็มีเสียงของเจ้าจอมเวทย์น้อย Griggs  และพ่อมดเพลิง Laurentius กล่าวทักทายขึ้น เหล่าคนจรทั้งสองต่างกล่าวว่าเมื่อหลายวันก่อนได้มีเสียงระฆังดังขึ้นมาจากหุบเหวลึกเบื้องล่าง พวกตนจึงสามารถอนุมานได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นพระเอกของเราอย่างแน่นอน Undead นิรนามเริ่มออกมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่า Bonfire ที่เคยสุกสว่างโชติอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับดับสนิทลงอย่างน่าประหลาดใจ เจ้า Griggs จึงได้เล่าว่าหลังจากเสียงระฆังใบที่สองเริ่มดังขึ้น บนโลกเบื้องบนก็ได้เกิดเรื่องปั่นป่วนต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นมากมาย โดยเรื่องแรกก็คือเจ้า Lautrec ที่จู่ ๆ มันก็ดันลงมือฆ่าแม่นาง Anastacia และเก็บเอาดวงจิตเเห่ง Fire Keeper ติดตัวมุ่งหน้าเข้าไปยัง Sens Fortress เหลือทิ้งเอาไว้แต่เครื่องรางปริศนาอย่าง Black Eye Orb ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่ามันใช้ทำอะไรกันเเน่ ( ภาพประกอบ : Bonfire ภายใน Firelink Shrine ที่ดับลง ) ( ภาพประกอบ : Black eyes orbs เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเควสของเจ้า Lautrec   ) เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็แทบไม่อยากจะเชื่อหู เขากล่าวโต้เถียงหัวชนฝากับสองพ่อมดอยู่นานจนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงได้หันไปพูดคุยเจ้า Crestfallen Warrior ชายผู้ซึ่งเคยปรามาสเขาไว้ในอดีตว่าไม่มีทางลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบได้อย่างเเน่นอน เจ้า Crestfallen Warrior เริ่มกล่าวโทษว่าคนที่ทำให้ผืนปฐพีลุกเป็นไฟก็คือ Undead นิรนาม (พูดด้วยความอิจฉา) การลั่นระฆังได้ทำให้มี Undead มากมายเดินผ่านที่แห่งนี้เป็นพัลวันจนวุ่นวาย และไหนจะปีศาจคอยาวซึ่งส่งกลิ่นอายความเหม็นโชยออกมาโบสถ์ร้าง จนผู้คนแทบจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ ( ภาพประกอบ : โฉมหน้า Primordial Serpent ที่ชื่อว่า Frampt ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของเทพเจ้า Gwyn คอยทำหน้าที่เป่าหู Undead ให้ทำตามคำทำนาย ) Undead นิรนามรู้สะกิดใจกับคำว่า “ปีศาจคอยาว” เขาจึงลุกขึ้นเดินไปดูให้เห็นกับตาตนเอง และก็ได้พบกับสัตว์ประหลาดรูปร่างผิดธรรมชาติ ผิวสีดำของมันดูแข็งหยาบกระด้างราวกับหนังควาย หัวและคอมีรูปร่างดูคล้ายกับค้อนปอนด์ที่สามารถโยกเยกไปมาได้อย่างผิดรูป ริมฝีปากอันไร้ซึ่งหนังปกคลุมได้เผยให้เห็นแถวฟันบนและล่างอันน่าเกลียดที่ส่งเสียงคบเคี้ยวกันไปมาอยู่ตลอดเวลา… เเต่ถึงรูปร่างจะไม่ได้ดูน่าพิสมัย เจ้าประหลาดก็แนะนำตัวเองอย่างสุภาพ มันบอกว่าตนเองคือเผ่าพันธุ์งูดึกดำบรรพ์ Primordial Serpent ซึ่งมันมีชื่อว่า Frampt ข้ารับใช้คนสนิทของเทพเจ้า Gwyn Frampt เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราว่าเขาเป็นคนที่ลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบหรือไม่ ซึ่งเมื่อพระเอกตอบว่าใช่ ท่าทีของมันก็ดูเหนื่อยหน่ายราวกับว่าได้ยินคำตอบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน Frampt ได้แนะนำให้ Undead นิรนามเดินทางต่อไปยัง Sens Fortress เพื่อเข้ารับการทดสอบขั้นต่อไป เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้… ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Sens Fortress ที่พบใน Anor Londo ) หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามตกใจอย่างมาก! เพราะถ้าหากว่า Frampt พูดจริง ก็แสดงว่าตอนนี้เขากำลังถูกคนอื่นช่วงชิงผลงานอันยากลำบากไปต่อหน้าต่อตา พระเอกของเรารีบตระเตรียมเสบียงและข้าวของจำเป็นทันทีเพื่อออกเดินทาง เเต่ก่อนจะจากไปเขาได้บอกกับเจ้า Laurentius ว่าตนได้พบแม่มดเพลิงคนหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ใน Blighttown ซึ่งนางอาจจะเป็นคนที่เจ้าพ่อมดเพลิงกำลังตามหาอยู่ก็ได้ เมื่อร่ำลากันเสร็จ Undead นิรนามก็ออกเดินทางต่อไป โดยไม่ลืมที่จะพก Black Eye Orb ติดตัวมาด้วย เพราะว่าเขาต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้เค้นเอาความจริงจากปากของสหายร่วมรบให้ได้ ว่าเหตุใดกันถึงได้ลงมือฆ่า Fire Keeper Anastacia อย่างโหดเหี้ยม ( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากผู่เล่นฆ่าเจ้า Lautrec ก่อนลั่นระฆัง Bells of Awakening เเล้วละก็ Anastacia ก็จะไม่ถูกฆ่า… เเต่ก็จะอดได้ชุดเกราะของมันตามไปด้วย ) พระเอกของเราขึ้นลิฟต์ต่อไปยังโบสถ์ร้างภายใน Undead Burg ซึ่งเป็นทางผ่านอันนำไปสู่ Sens Fortress และเเน่นอนเขาไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมเยือนเเม่นักบวชสาว Rhea เเต่ทว่าก็หานางไม่เจอเเม้เเต่เงา พบเพียงข้าวของที่ตกหล่นกระจัดกระจาย ราวกับว่ามีการต่อสู้ในโบสถ์เเห่งนี้ก็ไม่ปาน Undead นิรนามรู้สึกร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก เนื่องจากกังวลว่านางอาจจะโดนเจ้า Lautrec สังหารไปอีกคน… เขาจึงรีบเดินทางผ่านบานประตูหน้ายักษ์ที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย และได้พบกับทหารยาม Man Serpent ซึ่งมีหัวเป็นงูแต่ร่างกายเป็นมนุษย์ คอยยืนรับน้อง(ดักตี)เหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่อาจหาญเข้ามาภายใน Sens Fortress ( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่า Man Serpent เป็นลูกสะมุนโดยตรงของมังกรไร้เกร็ด Seath  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Man Serpent บางประเภทได้รับการเรียนรู้พลังสายฟ้าทั้งๆที่เป็นธาตุเเพ้ทางของเผ่าพันธุ์มังกร )   ปากทางสู่แดนสวรรค์ ในครั้งอดีต เมืองหลวง Anor Londo เคยเป็นสถานที่อันรุ่งโรจน์ และยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหล่าอัศวินชั้นสูง Silver Knight จะออกตรวจตราตามป้อมปราการหลายแห่งทั่วดินแดน Lordran เพื่อโอ้อวดแสนยานุภาพของเทพเจ้าสูงสุดอย่าง Gwyn ต่อบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือน… ทว่าในปัจจุบันก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่ารอบกองไฟ เหล่า Silver Knight ต่างพากันถอยร่นกลับเข้าไปในเมืองเหลวง Anor Londo และสร้างหุ่นไม้อัศวินขึ้นมาใช้ตบตาใครก็ตามที่คิดจะบุกยึดดินแดนเเห่งเทพเจ้า ซึ่งแน่นอนว่านานวันเข้าเล่ห์กลง่าย ๆ เเบบนี้ ก็พลอยเสื่อมถอยตามก้อนอิฐเเละปูนของป้อมปราการทั่วดินเเดน Lordran ภายในช่วงเวลาเเห่งการเสื่อมถอย เหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo จำเป็นต้องจัดสรรกำลังพลให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือการเปลี่ยน Sens Fortress ให้กลายเป็นลานกับดักมรณะ เพื่อใช้ทดสอบเหล่าแมงเมาที่หลงใหลคลั่งไคล้ต่อคำทำนายเเห่ง The First Flame ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะหรูหราของ Silver Knight ได้ถูกนำมาสวมให้กับหุ่นไม้มากมายอย่างเสียของ ซึ่งเเสดงให้เห็นกลาย ๆ ว่าจำนวนทหารมันมีน้อยกว่าชุดเกราะมาก ๆ ) นิยามทั่วไปของป้อมปราการ ก็คือสถานที่อันแข็งแกร่งและยากต่อการบุกทะลวงโจมตี แต่โครงสร้างภายใน Sens Fortress ไม่ถูกสร้างให้เป็นกำแพงชั้นหินปิดตายแต่อย่างใด ทว่ากำแพงของสถานที่แห่งนี้ กลับไม่ได้ยากเกินกว่าความพยายามของมนุษย์ที่จะปีนป่ายฝ่าเข้าไป เเละในอดีตก็เคยมีผู้คนมากมายบุกทะลวงเข้าไปใน Sens Fortress มาเเล้วหลายครั้ง ด้วยคิดว่าการลั่นระฆัง Bells of Awakening ก็เป็นเพียงพิธีกรรมปาหี่… ซึ่งเเน่นอนถ้าหากว่ามันสำเร็จจริง ป่านนี้ Undead นิรนามก็คงไม่ถ่อมาถึงที่นี้ด้วยตัวเอง เหล่าผู้ทะนงตนทั้งหลาย ต้องพบเจอกับโครงสร้างภายในป้อมปราการอันวกวนไปมา เเละต้องคอยระแวงการถูกสุ่มโจมตีอยู่ตลอดเวลาจากทั่วทุกหัวมุมทางเดิน นี่ยังไม่นับรวมไปถึงกับดักอีกมากมาย อย่างเช่นกลไกแป้นเหยียบที่จะยิงลูกดอกอาบยาพิษออกมา, ใบขวานยักษ์ขนาดมหึมาที่จะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่พยายามข้ามสะพานไปอีกฟาก, พื้นโคลนเหนี่ยวหนืดซึ่งจะจับเหล่าผู้คนที่ตกลงมาเบื้องล่าง ให้ถูกพวกอสูรเพชฌฆาต Titanite Demon บดขยี้ สรุปง่าย ๆ Sens Fortress ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อป้องกันคนบุกรุกเข้ามา เเต่ถูกสร้างเพื่อกักขังคนเอาไว้ข้างในต่างหาก! ( ภาพประกอบ : บรรยากาศภายใน  Sens Fortress ชั้นล่าง ) ( ภาพประกอบ :  ลิฟต์ที่จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อถูกคนจากชั้นบนหย่อนลงมาให้เพียงเท่านั้น  ) เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะพอเข้าใจกันแล้วว่าเหตุใดกันจึงต้องมีคำนายให้ Undead ไปลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบเสียก่อน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติหลาย ๆ ประการ ให้มั่นใจว่าผู้ถูกเลือกจะสานต่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ เเละเลือกที่จะต่อชีวิตให้กับ The First Flame ( ยอมเป็นเบี้ยบนกระดานให้เเก่เทพเจ้า ) ( ภาพประกอบ : บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ Undead นิรนามเคยเผชิญ ต่างหล่อหลอมทำให้เขากลายเป็นคนที่เเข็งเเกร่ง ) Undead นิรนามคือบุคคลที่เข้าใกล้คำว่าผู้ถูกเลือกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นกับดักพื้น ๆ ภายใน Sens Fortress จึงมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย... เเต่เเน่นอนว่าเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo (เเละผู้พัฒนาเกม) ก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้เเล้วเช่นกัน พวกเขาจึงได้มอบบททดสอบใหม่ ๆ ให้เเก่พระเอกของเราได้เรียนรู้ ราวกับต้องการจะบอกว่าอย่าทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้ว ( ภาพประกอบ : กลไกลูกหินยักษ์ที่จะกลิ้งลงมาทับเหล่า Undead ที่ดื้อด้าน ) ( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร Mimic ที่จะปลอมตัวเป็นหีบสมบัติสามารถสังหารผู้เล่นได้ง่ายๆ หากไม่ระวังตัว ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Lloyds Talisman เป็น Item สำหรับ PVP เเต่สามารถใช้กับ Mimic เพื่อทำให้มันหลับเเละขโมยของที่อยู่ในปากของมันได้ ) หลังงมหาทางขึ้นอยู่นาน ในที่สุด Undead นิรนามก็เดินทางขึ้นมาถึงยังชั้นดาดฟ้าของ Sens Fortress จนได้ เเละเขาก็ได้พบคำตอบว่าสิ่งใดกันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่เคย Undead เคยผ่านสถานที่เเห่งนี้ไปได้… ร่างกายของมันทำจากเหล็กกล้าทั่วทั้งตัว ขนาดตัวอันใหญ่โตมโหฬารราวกับยักษาช่างดูขัดเเย้งกับส่วนหัวที่เล็กผิดปกติอย่างไม่น่าเชื่อ บริเวณกลางลำตัวมีรูโหว่กลวงโบ๋สีดำทมิฬอันเกิดจากกระบวนการถ่ายเทพลังวิญญาณจากซากกระดูกของมังกรนิรันดรเข้าไปสิงสู่ในสิ่งไม่มีชีวิต... จนบังเกิดเป็นยักษ์เหล็ก Iron Golem นายทวารเเละปาการด่านสุดท้ายเเห่ง Sens Fortress ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของ Iron Golem ผู้เคยสังหารความฝันของเหล่าผู้กล้ามาเเล้วมากมาย ) เจ้า Iron Golem มิใช่สิ่งเดียวที่คอยทำหน้าที่ปกป้องดาดฟ้าเเห่งนี้ เเต่ยังมีพวกบรรดาเผ่าพันธุ์ยักษาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจทดสอบเหล่า Undead ไปชั่วนิรันดร์ เนื่องจากพวกยักษาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวหลายพันปี เเละมีนิสัยยึดถือสัจจะเป็นที่สุด พวกมันจึงทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยกล่าวไว้กับเหล่าเทพเจ้าเรื่อยมาโดยไม่ปริปากบ่น... (ช่างน่าสงสาร) อุปสรรคต่อไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือเหล่าอัศวินแห่ง Balder, และ Berenike ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพวกที่ทะนงตนจนละเลย Bells of Aweakening เเละบุกเข้าโจมตี Sens Fortress เเต่ก็ทำไม่สำเร็จ โดยบัดนี้พวกมันได้กลับกลายเป็น Hollow ไร้สติสตางค์เที่ยวออกเดินมาตามดาดฟ้า เเละเข้าจู่โจม Undead ทุกคนประหนึ่งกับว่าต้องการจะให้ล้มเหลวเหมือนกับมัน ( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวกยักษาใน Sens Fortress  ) Undead นิรนามแลเห็นแล้วว่าพื้นที่บนดาดฟ้ามันก็ไม่ต่างอะไรกับทุ่งสังหารดี ๆ นี่เอง เขาจึงถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งทิ้งเสีย เเละเปลี่ยนไปใส่ชุดเบา ๆ ที่เน้นความคล่องแคล่วในการวิ่งหลบหลีกลูกระเบิดที่พวกยักษาปามา กับเพื่อสลัดฝูงอัศวิน Hollow ที่หมายตามมาจะเอาชีวิตเขา Undead นิรนามวิ่งหนีจนขึ้นมาถึงสะพานสามเเยกแคบ ๆ โดยด้านซ้ายเป็นทางขาดซึ่งจะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยวอันดูไม่น่ามีอะไร ส่วนด้านขวาจะนำไปสู่ทางขึ้นสู่ชั้นถัดไป ทว่าโชคร้ายเพราะทางขึ้นได้ถูกสะเก็ดเพลิงจากระเบิดเผาไหม้จนไปต่อไม่ได้เเล้ว พระเอกของเราจึงตัดสินใจว่าจะวิ่งกลับทางเดิมเพื่อไปตั้งหลักใหม่เสียก่อน... แต่ก็เหมือนหนีเสื้อปะจระเข้เพราะพวกอัศวิน Hollow ที่เขาเคยละเลยไม่ยอมสังหาร ต่างวิ่งไล่ตามมาจนกลับทางเดิมไม่ได้อีกแล้ว ( ภาพประกอบ : หนึ่งในอัศวินเเห่ง Berenike ที่กลายเป็น Hollow ) เเต่ท่ามกลางช่วงเวลามืดเเปดด้าน จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงตะโกนปริศนาดังมาจากทางหอคอยโดดเดี่ยวด้านซ้าย Undead นิรนามมองเห็นนับรบคนหนึ่งกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องคิดมากพระเอกของเราตัดสินใจวิ่งตรงปรี่ไปทางหอคอยโดดเดี่ยวทันที โดยที่มีเหล่าอัศวิน Hollow มากมายไล่ตามหลังมาติด ๆ ...แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว เขาเดิมพันชีวิตทั้งหมดเพื่อกระโดดข้ามสะพานที่ดูจะไกลเกินเอื้อมเเบบหมาจนตรอก ( ภาพประกอบ : หอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้าย  ) เหมือนฟ้าดลบันดาล! ในจังหวะที่พระเอกของเรากำลังส่งแรงผ่านปลายเท้าพอดี ลูกระเบิดเพลิงก็ดันลงมาตกอยู่ข้างหลังเขาพอดิบพอดี เเละสร้างแรงผลักส่งตัวเขาลอยข้ามไปยังฝากหนึ่งได้อย่างปาฏิหาริย์ ทิ้งให้พวกอัศวิน Hollow ที่ตามมาจมหายกลายเป็นขี้เทาในกองเพลิง เจ้าของเสียงปริศนารีบลากคอ Undead นิรนามที่กำลังหน้าคลุกดินเข้ามาหลบข้างในหอคอยโดดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว เจ้าบุรุษปริศนาคนนั้นได้เเต่งกายคล้ายกับพวกนักรบจากนคร Berenike เเต่มันก็ไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามที่เเท้จริงของตน(หรืออาจจะเป็นเพราะหลงลืมไปเเล้วเนื่องจากกำลังกลายเป็น Hollow ) ( ภาพประกอบ : Crestfallen Merchant ชายผู้คงสติได้ด้วยการปอกลอกคนตาย เเละยึดติดกับความโภคภายในจิตใจ  ) ยังไม่ทันที่เเผลไฟไหม้จะหายดี เจ้าอัศวินปริศนาก็เอ่ยปากบอกกับ Undead นิรนาม ว่าถ้าหากเขากำลังจะกลายเป็น Hollow ตัวมันก็ขอให้เขาทิ้งสัมภาระและชุดเกราะทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ เพราะถ้าหากตายไปยังไงก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรอยู่ดี Undead นิรนามเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เเท้จริงของไอ้หมอนี่ทันที เขาจึงไม่ตอบคำถาม… เมื่อได้เเต่เพียงความเงียบย้อนกลับมาเจ้าอัศวินก็วีดเเตก เเละงัดคำพูดบั่นทอนจิตใจเพื่อพยายามให้พระเอกของเราหมดสิ้นศรัทธาต่อคำทำนายให้ได้เหมือนกับตน ด้วยการยกตัวอย่างเหล่าคนบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายในอดีต อย่างเช่นราชันนักรบ Rendal ผู้เลื่องลือก็ยังยอมเเพ้, จอมทัพอัศวินเหล็กทมิฬ Tarkus ก็หายตัวสาบสูญไร้ร่องรอย, มหาจอมเวทย์ชื่อดัง Big Hat Logan ก็ยังถูกจับคุมขังอยู่ในคุก… เหล่าบรรดาบุคคลในตำนานมากมาย ต่างเคยพยายามฝ่าฟันมานานนมเป็น 100 ปีแต่ก็หาได้มีใครเคยทำสำเร็จไม่! ( ภาพประกอบ : ภายในเกมกุญเเจที่ใช้ช่วย Big Hat Logan นั่น อยู่ไม่ไกลจากหอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้ายมากนัก ) Undead นิรนามรู้สึกสะดุดหูเข้ากับชื่อ Big Hat Logan เป็นอย่างมาก คุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินเจ้าพ่อมดน้อย Griggs เอยถึงผ่าน ๆ เขาจึงได้ลองสอบถามถึงสถานที่คุมขังดังกล่าว และได้ความว่า Big Hat Logan ถูกซุกซ่อนเอาไว้ใต้กำแพงหินลับ ซึ่งจะต้องประยุกต์พลิกแพลงกับดักลูกหินใน Sens Fortress เพื่อทำลายกำแพงเข้าไป หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามกล่าวขอบคุณเจ้าพ่อค้าความตาย แต่กลับได้รับเพียงเสียงสาปแช่งว่าขอให้เขาถูกถลกหนังทั้งเป็น… พระเอกของเราเริ่มออกสำรวจตามหาคุกลับภายใน Sens Fortress เเละสามารถช่วยจอมเวทย์ Big Hat Logan ออกมาได้อย่างปลอดภัย ( ภาพประกอบ : Big Hat Logan หนึ่งในจอมเวทย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ ) เจ้าจอมเวทย์กล่าวขอบคุณพระเอกของเราอย่างยกใหญ่ แล้วจึงเล่าว่าตนเองเป็นหนึ่งในพวกที่พยายามบุกเข้าไปในเมืองหลวง Anor Londo แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนเขาได้เห็นพวก Man Serpent จับกุมนักบวชหญิงนางหนึ่ง เเละส่งตัวเข้าไปในเมืองหลวงผ่านเส้นทางลับ เเละด้วยความอับจนหนทางเขาก็เลยคิดโง่ ๆ ลองยอมให้พวก Man Serpent จับกุม เพื่อหวังจะได้ตั๋วฟรี...เเต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น Undead นิรนามรู้ได้ทันทีว่านักบวชสาวที่ว่าจะต้องเป็น Rhea อย่างแน่นอน ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก เพราะว่านางอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้ Undead นิรนามแนะนำให้ Big Hat Logan กลับไปตั้งหลักใน Firelink Shrine เสียก่อน เพราะว่าเจ้าลูกศิษย์ของเขา Griggs กำลังร้อนใจตามหาอยู่ ทว่าก่อนที่จะแยกย้าย พระเอกของเราก็ได้ลองถาม Big Hat Logan ถึงคำแนะนำในการผ่าน Sens Fortress แต่เจ้าจอมเวทย์กลับส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกล่าวว่าถ้าหาก Undead นิรนามสามารถฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ ก็แสดงว่าฝีมือได้ก้าวข้ามตนเองไปแล้ว ตัวจึงมิอาจมีสิ่งใดแนะนำได้อีก...นอกเสียจากเวทมนตร์เล็กน้อย ๆ ซึ่งจะให้สั่งสอนกันตอนนี้เลยก็คงไม่เหมาะนัก ( ภาพประกอบ : Big Hat Logan เป็น NPC คนสำคัญสำหรับผู้เล่นสาย Sorcery เขาขายทั้ง White Dragon Breath, White Dragon Breath, เเละ Great Heavy Soul Arrow ) Undead รีบกลับขึ้นไปยังดาดฟ้าเเดนสังหารอีกครั้ง แต่คร่านี้เขาพกเอาความห่วงใยที่มีต่อนักบวชสาว Rhea ติดตัวมาด้วย...ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่จอมปาลูกระเบิด หรือพวกอัศวิน Hollow ก็มิอาจหยุดชายคนนี้ได้อีกต่อไป เหลือเเต่เพียงปราการด่านสุดท้ายอย่าง Iron Golem นายทวารผู้พิทักษ์แห่ง Anor Londo ( ภาพประกอบ : ท่าผ่าอากาศของ Iron Golem ที่จะใช้โจมตีในระยะไกล ) Undead นิรนามพยายามออกสำรวจพื้นรอบ ๆ Sens Fortress ทุกตารางนิ้วเผื่อว่าจะเจออะไรดี ๆ กับเขาบ้าง จนกระทั่งบังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กปะทะกัน ดังสนั่นมาจากหาหอคอยทางด้านขวาของป้อมปราการ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พระเอกของเราจึงได้ลองตามไปดูที่มาของเสียง เเละได้พบกับอัศวิน Undead สองตนกำลังเหวี่ยงดาบเข้าฟาดฟันใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตามวิสัยปกติเเล้ว พวก Hollow จะไม่หันดาบเข้าฆ่าฟันกันเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนึ่งในสองอัศวินจะต้องมีใครสักที่ยังไม่กลายเป็น Hollow... พระเอกของเราจึงทดลองเอ่ยเสียงเรียกร้องความจนใจ เเละปรากฏว่าเจ้าอัศวินคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล่องเเคล่ว กลับวิ่งตรงปรี่เข้ามาหมายจะทำลายตัวเขา อันกลายเป็นเปิดช่องโหว่ให้อัศวินอีกคน ใช้ดาบยาวแทงทะลุหน้าอกคู่กรณีจนสิ้นชีวิต เจ้าบุคคลที่เพิ่งจะตายไปครู่นี้ก็คือเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora ซึ่งกลายเป็น Hollow ไปเเล้ว ส่วนอัศวินอีกคนมีนามว่า Tarkus นักรบเหล็กทมิฬแห่งนคร Berenike... โดยบุคคลทั้งสองต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่เเพ้พ่ายต่อป้อมปราการ Sens Fortress ( ภาพประกอบด้านซ้าย : ชุดเกราะของเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora จะมีความคล้ายกับ Oscar เเห่ง Astor เป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเเผนระหว่างพัฒนาตัวเกมอย่างฉับพลัน ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ  Tarkus ) แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วก็ตาม แต่เจ้า Tarkus ก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยราวกับเป็นหุ่นไล่กา ซึ่งไม่รู้เป็นเพราะนิสัยขี้อายส่วนตัวหรือว่ามันกำลังจะกลายเป็น Hollow กันแน่... พระเอกของเราจึงลองใช้ภาษามือสื่อสารแล้วชี้ไปทางเจ้า Iron Golem ด้วยหวังให้เจ้าอัศวินคนนี้ยอมตกลงปลงใจช่วยเขาต่อสู้กับมัน ซึ้งเจ้า Tarkus ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา ทำเเต่เพียงแค่พยักหน้าเพื่อสื่อสารว่าตามนั้น ทั้งสองใช้เวลาวางแผนการอยู่นานนมเกินความจำเป็น เพราะว่าเจ้า Tarkus มันไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่ผงกหัวรับทราบอย่างเดียว Undead นิรนามจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลุยงานของจริงไปเลย ผิดพลาดตรงไหนค่อยมาคุยเเก้งานกันทีหลัง ( ภาพประกอบ : Black Iron Greatshield โล่ประจำตัวของเจ้า Tarkus ซึ่งจะเพิ่มค่าต้านทานไฟถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นโล่ป้องกันไฟที่ดีที่สุดอันดับสองของเกม  ) ธรรมดาในการต่อสู้ระหว่างคนที่มีขนาดตัวต่างกัน คนตัวใหญ่มักจะต้องก้มตัวให้ต่ำลงเพื่อให้ง่ายต่อการจับตัวหรือเเลกหมัด… เเละยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีระหว่างยักษ์กับมนุษย์ ที่สามารถวิ่งไปมาเป็นหนูน้อยซุกซนรอบ ๆ ตัวเจ้า Iron Golem Undead พยายามกดดันให้เจ้ายักษ์เปลี่ยนมาใช้ท่อนขาเพื่อกระทืบพื้น ซึ่งเป็นจังหวะที่เขากำลังเฝ้ารออยู่! ทันทีที่มันกำลังจะยกเท้าเตรียมตัวจะกระทืบพื้น Undead นิรนามก็จะรีบวิ่งไปจู่โจมใต้ข้อพับของขาอีกข้าง สร้างภาระให้เเก่หัวเข่ามันทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมันเสียหลักหกล้มลงในที่สุด ( ภาพประกอบ : จังหวะที่ Iron Golem โจมตีพลาดก็คือจังหวะสวนกลับที่ดีที่สุด ) แผนขั้นต่อมาก็คือให้เจ้า Tarkus ใช้เเรงอันมหาศาล ระดมฟาดซ้ำเติมเข้าใส่หัวเข่าซึ่งหลอมมาจากเหล็กกล้าโดยไม่หยุดไม่หย่อน เเม้ว่ามือจะบวมเป่งจนกลายเป็นลูกตำลึงสีเเดงเเล้วก็ตาม เพราะไม่งั้นเจ้า Iron Golem จะกลับมายืนตั้งหลักได้ เรียกง่าย ๆ ว่าศึกนี้แพ้ชนะตัดสินกันที่ความถึก เมื่อทารุณกรรมหัวเข่าจนสาเเก่ใจ Undead นิรนามก็ส่งสัญญาณบอกให้ Tarkus ถอยห่างออกมา เพื่อปล่อยให้เจ้า Iron Golem ใช้ขาค้ำยันลำตัวของมันขึ้นมายืนตั้งตรงอีกครั้ง... เสียงเบียดเสียดระหว่างเหล็กกล้าดังสนั่นออกมาผ่านข้อต่อที่บิดเบี้ยว ชั้นเกราะหนาที่เคยเป็นเครื่องป้องกันชั้นดีบัดนี้กลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง เข้าฉีกกระชากหัวเข่าของเจ้ายักษ์เหล็กจนไม่เหลือชิ้นดี ในที่สุดเจ้า Iron Golem ก็ล้มหัวคะมำลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง เฉกเช่นเดียวกับเหล่าอัศวินมากมายที่เคยถูกมันโยนลงจากหอคอย เป็นอันจบสิ้นตำนาน Sens Fortress ป้อมปราการที่ไม่มีใครเคยพิชิตได้มากว่าพันปี! ( ภาพประกอบ : จังหวะที่เจ้า Iron Golem ล้มลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง )   ดินแดนแห่งมายาคติ Anor Londo ในท้ายที่สุดการเดินทางอันยากลำบากบนเส้นด้ายเเห่งคำนาย The First Flame ก็เปิดออก เหล่า Bat Wing Demon จำนวนมากต่างกระพือปีกบินกรูกันเข้ามาหอบร่างของอัศวินทั้งสอง พาลอยตัวขึ้นไปจนเหนือจุดบนสุดของกำเเพงเเห่งเมืองหลวง Anor Londo... รัศมีสีเหลืองทองจนเเสบตา พุ่งทแยงเข้าสู่ดวงตาของ Undead นิรนามเเละเจ้า Tarkus โอ้อวดปราสาทราชวังที่โอ่อ่ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ช่างแตกต่างกับบ้านเมืองของมนุษย์ภายนอกกำเเพงราวกับเป็นคนละโลก ทั้งดูสะอาดตา, สวยงาม, เเละยิ่งใหญ่สมคำลำลือจริง ๆ ( ภาพประกอบ : ดินเเดนต้องห้าม เเละเมืองหลวงของเหล่าเทพเจ้า Anor Londo ) ประโยคที่กล่าวออกไปก่อนหน้านี้ คือความคิดเเวบเเรกภายในหัวของมนุษย์ธรรมดาอย่าง Undead นิรนาม… ตัวเขามิอาจจะล่วงรู้ได้เลยว่า ความตระการตาที่อยู่ตรงหน้า เป็นเพียงเเค่ภาพมายาของเทพเจ้าองค์สุดท้าย Gwyndolin บุตนชายคนท้องของเทพเเห่งพระอาทิตย์ อย่างที่ท่านผู้อ่านทราบกันดีว่าหลังจากที่ Gwyn ได้สิ้นเสียชีวิตลง อาณาจักรที่เขารักนักรักหนาก็พลันเสื่อมสูญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทำให้เผือกร้อนต้องตกไปอยู่ในมือของ Gwyndolin ผู้เต็มใจรับหน้าสานต่อคำโกหกเเห่ง The First Flame ต่อไป สายเลือดเเห่งขัดติยะคนสุดท้าย ได้ใช้พลังเวทมนตร์อันเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด เนรมิตสร้างภาพลวงตาให้เสมือนประหนึ่งว่าเมืองหลวง Anor Londo ยังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรดังเช่นวันวาน แต่ทว่าคำโป้ปด ก็ยังคงเป็นคำโป้ปดอยู่วันยังค่ำ เหล่าราษฎรภายในเมืองต่างเริ่มสะกิดใจระแคะระคายถึงความจริงข้อนี้ และต่างพากันทยอยหลบหนีไปพร้อม ๆ กับเหล่าเทพเจ้าองค์อื่น ซึ่งรับรู้ถึงวงจรอุบาทว์แห่งประถมเพลิง จัตุรัสกลางเมืองที่เคยคร่าครำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มาตอนนี้กลับเงียบสนิทลงราวกับป่าช้า จนแม้แต่ตัว Gwyndolin เอง ก็ยังคลายเวทมนตร์ภาพลวงตาออกบางส่วน เนื่องจากมันไม่เหลือประชาชนให้ต้องล้างสมองอีกแล้ว ( ภาพประกอบ : ภาพที่กำลังดูอยู่นี้ คือทัศนียภาพของฉากหลังในเเผนที่ Anor Londo ซึ่งได้จากการใช้โปรเเกรมเเฮ็กเพื่อเข้าไปดูในระยะใกล้ ) กองกำลังหลักอย่างพวก Silver Knight ต่างถูกเรียกตัวกลับเข้ามารักษาการภายในวังหลวง เคียงคู่กับเหล่าทหารยักษ์ Sentinel ซึ่งมีสติปัญญาไร้เดียงสาเกินกว่าจะล่วงรู้ ว่าตนกำลังถูกหลอกใช้ให้ปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เหล่าอสูรชั้นต่ำอย่างพวก Bat Wing Demon เเละรูปปั้นไร้ชีวิตอย่าง Gargoyle ต่างก็ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังหลักสำหรับรักษาวังหลวง อันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเมืองหลวง Anor Londo กำลังเข้าตาจนเสียแล้วจริง ๆ
04 Nov 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 13 เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ
            สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม โดยในบทนี้เราจะไปดูสองสถานที่ซึ่งตัวผมเคยกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ Blighttown เมืองแห่งเหล่าคนจร และ Ash Lake ทะเลสาบดึกดำบรรพ์  วันนี้เราจะได้รู้กันว่าเหตุใดผู้คนถึงหวาดกลัว Blighttown ยิ่งกว่าสุสานใต้ดิน Catacomb และทำไมถึงมีคนบางสวนยอมบูชามังกรนิรันดรอันเป็นศัตรูตัวฉกาจของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo          เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม “ เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l lบทที่สิบสอง   เหมืองนรก          Undead นิรนามของเราได้ปีนบันไดไม้เก่าๆที่มีสภาพจะพังแหล่ไม่พังแลลงไปยังหลุมลึกใต้ดินอันมืดมิด พลังงานแห่งความตายลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วสถานแห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง แตกต่างกับ Catacomb และ Tomb of Giants อันเป็นสถานพักผ่อนของคนตาย และก็ไม่เหมือนกับ The Depth ซึ่งแม้จะดูน่าสะอิดสะเอียนมากกว่า แต่อย่างน้อยก็ยังมีวงจรชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน มีการเกิด, การสืบพันธุ์, และการตายตามธรรมชาติ          ความสิ้นหวัง คงกจะเป็นนิยามอันเหมาะสมที่สุดเเล้วสำหรับเมืองที่อัดแน่นไปด้วยจิตมุ่งร้ายเเเละความตายที่เจ็บปวดเเห่งนี้... ( ภาพประกอบ : ประตูสู่ขุมนรก Blighttown )          เมื่อเนินนานมาแล้วนับตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้ายังคงทำสงครามกับเหล่ามังกร ผู้คนได้มีการค้นพบแร่เหล็กล้ำค่า Titanite ซึ่งมีคุณสมบัติคงทนและสามารถนำมาแปลรูปได้หลากหลาย ทว่าข้อเสียก็คือแร่พวกนี้จะก่อตัวภายในดินที่เป็นพิษ ทำให้การขุดมันออกมาเป็นเรื่องอันตรายต่อสุขภาพของเหล่าคนงานเหมืองอย่างมาก          Gwyn ผู้นิยามเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันประเสริฐที่สุดในโลก สนใจเพียงแค่การขุดเอาแร่ Titanite ขึ้นมาทำเป็นอาวุธและชุดเกราะให้กับกองทัพของตน โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของเหล่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย Gwyn มอบหมายงานพวกนี้ให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยอย่างมนุษย์ไปหาวิธีอะไรก็ได้ขอแค่ให้ผลลัพธ์ออกมาที่สุดก็พอ...นั่นเป็นต้นกำเนิดของธุรกิจค้าทาสอันป่าเถื่อน ณ หุบเหวใต้ดินซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า Blighttown ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Blighttown  )          ทาส, เฉลยศึก, หรือเหล่าผู้คนซึ่งไม่มีใครต้องการ ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยน(ลักพาตัว)เพื่อนำมาใช้เป็นแรงงานขุดเหมืองนรกแห่งนี้ ใครก็ตามที่ย่างก้าวเข้ามาจะไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป นั่งร้านไม้เก่าๆอันทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาถูกสร้างให้ยึดติดเข้ากับผนังของถ้ำด้วยเทคนิควิศวกรรมประหลาด มันสามารถประคองน้ำหนักและถ่ายเทแรงเสียดสานไปยังส่วนต่างๆได้อย่างปาฏิหาริย์...ทว่าในทางกลับกันมันก็หมายความว่าสถานที่เเห่งฝันร้ายจะไม่มีวันพังทลายไปตลอดกาล          เหล่าผู้คุมถูกกำชับให้เร่งผลการผลิตแร่ Titanite จากคนงานอย่างบ้าคลั่งข้ามวันข้ามคืน จนมันค่อยๆทำให้จิตใจของพวกเขาบิดเบี้ยวเย็นชาเป็นอมนุษย์ที่ไร้ความปราณี นี่ยังไม่รวมถึงพิษจาก Titanite ซึ่งทำให้เหล่าคนงานต้องเจ็บป่วยทรมานอย่างช้าๆ ศพเเล้วศพเล่าถูกโยนทิ้งลงไปยังก้นเหวเบื้องล่างเเละก็แทนที่ด้วยคนงานชุดใหม่อย่างรวดเร็ว สินแร่ที่ขุดได้ก็จะถูกนำมาชะล้างยังบึงน้ำใกล้ๆเพื่อรอการขนส่งผ่านกังหันขนาดใหญ่กลับขึ้นไปสู่ทางออกลับ ( ภาพประกอบ : ทางผู้พัฒนาได้เเอบใส่มุขตลกเล็กๆด้วยการใส่สุนัขตัวเล็กๆ คอยเดินขับเคลื่อนกังหันขนาดใหญ่ )          หนองน้ำพิษเบื้องล่างถูกเรียกขานโดยผู้คนว่า Great Swamp มันไม่สามารถใช้ดื่มใช้กินอะไรได้เลยเนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษในดิน เรียกง่ายๆว่าสถานที่แห่งนี้คือขุมนรกอเวจีตั้งแต่ก่อนที่ Curse of Undead จะปรากฏตัวออกมาเสียอีก..           ในยามที่ Curse of Undead ปรากฏตัวออกมา ความทุกข์ทรมานของเหล่าคนงานเหมืองก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณ เพราะความตายไม่อาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้อีกต่อไปกลายเป็นวัฏจักรของการเกิดตายวนเวียนอย่างไม่รู้จบ ข้าวสารอาหารแห้งที่เคยได้กินพอประทังชีวิตถูกริบเก็บไปจนหมดเพราะต่อให้พวกเขาขาดสารอาหารจนตาย สุดท้ายก็จะกลับชาติมาเกิดใหม่อยู่ดี  ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของเหล่าผู้คุมที่มีจิตใจป่าเถื่อนเเละบิดเบี้ยว )  ( ภาพประกอบ : ศัตรูตัวฉกาจอันน่ารำคาญ ซึ่งมันจะคอยเป่าลูกดอกอาบยาพิษโจมตีมาจากระยะไกล )          ท่ามกลางช่วงเวลาเเห่งความสิ้นหวังอันไร้จุดจบ จู่ๆวันหนึ่งก็เกิดพลังงานความร้อนปริศนาใต้พื้นโลกเเละตามมาด้วยเหล่าผู้อพยพมาจากนคร Izalith ซึ่งพวกเขาบางคนเลือกจะปักหลักอยู่ใน Great Swamp และใช้เวลาที่เหลือถ่ายทอดวิชาศาสตร์แห่งเพลิง(Pyromancy) และบอกเล่าตำนานความยิ่งใหญ่ของนคร Izalith ต่อไป ศาสตร์แห่งเพลิงได้จุดประกายความหวังให้เเก่เหล่าผู้คนที่อ่อนล้าที่การหลบหนีออกไปจาก Blighttown (ตัวอย่างเช่นเจ้า Laurentius ) ทว่าช่วงเวลาที่ดีมันมักจะอยู่ได้ไม่นานเพราะ Chaos Flame ก็ได้ตามติดเหล่าผู้อพยพออกมาจากนคร Izalith ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งนับวันร่างกายของพวกเขาก็เริ่มกลายสภาพเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ข่าวลือเรื่องนี้ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ทำให้เขารีบจัดกองทัพไปปราบนคร Izalith โดยเร็ว แต่ไม่ใช่เพื่อปกป้องเหล่าผู้คนใน Blighttown หากแต่เป็นเพราะสนใจในพลังของ Chaos Flame ต่างหาก สงครามระหว่างอดีตพันธมิตรจบลงด้วยการที่ Gwyn ถอยทัพกลับไปมือเปล่า ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมอำนาจของเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ( ภาพประกอบ : มนุษย์ที่กลายร่างอย่างช้าๆเพราะพลังของ Chaos พวกเขาจะหากินทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้เพื่อต่อลมหายใจในชีวิตอันเเสนทรมาน ) ( ภาพประกอบ : เเม้สุนัขธรรมดาๆที่ติดเชื้อ Chaos ก็ยังสามารถพ่นไฟได้  )          ต่อมาเมื่อเทพเจ้า Gwyn ได้สละชีพของตนเองเพื่อต่อยุคแห่งไฟ อุปสงค์และอุปทานที่เคยมีต่อแร่ Titanite ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เหมืองใน Blighttown ค่อยๆกลายสภาพเป็นแค่ถังขยะมนุษย์และทางผ่านที่ใกล้สุดซึ่งจะนำไปสู่นคร Izalith ที่สาบสูญ ผู้คนไม่น้อยเลือกที่สันจรผ่านเส้นทางลัดอันแสนอันตรายเเห่งนี้เพื่อเหตุผลต่างๆของตนเอง โดยมีตั้งแต่นักสำรวจอับโชคไปจนถึงนักรบเงาจากดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออก          Blighttown ในตอนนั้นถูกมองว่าเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากวันดีคืนดีก็มีสัตว์ประหลาดปีนป่ายกลับขึ้นมาจากหลุมลึกเน่าๆ ขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนให้เเก่เหล่าผู้คนบนผิวโลกจึงนำไปสู่การสร้างประตูกั้นใน The Depth นั่นเอง ( ภาพประกอบ : ชุด Shadow Set เเละ Wanderer Set ที่สามารถพบได้ใน  Blighttown )          ด้วยเหตุผลข้างต้น Blighttown จึงถูกทิ้งให้เน่าตาย ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เหลือตัวเลือกเพียงสองทาง คือหนึ่ง!ยอมทนทุกข์ทรมานในร่างอัปลักษณ์ต่อไปเรื่อยๆเเละเกิดตายวนเวียนจนกว่าจะHollow  สอง!ก็คือยอมรับพลังของ Chaos ไปตรงๆเเละเข้าร่วมลัทธิบูชาอสูรแห่ง Izalith…      โลกดึกดำบรรพ์ใต้พิภพ          Undead นิรนามเราเดินทางผ่านสถานที่อันบิดเบี้ยวอย่าง Blighttown มาได้อย่างไม่ยากเย็นเเละเข้าสู่เขตแดนของบึงพิษ Great Swamp กลิ่นสารเคมีที่เหม็นจนแสบจมูกลอยออกมาจากผืนดินซึ่งเป็นพิษอันตรายจนสามารถคร่าชีวิตของมนุษย์ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีฝูงยุงดูดเลือดน่ารำคาญเเละอสูรเเมลงประหลาดที่สามารถร่ายเพลิง Chaos Flame ออกมาใช้โจมตีได้ ( ภาพประกอบ : Cragspider อสูรชั้นต่ำที่เกิดจากไข่ )          ทว่าภัยอันตรายทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นมันก็ยังเป็นเพียงแค่ออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อย...ถ้าหากท่านผู้ชมยังจำกันได้ผมเคยกล่าวว่ามีผู้คนบางส่วนพยายามเรียนรู้ศาสตร์แห่งไฟ Pyromancy เพื่อหนีออกไปจาก Blighttown ซึ่งมันก็คงจะฟังดูเป็นเทพนิยายเกินไปหน่อยหากจะบอกว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ศาสตร์แห่งเพลิงได้สำเร็จ          แน่นอนว่าชะตากรรมของผู้ที่ล้มเหลวก็จำต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่ตายเพราะโรคร้ายก็ต้องตายเพราะถูกดูดเลือดจนหมดตัว เเต่ทว่าก็ยังมีบางคนที่ร่างกายสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายได้ เเละหันมาดื่มกินเลือดเนื้อเเบบสัตว์ใน Great Swamp เพื่อความอยู่รอด ( ภาพประกอบ : ปลิงเเละยุงยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นในบึงพิษ ) ( ภาพประกอบ : สภาพเเวดล้อมเบื้องล่างเเทบจะไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก )          แต่ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นสาปของความตายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบึงพิษ Great Swamp เป็นสถานที่ซึ่งธรรมชาติไม่ได้ถูกลบกวนมากที่สุดเเห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบ้านของสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณที่แตกหน่อต่อผลขึ้นมาจากใต้พื้นดิน... นามของเจ้าสิ่งนั้นก็คือคือต้นไม้บรรพกาล Archtree ชื่อซึ่งถูกลบด้วยกองขี้เถ้าจากสงครามในอดีต            คนส่วนมากที่ได้เห็นต้น Archtree ภายใน Great Swamp มักจะทึกทักเอาเองว่านี่เป็นโคนของต้นไม้ ทว่าหารู้ไม่นี่ยังเป็นแค่เพียงปลายยอดเล็กๆที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือพื้นดิน ( ภาพประกอบ : ส่วนปลายยอดเล็กๆของต้นไม้ Arctree )          ย้อนกลับไปในอดีตต้น Archtree เคยแตกหน่อชอนไชไปทั่วดินแดน Lordran ขนาดที่แท้จริงของมันไม่มีใครสามารถประมาณการเป็นตัวเลขได้...ชนิดที่ว่าให้อธิบายเป็นคำพูดยังง่ายซะกว่า  จุดยอดสูงสุดของต้น Archtree พุ่งขึ้นไปจนแตะกับผิวของก้อนเมฆบนฟากฟ้า ลำต้นอันใหญ่มหึมาได้กลายเป็นบ้านให้เเก่สิ่งมีชีวิตมากมายหลายสายพันธ์ุ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมังกรนิรันดรชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก...พวกมันเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะท่ามกลางยุคสมัยแห่งหมอกควันตลอดหลายพันหรืออาจจะหลายล้านปี          ทว่าภาพลวงตาที่ดูเหมือนจะเป็นอนันต์ก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบเมื่อ The First Flame ปรากฏตัวขึ้น เหล่าพันธมิตรแห่งเทพเจ้ายุคใหม่นำโดย Gwyn, Nito, แม่มดแห่ง Izalith ได้รวมหัวกันล้างบางเหล่ามังกรมังกรนิรันดรและทำการเผาทำลายต้น Archtree จนกลายเป็นเถ้าถ่าน จะเหลือเอาไว้ก็แต่ ณ ทะเลสาบลับแลซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดินหลายกิโลเมตร ( ภาพประกอบ : ภาพของ Ash Lake ซึ่งกว้างใหญ่ราวกับว่าเป็นโลกอีกใบ )          Ash lake หรือทะเลสาบแห่งเฒ่าธุลี เป็นสถานที่มายาซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ Great Swamp ทัศนียภาพของมันเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีเทาลอยปกคลุ้มไปทั่วเหนือผืนน้ำ...ไม่มีใครรู้ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความลึกแท้จริงอยู่ที่เท่าไร แต่เมื่อดูจากต้นไม้ Archtree ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาเหนือผืนน้ำ เราก็พอจะประมาณการได้ว่าความลึกของก้นทะเลสาบคงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองร้อยเมตรเเน่ๆ อีกทั้งทะเลสาบแห่งนี้ยังได้รับแสงสว่างจากทะเลหมอกด้านบนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็นต้องง้อเเสงพระอาทิตย์ของเทพบนโลกเบื้องบนเลยเเม้เเต่น้อย ( ภาพประกอบ : Ash Lake ทะเลสาบที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมตลอดหลายหมื่นปี ) ทว่าการที่ Ash Lake อยู่ห่างจากน้ำมืออันสกปรกของเหล่ามนุษย์ มันก็ย่อมทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นบ้านสงบอันสงบร่มเย็นของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ตัวอย่างเช่นเชื้อรากลายพันธุ์ซึ่งวิวัฒนาการตนเองจนมีแขนขาเหมือนกับมนุษย์ ( ภาพประกอบ : Mushroom People มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากๆ จนสามารถใช้หมัดเปล่าๆต่อยทะลุเหล็กกล้าได้ง่ายๆ )          สัตว์อีกชนิดซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ มีร่างกายที่น่ากลัวราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย...นั่นก็คือหอยปีศาจ Man-Eater Shell โดยหากดูจากภายนอกมันจะมีรูปร่างคล้ายกับหอยยักษ์ทั่วๆไป แต่แน่นอนละเมื่อมันได้ชื่อว่าหอยปีศาจมีหรือจะเป็นแค่หอยธรรมดา เราลองมาจินตนาการภาพกันดูเล่นๆถ้าวันหนึ่งคุณกำลังเดินอยู่บนชายหาดในยามค่ำคืน...แล้วจู่ๆก็มีหอยยักษ์ห้าขาวิ่งไล่ล่าจะเขมือบคุณ... ใช่ครับเจ้าสัตว์ตัวนี้มันไม่นั่งรอให้อาหารเข้ามาใกล้ๆแต่จะลุกขึ้นจากกองทรายเเละวิ่งไล่ล่าคุณ ( ภาพประกอบ : หอยจอมเขมือบ Man-Eater Shel )          แต่ถึงกระนั้นเจ้าหอยกินคนที่แสนอันตรายตัวนี้ ก็มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ทำให้มันถูกล่าโดยเหล่าพ่อค้ามากมาย ซึ่งก็คือแร่ที่มีชื่อว่า Twinkling Titanite อันเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างแร่ธาตุ Titanite ตามพื้นดินเเละน้ำเข้ากับสารเคมีเฉพาะภายในปาก สกัดออกมาเป็นแร่บริสุทธิ์ล่ำค่าซึ่งสามารถใช้เพิ่มพลังให้แก่อาวุธวิเศษที่ Titanite ธรรมดาไม่อาจทำได้ ( ภาพประกอบ : Twinkling Titanite เเร่ที่มีไว้สำหรับอัพเกรดอาวุธบางประเภทโดยเฉพาะ )          สัตว์ตัวต่อไปเป็นสัตว์ที่หาได้ยากยิ่งแต่ Undead นิรนามของเรากลับเคยเผชิญหน้ากับมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เเละยังเป็นลูกหลานของเหล่าผู้พ่ายแพ้สงครามแห่งอดีตกาล นามของมันก็คือมังกรน้ำ 7 หัว Hydra          บรรพบุรุษของ Hydra เลือกจะละทิ้งท้องฟ้าซึ่งถูกช่วงชิงไปโดยเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo และลงไปอาศัยอยู่ในน้ำอย่างหลบๆซ่อนๆ… Hydra ตัวก่อนหน้านี้ที่พระเอกของเราได้สังหารไปมันมีความเชื่องช้าเนื่องมาจากอยู่ในสถานอันคับแคบ แต่ทว่าสำหรับตัวที่อยู่ใน Ash Lake อันเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เจ้ามังกรน้ำตัวนี้จะใช้อวัยวะพิเศษพ่นแรงดันน้ำมหาศาลจากใต้ท้องเพื่อพุ่งทะยานไปบนอากาศ ตามไล่ล่าเหยื่อของมันจากระยะไกล ( ภาพประกอบ : สารภาพเลยว่าตอนที่ผมได้เห็นเจ้า Hydra บินเป็นครั้งเเรก ตัวผมถึงกับสบถคําหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว ) ( ภาพประกอบ : กะโหลกยักษ์ประหลาดใน Ash Lake… ซึ่งยังคงมีการถกเถี่ยงกันอยู่ว่ามันเป็นเพียงเเค่ Easter Egg หรือไม่ เเต่ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเเค่ของประดับฉากเพื่อเเสดงให้เห็นว่าโลกยุคดึกดำบรรพ์เคยมีไอ้ของเเบบนี้อยู่มากมาย )          วิถีแห่งการหลุดพ้น          ในครั้งแรกที่โลกได้เผชิญหน้ากับคำสาปร้าย Curse of Undead เหล่าผู้คนที่หวาดหวั่นต่างพากันหันหน้าไปพึ่งศาสนา Way of White และสวดอ้อนวอนขอให้ยุคแห่งไฟยังคงยืนหยัดต่อไป...จะมีแต่ก็แค่กลุ่มคนเพียงหยิบมือซึ่งล่วงรู้ความจริงของชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาไม่ต้องการจะมีสภาพกลายเป็น Hollow แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะยึดถือวิธีอันหลอกลวงของ Gwyn ได้ เพราะมันเป็นแค่การประวิงเวลาของจุดจบออกไปเพียงชั่วคราว          แล้วตอนนี้ยังเหลือตัวเลือกอะไรอีก? นั่นเป็นคำถามที่ผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้ลองย้อนมองกลับไปสู่อดีต...สู่โลกที่ปราศจากทั้ง The First Flame และความมืด ถูกต้อง! สิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล พวกมันทั้งทรงสติปัญญาและมีพละกำลังมหาศาลจนแม้แต่พระเจ้าของโลกยุคใหม่ยังต้องผนึกกำลังกันเพื่อปรามมัน...นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตมายามังกรนิรันดร ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Everlasting Dragon หรือมังกรนิรันดร )          โชคชะตาได้นำเหล่าผู้คนที่สิ้นหวังต่อเทพเจ้าไปพบเข้ากับมังกรนิรันดรตัวหนึ่งที่กำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ใน Ash Lake อย่างสงบ พวกเขาพบว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่มีท่าทางดุร้ายเลยแม้แต่น้อยซึ่งแตกต่างจากเรื่องเล่าในนิทานของเทพเจ้าอย่างสิ้นเชิง          เจ้ามังกรสื่อสารกับพวกเขาด้วยพลังจิตและชี้ให้เห็นสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยงในกายหยาบ มันบอกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนถูกรั้งเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าโลก ความตายก็เป็นเพียงแค่บันไดขั้นหนึ่งของวัฏจักรที่เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความทุกข์ทรมานอันไร้จุดสิ้นสุด  ดังนั้นการทำให้จิตวิญญาณ(Soul)ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนดังกล่าว จึงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของความเชื่อนี้ โดยภายหลังจะถูกเรียกขานกันว่า Path of the Dragon หรือหนทางแห่งมังกร          **ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริง Path of the Dragon ค่อนข้างที่จะคล้ายกับความเชื่อเรื่องนิพพานในศาสนาพุทธ** ( ภาพประกอบ : มังกรนิรันดรสายพันธุ์เเท้ทุกตัวไม่ได้มีความเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างที่คิด พวกมันทรงสติปัญญาเเละมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง )          มังกรนิรันดรถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ พวกมันกำเนิดมาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพา The First Flame และมีพลังวิเศษซึ่งไม่ใช่ทั้งเวทมนต์ Sorcery หรือพลังปาฏิหาริย์ Miracle  พวกมันใช้พลัง;bเศษดังกล่าวเปลี่ยนให้ก่อนหินธรรมดาๆกลายเป็นเครื่องราง Dragon Head Stone และ Dragon Torso Stone  อันสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นกลายร่างเป็นกึ่งมังกร เพื่อช่วยให้เหล่าสาวกเข้าถึงสัจธรรมแห่งการหลุดพ้นได้มากขึ้น ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Dragon Torso Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเต็มตัว ผู้เล่นจะได้พลังวิเศษเพิ่มพลังโจมตีเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะทั้งตัว ) ( ภาพประกอบด้านขวา :  Dragon Head Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเเค่หัว ผู้เล่นจะได้พลังพ่นไฟเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะส่วนหัว  )          อย่างไรก็ตามหนทางสู่การหลุดพ้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะขนาดเจ้ามังกรยังต้องใช้เวลาพำเพ็ญเพียรนับพันปีและต้องผ่านความรู้สึกสูญเสียจากสงครามนับไม่ถ้วน จึงได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต... ดังนั้นเหล่าสาวกแห่ง Path of the Dragon ก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์เเบบนี้เช่นเดียวกัน          พวกเขาแต่ละคนจะได้รับเครื่องราง Dragon Eye ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับเฟ้นหาผู้คนที่ต้องการเรียนรู้คุณค่าของชีวิตผ่านการต่อสู้ เหล่าบุรุษแปลกหน้าจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยปราศจากขุ่นเคือง, ความโกรธแค้น, และความลังเล เพื่อที่จะเข้าใกล้ความซาบซึ้งในการมีชีวิต          คนที่ชนะก็จะได้รับ Dragon Scale หรือเกล็ดมังกรเป็นรางวัล อันเป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งพวกเขาครอบครองมันมากเท่าไร จิตวิญญาณก็จะยิ่งเข้าใกล้การหลุดพ้นมากขึ้นเท่านั้น ( ภาพประกอบ : Dragon Scale ของสำหรับใช้อัพเกรดอาวุธบางประเภท เเละใช้เลื่อนขั้นใน Path of the Dragon )          ในสมัยที่เหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ยังคงเรืองอำนาจ Path of the Dragon ถือเป็นความเชื่อนอกรีต(โดยเฉพาะกับ Gwyn) เหล่าบรรดาสาวกต้องเหยียบความลับเรื่อง Ash Lake เอาไว้ให้สนิท ด้วยการร่ายมนต์สร้างกำแพงภาพลวงตาขึ้นมาปิดกั้นเส้นทางเข้าออกเอาไว้          ทว่าปัจจุบันหลังเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ได้สูญเสียอำนาจปกครองไปหมดแล้ว เหล่าความเชื่อนอกรีตทั้งหลายเริ่มก้าวเท้าออกมายังแสงสว่าง Path of the Dragon ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน เหล่าสาวกค่อยๆกระจายข่าวลือเรื่องวิถีแห่งการหลุดพ้น และใช้เส้นทางที่ยากลำบากเป็นบททดสอบความมุ่งหมันก่อนเข้าสู่ลัทธิ          อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Path of Dragon สามารถยั้งรากลึกเข้าไปในใจของผู้คน(โดยเฉพาะกับอัศวิน) ก็คือสาวกคนสำคัญที่เป็นถึงอดีตเทพเจ้าแห่งสงคราม Nameless King พระองค์ได้อุปถัมภ์ความเชื่อนี้และเผยแพร่มันให้เเก่เหล่านักรบซึ่งยังคงศรัทธาในตนเอง ด้วยหวังเพียงการไถ่บาปในอดีตที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรตามคำสั่งของผู้เป็นพ่ออย่าง Gwyn ( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าเจ้ามังกรตัวนี้คือกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดของ Nameless King ไปตลอดกาล )    ( ภาพประกอบ : Great Magic Barrier หนึ่งในเวทมนต์ของ Way of White ที่พบใน Ash Lake ซึ่งเเสดงให้เห็นว่าสาวกของ Path of the Dragon มีเเม้กระทั่งคนใกล้ชิดของเทพเจ้า )          แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่วๆไป คำว่าหลุดพ้นมันก็ดูจะยากเเละเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ผู้คนส่วนมากยังคงยึดติดอยู่กับคำหลอกลวงที่เรียกว่า  The First Flame     นางพญาแมงมุม          กลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันที่พระเอกเรากำลังเดินลุยบึงพิษ Great Swamp ด้วยความยากลำบาก เขาได้บังเอิญไปพบกับแม่มดไฟคนหนึ่งนามว่า Quelana โดยนางอ้างว่าตนเองเป็นถึงลูกแท้ๆของแม่มดแห่ง Izalith ซึ่งหนีออกมาพร้อมๆกับเหล่าผู้อพยพคนอื่นๆ นอกจากนี้นางยังได้ขอร้องให้ Undead นิรนามปลดปล่อยครอบครัวของนางที่ถูกพลังของ Chaos Flame กลืนกิน(บอกให้ไปฆ่านั่นแหละ) ( ภาพประกอบ : Quelana ใน Great Swamp เเละใบหน้าจริงๆของนางภายใต้ผ้าคลุม  )          ที่ผ่านมา Undead นิรนามก็เคยเจอผู้คนมาเเล้วมากมายทั้งดีทั้งชั่ว แต่ยังไม่เคยพบใครร่ำร้องขอให้ไปฆ่าคนในครอบครัวแบบ Quelana มาก่อน นางไปยกมือขึ้นชี้ไปยังสถานซึ่งดูเหมือนกับรังแมงมุมขนาดใหญ่ และบอกว่าพี่ๆของเธออาศัยอยู่ในนั้น          Undead นิรนามของเราออกปากรับไปแบบงงๆ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างดลใจ...ก่อนที่สมองจะทันคิดถึงความน่าสงสัยในตัวของ Quelana ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ล่อลวง Undead Rapport เป็นเวทมนต์ชั้นสูงของ Quelana...ลือกันว่านางใช้มนต์ดังกล่าวเพื่อล่อลวง Undead ที่ผ่านทางมาให้ทำตามในสิ่งที่นางต้องการ ) ( ภาพประกอบ : Quelaag Domain หรืออาณาจักรของ Quelaag ในอดีตมันเคยเป็นป้อมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเหล่าอสูร เเต่ปัจจุบันกลับถูกควบคุมด้วยอสูรเสียเอง )          พระเอกของเราออกเดินลุยบึงพิษอีกครั้งหนึ่งและจัดการพวกอมนุษย์ซึ่งเป็นยามเฝ้าปากทางเข้าจนหมด แต่ทว่าฉับพลันก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปอยู่ๆก็มีมือปริศนามาล็อคคอเอาไว้แน่น เขาพยายามเอี้ยวตัวไปข้างหน้าจากนั้นก็ใช้บันท้ายดันเจ้าสิ่งขึ้นไปบนแผ่นหลังแล้วทุ่มมันกลับลงมาอย่างรุนแรง เจ้าสิ่งนั้นพยายามตะเกียดตะกายคลานหนีแต่ก็ถูก Undead นิรนามเหยียบที่ฝ่ามือจนมันต้องร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด          Undead นิรนามเงื้อดาบขึ้นเตรียมจะตัดคอของเจ้าสิ่งนั้นแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนเพราะได้ยินเสียงมันร้องขอชีวิต  พระเอกของเราเพ่งพิจารณารูปร่างที่คล้ายกับผู้หญิงตัวอ้วนของมันเเละลองถามชื่อเสียงเรียงนามดูเพื่อทดสอบว่าเป็น Hollow หรือไม่ ซึ่งมันก็ตอบได้อย่างทันควันว่าตนชื่อจอมกินเนื้อมนุษย์ Mildred ( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นสามารถเอาชนะ Mildred ได้เธอก็จะกลายเป็น Phantom คอยช่วยเราปราบบอสของ Blighttown )          พระเอกของเราขมวดคิ้วและกำลังจะใช้ดาบแทง Mildred อีกครั้งเพราะคิดว่านางเป็นแค่พวกเสียสติกินคนเเบบเดียวกับใน Undead Burg แต่เจ้า Mildred กลับร้องห่มร้องไห้เสียงดังและกล่าวว่าจะยอมช่วย Undead นิรนามกำจัดเจ้าอสูรที่อยู่ในรังแมงมุม เนื่องจากพวกนั้นก็แย่งอาหาร(มนุษย์)ของนางไปเช่นกัน          หลังจากได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกลังเลเพราะถ้าหากไม่นับเรื่องกินคน Mildred ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ นางมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและยังสามารถสื่อสารได้ในรูปแบบที่เป็นมิตรซึ่งถือว่ายังหากไกลกับคำว่า Hollow อยู่หลายขุม
01 Sep 2020
[บทความ] 5 เกมที่เมื่อคุณเล่นแล้ว อาจจะเสียน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
ความเศร้าถือว่าเป็นหนึ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่คู่กับวงการสื่อบันเทิงมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นวงการเพลง ภาพยนตร์หรือการ์ตูน รวมถึงหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้อย่างวงการเกม ที่ความเศร้าในบางเกมนั้นเป็นจุดสำคัญที่ใช้ชะตาเนื้อเรื่องของเกมเลยก็เป็นได้ หรือในบางเกมความเศร้ากับสร้างความประทับใจให้กับเกมเมอร์ จนบางเกมกลายเป็นเกมในดวงใจของใครหลาย ๆ คน เพื่อให้เกมเมอร์ทุกคนได้สัมผัสกับความรู้สึกดังกล่าววันนี้ทาง GameFever TH จะขอนำเสนอ 5 เกมที่เมื่อคุณเล่นแล้ว อาจจะเสียน้ำตาโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ปล. บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของเกมบางส่วน 1.The Walking Dead Season 1 The Walking Dead ถือเกมแนว Interactive ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เราได้รับบทเป็น Lee ที่ต้องช่วยเหลือหนูน้อย Clementine ในการผจญภัยในโลกที่แสนโหดร้ายในเกม แม้ว่าระบบการเล่นของเกมจะไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก แต่เนื้อเรื่องของเกมเรียกได้ว่าดีมาก ๆ เราจะเห็นถึงสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการเอาชีวิตรอด พร้อมทั้งการใส่เหตุการณ์ไม่คาดฝันให้เราได้พบเจอบ่อย ๆ จุดที่ทำให้หลาย ๆ คนน้ำตาไหลคือบทสุดท้ายก่อนที่จะจบเกม ที่ทางทีมพัฒนาได้วางบทของเกมออกมาอย่างชาญฉลาดและซึ้งใจผู้เล่น ทำให้ตัวเกมได้รับความนิยมจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมหาศาล 2.Metal Gear Solid 3: Snake Eater พูดถึงผลงานระดับ Masterpiece ของอัจฉริยะแห่งวงการเกม Hideo Kojima หนึ่งในเกมที่หลาย ๆ คนยกย่องให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดคือ Metal Gear Solid 3: Snake Eater เกมแนว Action/Stealth ที่ให้เรารับบทเป็น Snake สายลับจากทางฝั่งอเมริกา ที่ต้องหยุดความบาดหมางของสหภาพโซเวียตและอเมริกาก่อนที่สงครามนิวเคลียร์จะเกิด แม้ว่าตัวเกมจะถูกทำออกมาเป็นเส้นตรง แต่ก็มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เล่นได้ทำอย่างหลากหลาย รวมถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างดีและสร้างสรรค์ โดยเฉพาะฉากการปะทะบอสในแต่ละครั้งที่ทำออกมาได้ล้ำสุด ๆ หากคุณคิดว่าเกมการเล่นของเกมนี้ยอดเยี่ยมแล้ว ฉากจบของเกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า คุณจะรู้ถึงสาเหตุต่าง ๆ อย่างรอบด้าน รวมถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าหากเล่นจบแล้วน้ำตาคนจะไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว 3.ซีรีส์ Dark Souls Dark Soul ชื่อนี้หลายคนน่าจะคุ้นหูกันมาบ้างแล้วกับระบบการเล่นสุดแสนจะ Hardcore ที่อุปสรรคในเกมจะยากระดับปาจอยทิ้ง ไม่เว้นแม้แต่ศัตรูธรรมดาก็มีลูกเล่นหากเราไม่ระวังตัว ทำให้หากใครเล่นเกมนี้จนจบถือว่ามีฝีมือและมีความพยายามพอสมควร เพราะความยากของเกมนี้ ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ คนต้องน้ำตาร่วงกันหลายคนไม่ว่าจะเกิดจากความท้อแท้ที่สู้กับบอสไม่ชนะเสียที หรือน้ำตาแห่งความสุขที่ในตอนนี้เราสามารถที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้แล้ว ซึ่งเราไม่มีทางได้รู้นอกจากต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง 4. The Last of Us หนึ่งในเกม Masterpiece จากทางฝั่ง Sony และทีมงาน Naughty Dog กับเรื่องราวของสองคู่ต่างวัยอย่าง Joel และ Ellie ที่ต้องฟันฝ่าโลกที่แสนโหดร้าย เต็มไปด้วยเหล่าผู้ติดเชื้อและแก๊งโจรต่าง ๆ ภายใต้ระบบเกมการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ในมุมมองบุคคลที่ 3 The Last of Us นำเสนอจุดเด่นด้วยระบบการเล่นที่ถึงใจและเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม ทำให้เมื่อคุณเล่นเกมนี้จนจบแล้วคุณอาจจะอยากที่จะบินเครื่อง PlayStation 4 ลง แล้วนั่งนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกม ที่จะทำให้คุณประทับใจไปอีกยาวนาน 5.Final Fantasy X พูดถึงเกม Final Fantasy แล้ว หนึ่งในภาคที่ใครหลายชอบคือภาคที่ 10 ที่ได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกราฟิกในเกม ที่ในตอนนั้นถือว่าเป็นเกมที่ภาพสวยมาก เมื่อรวมกับความเป็น RPG สไตล์ Final Fantasy ทำให้ภาคนี้กลายเป็นหนึ่งในภาคที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าระบบในตัวเกมคือเนื้อเรื่องของเกม ที่ในภาคนี้เน้นความเป็นดราม่ามากกว่าภาคอื่น  ๆ ทำให้เรามักจะต้องเจอเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าปวดใจ โดยเฉพาะเรื่องราวความรักระหว่าง Tidus และ Yuna ทีซึ่งกินใจมาก ๆ ความเศร้าถือว่าเป็นรสชาติหนึ่งของชีวิต ที่เราอาจจะพบเจอได้ได้เสมอ ๆ ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะเอาชนะความเศร้าที่เกิดขึ้นในชีวิตให้ได้ แม้จะยากแค่ไหนก็ตาม  
17 Aug 2020
รวมเกมสุดคุ้มน่าเปย์ในช่วง Steam Sale 2020
Steam Sale ถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมประจำปีของทาง Valve ที่จะลดราคาเกมต่าง ๆ ตั้งแต่ 5% ไปจนถึง 80% ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ หมดเนื้อหมดตัวเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นเกมเก่าหรือเกมใหม่ต่างก็ลดราคากันอย่างเต็มที่ หากคุณไม่รู้ว่าจะซื้อเกมไหนดี วันนี้พวกเรา Gamefever TH มีเกมมาแนะนำ The Witcher 3: Wild Hunt - Game of the Year Edition - 389.70 หนึ่งในควรจะมาเล่นเป็นที่สุดกับ The Witcher 3: Wild Hunt เกมดีที่แม้ว่าจะออกมานานแล้วก็ยังคุ้มค่า โดยเกมนี้เป็นเกม Open World สุดกว้างใหญ่พร้อมกับเนื้อเรื่องในเกมที่แสนเข้มข้น หนักแน่น ยิ่งตัวเกมเวอร์ชัน PC มี Mod ภาษาไทยในเกม ทำให้การเล่นเกมนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว Dying Light Enhanced Edition - 284.70 หากคุณชอบเกมแนวซอมบี้ในรูปแบบมุมมอง FPS คงไม่มีเกมไหนจะดีไปกว่าเกมนี้แล้ว ด้วยการที่เป็นการผสมกันระหว่างการ Free Running ผสมกับแอคชั่นในการต่อสู้กับซอมบี้ทำให้เกมนี้เร้าใจมาก ๆ ยิ่งในเกมมีภาษาไทย ความอินจะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ Greed Fall - 594.00 Greed Fall คือว่าเป็นหนึ่งในเกมม้ามืดประจำปี 2019 ที่ดีจุดเด่นในเรื่องของเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ระบบการเล่นที่สนุก ท้าทาย พร้อมกับโลกที่น่าค้นหา นอกจากนี้กราฟิกในเกมยังทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้เกมนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณควรหามาลองเล่นในช่วง Steam Sale Assassin Creed : Odyssey -528 หากคุณกำลังต้องการหนึ่งในเกมที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ผู้เขียนก็ขอแนะนำ Assassins Creed : Odyssey เกมแนว Action/ Adventurer / RPG พร้อมกับโลกอันแสนกว้างใหญ่ที่ใช้เวลาเป็น 100 ชั่วโมงกว่าจะสำรวจครบหมด ยังไม่นับ DLC ที่เล่นได้อีกยาวหากว่าคุณซื้อตัวเกมในรูปแบบ Gold Edition ขึ้นไป Dark Soul 3 -375 สุดยอดเกมที่หลาย ๆ คนยกให้เป็น Masterpieces ในด้านของการนำเสนอจนหลาย ๆ เกมไม่อาจจะเลียนแบบได้กับ Dark Soul 3 ที่ได้ดึงเอาสุดยอดของความเป็น Dark Soul มารวมเข้าด้วยกัน ทั้งความยากระดับหฤโหด ศัตรูสุดแกร่งและการต่อสู้ที่มีเดิมพันสูง ดังนั้นหากคุณเกิดมาเป็นเกมเมอร์ เกมนี้ต้องเล่น Doom Eternal - 985 หนึ่งในเกมที่สร้างตำนานขึ้นในวงการเกมและในตอนนี้ตำนานได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม Doom Eternal คือเกมแนว FPS แบบ Old School เน้นความมันส์เข้าว่า ไม่มีการรีโหลด ยิงกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายกันหมด แถมภาคนี้ได้พัฒนาระบบต่าง ๆ ให้ดีกว่าภาคที่ผ่านมา หากคุณอยากหาเกมมัน ๆ เกมนี้แนะนำเลย Devil May Cry 5 -399  เมื่อถึง Steam Sale ทีไรผู้เขียนก็ขอแนะนำเกมนี้เสมอกับเกม Devil May Cry 5 เกมแนว Action สุดมันที่ให้คุณได้ต่อสู้กับเหล่าปีศาจพร้อมกับคิดค้นคอมโบสุดสร้างสรรค์ พร้อมกับสาวหนุ่มหล่ออย่าง Dante , Nero และ V ภายใต้กราฟิกอันสวยงาม BIOSHOCK: THE COLLECTION -230 หนึ่งในเกมยอดเยี่ยมประจำปี 2013 ที่คุณจะต้องเล่นสักครั้งในชีวิตกับ BioShock Infinite เกม FPS /Adventure ที่มีระบบการเล่นสุดท้าทายและเนื้อเรื่องสุดเข้มข้น ที่จะมีให้คุณตั้งแต่เริ่มจนถึงจบเกม อีกืั้งยังมี DLC เสริมให้เราได้เล่นอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งเกมที่ควรหามาลองเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้หากคุณซื้อในรูปแบบ the collection ก็จะได้ภาคที่ 1 และ 2 มาเล่นอีกด้วย Middle-earth: Shadow of War -270 หากคุณเป็นแฟนของนวนิยาย The lord of the ring นี่คือเกมที่คุณห้ามพลาดกับ Middle-earth: Shadow of War เกมแนว Action ที่จะให้เราออกไปต่อสู้กับเหล่า Orcs เพื่อนำเอาไอเทมมาอัปเกรดให้เราแข็งแกร่งขึ้น พร้อมกับระบบการสร้างกองทัพอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะทำให้คุณคลุกอยู่กับเกมนี้ได้ทั้งวัน Stardew Valley -189 ปิดท้ายกันด้วยเกมที่แม้ว่าจะซื้อในราคาเต็มก็คุ้มกับ Stardew Valley เกมที่ให้เราสวมวิญญาณของความเป็นชาวไร่ พัฒนาฟาร์มของเราให้เจริญก้าวหน้า จีบสาว สร้างครอบครัว พร้อมกับ Content ในเกมแน่น ๆ ที่จะทำให้คุณเล่นเกมนี้แบบลืมวันลืมคืนกันเลยทีเดียว Steam Summer Sale เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2020
03 Jul 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 12 จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง ซึ่งในบทนี้จะเป็นการกล่าวถึงเนื้อหาตัวเลือกภายในเกมที่ผู้เล่นจะสามารข้ามผ่านไปก็ได้โดยที่จะไม่มีผลกระทบต่อฉากจบของเกมแต่อย่างใด มันจึงเป็นเเค่ส่วนเสริมในการปลดล็อคเเผนที่ลับล้วนๆ...เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากระผมขอนำทุกท่านเข้า Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง “ จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู ”  ( ภาพประกอบ : ในบทนี้เราจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อย้อนมองเรื่องราวจากมุมมองที่เเตกต่าง )   < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด   คืนถิ่น          ในระหว่างค่ำคืนอันแสนเงียบสงัด ณ Firelink Shrine ที่หลายชีวิตได้กำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทย์น้อย Griggs ผู้ที่กำลังเฝ้ารออาจารย์ของเขา หรือจะเป็นพ่อมดเพลิง Laurentius ซึ่งหมายมั่นจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง หรือแม่สาวน้อย Fire Keeper นามว่า Anastacia ที่วิญญาณของนางได้ถูกผูกพันเข้ากับ Firelink Shrine... แต่ทว่ามีอยู่หนึ่งคนที่ไม่อาจจะข่มตานอนหลับได้ เขาก็คือ Undead นิรนามพระเอกของเรานั่นเอง โดยสาเหตุก็คือความฝันประหลาดที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าอีกายักษ์ที่อาศัยอยู่บนหลังคาของโบสถ์ใน Firelink Shrine ( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นอยากจะขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ ผู้เล่นจำเป็นจะต้องปีนป่ายไปตามเศษซากปรักหักพังใน Firelink Shrine ) Undead นิรนามยังคงค้างคาใจกับความฝันของตนเอง เขาจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ เพราะคิดว่าถ้าหากความฝันเมื่อครู่นี้เป็นภาพนิมิตของบางสิ่งบางอย่างจริงๆละก็ บนรังของเจ้าอีกาก็น่าจะต้องมีคำตอบอยู่เป็นแน่ แต่ทว่าเมื่อขึ้นไปถึงเจ้าอีกายักษ์ก็บินลงมาโฉบ Undead นิรนามของเราหายขึ้นฟ้าไป ( ภาพประกอบ : Undead นิรนามที่อยู่ในกรงเล็บของเจ้าอีกายักษ์ ) เมื่อบินไปสักพักแสงจากดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนฟากฟ้า เผยให้เห็นภาพของวิวทิวทัศน์อันแสนคุ้นตา...ใช้แล้วเจ้านกยักษ์ได้พาเขาบินกลับมายัง Northern Undead Asylum ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง เจ้าอีกาได้ปล่อยพระเอกของเราออกจากกรงเล็บอย่างนิ่มนวลและบินไปเกาะอยู่ที่เชิงของหน้าผาใกล้ๆ Undead นิรนามตกใจที่เขาถูกนำตัวกลับมาปล่อยยัง Undead Asylum อีกครั้ง แต่เมื่อพระเอกของเราเล็งเห็นว่าเจ้าอีกายักษ์ไม่ได้บินหนีหายไป เขาจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน Undead Asylum อีกครั้งเพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจจะเกี่ยวกับความฝัน ( ภาพประกอบ : รังของเจ้าอีกายักษ์ที่อยู่ ณ Northern Undead Asylum  ) โครงสร้างภายในอาคารของ Undead Asylum  ยังคงอยู่ในทิศทางเช่นเดิมเหมือนครั้งที่พระเอกของเราหนีออกมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเหล่าผีดิบ Hollow ที่เมื่อก่อนเคยถูกขุมขังอยู่ในคุก ตอนนี้มันกลับเดินเตร่ๆไปมาทั่วอาคาร ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการตายของเจ้าอสูรแห่ง Undead Asylum จึงทำให้ไม่มีใครคอยควบคุมจำนวนของพวก Hollow  แต่นั่นยังเป็นเเค่เรื่องจิ๊บจ๊อย! เมื่อมีเหล่า Black Knight โผล่มาที่นี่ถึงสองตนด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด  คำถามเกิดขึ้นในหัวของ Undead นิรนาม ว่าอะไรกันนะที่ทำให้อัศวินของทวยเทพ จำต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสนไกลมายังสถานที่อันรกร้างว่างเปล่าเเบบนี้ หรือว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนิมิตของเขาเมื่อคืน?  ( ภาพประกอบ : Black Knight ตนแรกจะประจำการอยู่ที่ทางเชื่อมภายในของตัวอาคาร ) ถ้าไม่จำเป็น Undead ไม่ค่อยอยากจะมีปัญหากับเหล่า Black Knight มากเท่าไรนัก เขาจึงเลือกที่จะใช้เส้นทางอื่นเพื่อผ่านเข้าไปข้างในยัง แต่เมื่อเข้ามาถึงโซนห้องขังเดี่ยวเขาก็ได้พบกับอัศวินคนหนึ่งที่กำลังยืนเงยหน้ามองแสงของพระอาทิตย์ซึ่งรอดผ่านรูเล็กบนฝาเพดาน พระเอกของเราจำได้ทันทีว่านี่ก็คือ Oscar ชายผู้เคยช่วยเขาให้หนีออกจากขุมนรกแห่งนี้ไปได้นั่นเอง ด้วยความดีใจพระเอกของเราจึงเรียกขานชื่อของชายคนนี้แต่ Oscar กลับกระโจนเข้าจู่โจมใส่ Undead นิรนามอย่างบ้าคลั่ง เเม้พระเอกของเราจะพยายามตะโกนเรียกให้สติของ Oscar กลับคืนมาแต่สายไปเสียแล้ว สถานการณ์ได้บีบให้ Undead นิรนามจำต้องใช้ดาบที่อยู่ในมือฟันเข้าไปที่ Oscar จนหัวของเขาหลุดออกและกลิ่งไปตามพื้นของห้องขัง ( ภาพประกอบ : เเต่เดิมเเล้ว Oscar เคยถูกวางเเผนให้เป็นคู่เเข่งของผู้เล่นตลอดการเดินทาง เเต่สุดท้ายก็ถูกตัดบทออกไปเพราะมันอาจะส่งผลต่อตัวเลือกในฉากจบของผู้เล่นมากเกินไป  ) Oscar คือชายผู้ส่งมอบประกายแห่งความหวังให้แก่ Undead นิรนามและแม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังคงจับจ้องไปที่แสงแห่งความหวังไม่เสื่อมคลาย  นั่นคือมุมมองของ Undead นิรนามที่มีต่อ Oscar… แต่หากเราลองมาสมมุติกันดูเล่นๆ ถ้าหาก Oscar ไม่ได้กลายเป็น Hollow ทันทีละ?, ถ้าหากเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาและต้องพบว่าตัวเองติดอยู่ที่นั่นตลอดไปละ?, ถ้าหากเขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดภาวนาขอให้มีใครสักคนมาช่วยเขาไปจากที่นี่...บางทีจิตใต้สำนึกอาจจะสั่งให้ร่างที่กลายเป็น Hollow  ไปแล้วของเขากลับมายังห้องขังนี้ เพื่อรอพบหน้าใครสักคนก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : ในเนื้อหาที่ถูกตัดออกไป Oscar จะเป็นคนต่อสู้กับผู้เล่นในตอนจบของเกม  )     ปริศนาที่ไขไม่ออก Undead นิรนามเดินทางต่อไปจนถึงส่วนของคุกใต้ดินซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยถูกขังเอาไว้ แต่ตอนนี้ดันมีเจ้า Black Knight ตนหนึ่งยืนประจำการอยู่ ในตอนแรกพระเอกของเราคิดว่าจะหันหลังกลับไปซะเเล้วเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อสู้ Black Knight แต่ฉับพลันก็เหมือนมีพลังปริศนาบางอย่างทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เพราะเหตุใดกันทำไม Black Knight จึงต้องมาเฝ้าห้องขังเปล่าๆซึ่งไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น หรือว่าพวกมันกำลังปกปิดบางสิ่งบางอย่างอยู่กันแน่ ( ภาพประกอบ : Black Knight ตนที่สองซึ่งเฝ้าอยู่ที่ห้องขังใต้ดิน ) ถ้าย้อนนึกดูดีๆตลอดเวลาที่ผ่านมา Undead นิรนามเคยพบเจอกับเหล่าอัศวินดำอยู่หลายครั้งหลายคร่า และมักจะใช้วิธีหลบเลี่ยงเพราะคิดว่าตนเองนั้นสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากเขาอยากจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนายละก็ เรื่องเเค่นี้เขาก็ต้องจัดการมันให้ได้!  Undead นิรนามได้ทำการเชื่อมต่อวิญญาณเข้ากับ Bonfire ที่อยู่ใน Undead Asylum จากนั้นก็หอบความมั่นใจเข้าไปลุยกับเจ้า Black Knight... แต่แน่นอนว่ากิตติศักดิ์ของ Black Knight นั้นไม่ใช่แค่ของประดับตามฝ้าผนัง พวกมันได้ร่ายรำกระบวนท่าปราบอสูร( อสูรแห่ง Izalith ) ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่ามากๆ ด้วยการจู่โจมเพื่อให้เหยื่อเสียการทรงตัวและล้มลง จากนั้นจึงค่อยเข้าไปเผด็จศึกที่จุดตายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงทำให้การยืนแลกหมัดต่อหมัดกับมันนั้นรังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ Undead นินามจึงลองใช้เทคนิคที่เรียกว่าการ Parry หรือการเบี่ยงเบนวิถีของอาวุธ เข้ามาใช้จัดการมัน! ( ภาพประกอบ : ภายในเกม Dark Souls ภาคแรกระบบ Parry เป็นการโต้กลับการโจมตีที่ไร้เทียมทานที่สุด ซึ่งผมรับรองจากประสบการณ์เลยว่าหากใครก็ตามที่โดน Parry เข้าไปต้องมีรู้สึกหน้าชากันบ้างไม่มากก็น้อย ) พระเอกของเรายอมถูกเจ้าอัศวินดำฆ่าไปหลายครั้งเพื่อแลกกับการจับจังหวะในกระบวนท่าของมัน และอาศัยช่องโหว่จนสามารถจัดการมันได้ในที่สุด กลายเป็นว่ากระท่าที่ที่รุนเเรงของ Black Knight  ได้กลับกลายเป็นเข็มพิษที่แทงเข้าอกของตัวเอง          เมื่อเจ้า Black Knight สิ้นฤทธิ์ลง ทางเดินของห้องขังใต้ดินก็ถูกเปิดออก พระเอกของเราคิดในใจว่าของที่มันปกป้องคงจะล่ำค่ามากแน่ๆ...แต่ที่ไหนได้มันเป็นแค่ตุ๊กตาเก่าๆตัวหนึ่ง (Peculiar Doll) เเต่มันก็ช่างดูคล้ายกับตุ๊กตาที่เขาเห็นในความฝันเมื่อคืนเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีพลังปริศนาที่ไหลผ่านออกมาจากเจ้าสิ่งนี้ซึ่งมันชวนให้เขานึกถึงหญิงสวมผ้าคลุมที่เคยเจอในฝัน...แต่ไม่ว่ามันจะอย่างไรก็ตามเรื่องราวพวกนี้ก็ยังคงคลุมเครือและยากเกินกว่าที่เขาจะปะติดปะต่อให้เข้าใจได้ในตอนนี้ ( ภาพประกอบ : การกลับมายังห้องขังเพื่อเก็บ Peculiar Doll เป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง  )          หลังจากที่สำรวจจนทั่ว Northern Undead Asylum พระเอกของเราก็ตัดสินใจเดินทางกลับออกไปหาเจ้าอีกายักษ์โดยใช้เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านห้องโถงใหญ่ ซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยปราบเจ้า Asylum Demon เเต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากลั้นแกล้ง ทันทีที่เท้าของเขาก้าวลงไปพื้นอิฐเก่าๆ พื้นก็เกิดการทรุดตัวกะทันหันจนทำให้ Undead นิรนามตกลงไปข้างล่างเเละได้พบกับ Stray Demon ซึ่งเป็นอสูรอีกตนหนึ่งที่ถูกส่งมายัง Undead Asylum พร้อมๆกับ Asylum Demon แต่ด้วยนิสัยที่บ้าคลั่งของมันจึงทำให้ต้องถูกผนึกไว้ใต้ดินตลอดมา ( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้เจ้า Stray Demon บ้าคลั่งกว่าปกติเป็นเพราะว่ามันยังคงใช้พลังของเพลิง Chaos Flame จึงทำให้มันมีอารมณ์ที่แปรปรวน )   การกลับที่ได้กลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูเดิมๆในสถานที่เดิมๆได้ทำให้ Undead นิรนามหวนนึกถึงความหลัง เขาลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางขี้เกียจพร้อมกับใช้มือปัดฝุ่นออกจากกางเกงต่อหน้าเจ้า Stray Demon ซึ่งกำลังร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พระเอกของเราค่อยๆชักดาบเล่มโปรดของเขาออกมาจากนั้นก็เข้าต่อสู้โรมรันกับเจ้า Stray Demon อย่างไม่ลังเล...          นับเป็นระยะเวลามากพอสมควรแล้วตั้งแต่ที่ Undead นิรนามถูกเจ้าอีกาดำบินมาปล่อยเอาไว้ที่ Northern Undead Asylum พระเอกของเราเดินออกมาจากประตูหน้าของอาคาร Undead Asylum และหยิบตุ๊กตา Peculiar Doll ซึ่งคาดอยู่เอวออกมาให้เจ้าอีกยักษ์ดู...จากนั้นมันก็ได้ส่งเสียงร้องหลายครั้งราวกับดีใจเเละสะบัดปีกบินมาโฉบพระเอกของเราขึ้นฟ้าหายไป   เดรัจฉานจากห้วงนรก          ณ Firelink Shrine ในดินแดน Lordran พระเอกของเราได้ถูกเจ้านกยักษ์บินกลับมาส่งอีกครั้ง...เเละสิ่งเเรกที่เขาทำก็คือรีบกลับลงไปดูว่าแม่นักบวชสาว Rhea เเต่เขากลับหานางไม่พบ ผู้คนแถวนั้นได้บอกว่าเธอเดินทางไปยังโบสถ์ใน Undead Burg โดยอาศัยลิฟต์ที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเพิ่งถูกซ่อมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้  ( ภาพประกอบ : ลิฟต์ที่เป็นทางลัดซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง Firelink Shrine และโบสถ์ใน Undead Burg ) เเต่ทว่าในระหว่างก่อนที่เขากำลังจะขึ้นลิฟท์กลับมีเจ้า Petrus ซึ่งเป็นหนึ่งในพระนักรบของ Rhea ที่หายตัวไปใน Tomb of Giants มาขวางเอาไว้ เจ้า Petrus ที่กำลังมีท่าทางคล้ายกับคนเสียสติ ได้กล่าวว่า Rhea เป็นตัวกาลกิณีและถูกหลอกให้มาตายในภาระกิจตามหา Rite of Kindling ที่ไม่มีวันสำเร็จ ซึ่งทุกอย่างมันก็ควรจะเป็นไปได้สวยถ้าไม่มี Undead นิรนามโผล่มา! เมื่อพูดจบเจ้าพระอาบัติคนนี้ก็พุ่งเข้าทำร้ายพระเอกของเรา...แต่แค่พริบตาเดียวการโจมตีของมันก็ถูกปัดป้องออก และถูกดาบสั้นเเทงสวนกลับเข้าไปจนทะลุท้องจนสิ้นใจคาที่ตรงนั้น Undead นิรนามชักดาบออกมาและเช็ดคราบเลือดเข้ากับเสื้อผ้าของเจ้านักบวช จากนั้นก็เดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ( ภาพประกอบ : Ivory Talisman  คือไอเทมประจำตัวของ Rheaโดยหลังจากที่เราช่วยเธอออกมาจาก Tomb of Giants ได้สำเร็จ เจ้า Petrus ก็จะตามไปสังหารเธอและเก็บเอา Ivory Talisman ไว้กับตัว ) เมื่อได้พบกับ Rhea อีกครั้ง นางก็หมายที่จะตอบแทนพระเอกของเราด้วยการสอนศาสตร์เเห่งเหล่าทวยเทพให้กับเขา ( เวทมนตร์สาย Miracle ) ไม่ว่าจะเป็นคาถา Wrath of the Gods  ที่เป็นการร่ายมหากาพย์ของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ซึ่งจะสร้างคลื่นกระแทกออกมาจากตัว, หรือจะเป็น Great Heal Excerpt เวทมนตร์ที่ใช้รักษาบาดแผลซึ่งมีผลแบบเดียวกับการใช้ยา Estus Flask          เมื่อได้ยินดังนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับยิ้มแป้น เพราะในตลอดเวลาที่นางสอนเวทมนตร์จำเป็นจะะต้องจับมือถือแขนอย่างแนบชิดอยู่หลายครั้ง…ทำให้หัวใจของเขาเริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง  โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูก Channeler ลูกน้องของเจ้ามังกร Seath แอบดูอยู่ห่างๆ ( ภาพประกอบ : Wrath of the Gods เป็นอีกหนึ่งเวทมนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่ในการเล่น PVP เพราะเราสามารถหลอกให้คนอื่นเดินเข้าไปใกล้หน้าผาและใช้ Wrath of the Gods ผลักศัตรูให้ตกเหวตายได้ และยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการจัดการกับพวก Hacker ได้อีกด้วย! ) ภายในค่ำวันนั้น ณ Firelink Shrine เหล่า Undead ที่ยังมีสติพากันมานั่งรวมตัวรอบ Bonfire เพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระกันตามปกติ จนกระทั่งมีคนเปิดประเด็นเกี่ยวกับ Undead นิรนามว่าทั้งที่เขาเป็นคนซึ่งเข้าใกล้คำว่า “ผู้ถูกเลือก” มากที่สุด แต่ทำไมกลับยังไม่เริ่มเดินทางไปลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบที่สองสักที  เจ้า Lautrec ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยให้ Undead นิรนามสามารถลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบแรกได้สำเร็จเป็นคนตั้งคำถามนี้ เเละสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะนักบวชสาวเเห่ง Way of White แน่ๆเพราะตั้งแต่เธอมาที่ Firelink Shrine เจ้าว่าที่ Undead ผู้เลือกก็ละทิ้งอุดมการณ์ไปเลย…Undead นิรนามที่ได้ยินเข้าก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนพูดแดกดัน เขาจึงได้เอ่ยปากโต้กลับไปว่าถ้าหากรีบกันขนาดนั้นก็ไปกันเอง!  เมื่อทั้งหมดได้ฟังดังนั้นก็พากันสงบปากสงบคำ เพราะลึกๆต่างก็หวาดกลัวเกินกว่าเดินทางออกไปที่อื่น จะมีก็แต่คนต้นเรื่องอย่างเจ้า Lautrec นี่แหละที่อาสาจะไปด้วย ( ภาพประกอบ : Ring of Favor and Protection แหวนที่มีพลังของเทพเจ้าแห่งความงาม Fina ซึ่งเจ้า Lautrec ที่มีความหลงใหลในเรื่อนร่างของหญิงงามจะพกมันติดตัวตลอดเวลา ) วันรุ่งขึ้นเจ้า Lautrec ได้ติดตามพระของเราลงไปยัง “The Depth” ท่อระบายน้ำใต้ดินแห่งเมือง Undead Burg แต่ทว่าในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินทางผ่านห้องครัวนรก เหล่าฝูงผีดิบที่โกรธเกรี้ยวก็กระโจนเข้าจู่โจมทั้งคู่ อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้พระเอกของเราดันลื่นไขมันมนุษย์และล่วงตกลงไปในหลุมขยะ  ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยคราบเหนียวเหนอะหนะจากซากชิ้นส่วนของมนุษย์ที่กำลังเน่า และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือกลิ่นเนื้อสดๆของ Undead นิรนามได้ลอยไปตามน้ำจนเข้าจมูกของเหล่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำแห่งนี้เข้าซะแล้ว ( ภาพประกอบ : หนูยักษ์ที่อาศัยกินซากศพมนุษย์จนร่างกายเติบใหญ่ผิดปกติ ) ( ภาพประกอบ : Slime สิ่งมีชีวิตแบคทีเรียที่มีความเหนียวหนึบเป็นอย่างมาก และดำรงชีพด้วยการย่อยอินทรียวัตถุเป็นอาหาร ) แต่ไม่ว่าจะเป็นหนูท่อยักษ์หรือเมือกประหลาดกินคน...ก็หาได้มีความอันตรายไม่เมื่อเทียบกับสัตว์พิสดารอย่างเจ้าตัว Basilisk จิ้งเหลนยักษ์สีดำที่มีความสูงพอๆกับสุนัขตัวใหญ่ หากมันรู้สึกว่ามีอันตรายสัญชาตญาณจะบอกให้มันสูบลมเข้าไปในถุงลมทั้งสองข้าง และพ่นสารพิษร้ายแรง (Curse) ออกมาเพื่อป้องกันตัว ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าดวงตาอันใหญ่บนหัวของมันเป็นดวงตาที่เเท้จริง เเต่ความจริงเเล้วดวงตาของมันก็มีขนาดปกติเท่ากับสัตว์ทั่วๆไป ( ดูภาพประกอบด้านล่าง ) ( ภาพประกอบ : ดวงตาที่แท้จริงของเจ้า Basilisk มีขนาดที่เล็กเเละอยู่ใต้ดวงตาปลอม ) Undead นิรนามที่ตกลงไปข้างล่างได้พยายามร้องเรียกเจ้า Lautrec ให้มาช่วยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงคิดเอาเองว่ามันคงหนีกลับ Firelink Shrine ไปแล้ว ทำให้ต่อจากนี้พระเอกของเราจะต้องตะลุยดงสัตว์ร้ายด้วยตัวคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง  Undead นิรนามต้องทนเห็นภาพสิ่งปฏิกูลลอยไปมาอยู่เหนือน้ำจนแถบจะอาเจียน ทุกย่างก้าวที่เขาเดินลุยน้ำก็มักจะมีเศษชิ้นเนื้อและเมือกแปลกๆติดรองเท้ามาด้วยเสมอ และไหนจะซากศพของคนที่ตายจากพิษของพวก Basilisk อีก ที่มีท่าทางก่อนตายดูคล้ายกับคนที่ขาดอากาศหายใจและกำลังดิ้นทุรนทุรายจนกลายเป็นก้อนหิน... เรียกได้ว่า The Depth คือศูนย์ร่วมงานแสดงประติมากรรมสุดสยองก็ไม่ปาน ( ภาพประกอบ : ถ้าผู้เล่นเชื่อมต่ออินเตอร์ในระหว่างเล่น ตัวเกมจะจำลองศพของผู้เล่นคนอื่นที่ตายด้วยสถานะ Curse ปรากฏออกมาตามที่ต่างๆในเกมของเรา )     จอมขย้ำกระหายเลือด Undead นิรนามเดินลุยน้ำโสโครกจนมาถึงลานน้ำกว้างขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งที่ปลายสุดเป็นน้ำตกที่ไหลบ่าลงไปด้านล่าง เเละดูเหมือนว่าน้ำเน่าทั้งหมดใน The Depth จะไหลมาระบายออกยังน้ำตกแห่งนี้...เเละเเน่นอนว่ากลิ่นเนื้อสดเป็นๆของพระเอกของเราก็ได้ปลุกบางสิ่งอย่างให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล  ขนาดของมันใหญ่ยิ่งกว่า Stray Demon หรือ Titanite Demon หลายเท่าและถ้าวัดตั้งแต่หัวจรดหางมันยาวยิ่งกว่ามังกรน้ำ Hydra เสียอีก นามของเจ้าสิ่งนี้ก็คือโคตรไอ้เคี่ยม Gaping Dragon! ( ภาพประกอบ : สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon ) ลำตัวช่วงบนที่ไม่สมประกอบของมันสูงเกือบเท่าเพดานจนสามารถบังแสงอาทิตย์ และตั้งแต่บริเวณลำคอลงมาตลอดจนท้องน้อยถูกแหวกออก เผยให้เห็นซีโครงจำนวนมากที่ถูกเลาจนแหลมเพื่อใช้บด, เคี้ยว, ขย้ำเหยื่อ เกร็ดที่กลายสภาพจนดูคล้ายงู บันท้ายที่พองโตเพราะไม่อาจจะย่อยสิ่งที่กินเข้าไปได้ทัน ขาและข้อเท้าที่ผิดรูปได้ทำให้การเดินของมันบิดเบี้ยวไปมา เเละเเม้จะมีปีกขนาดใหญ่ถึงสี่ปีกมันไม่อาจจะพยุงน้ำหนักตัวอันมหาศาลให้บินขึ้นได้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่พัดกลิ่นเหม็นๆให้ฟุ้งลอยไปทั่วห้อง ( ภาพประกอบ : ขาของมันทรงพลังมากจนสามารถขยี้ชุดเกราะได้อย่างสบายๆ ) เเม้สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon จะดูน่าเกลียดเหมือนหลุดมาจากอีกมิติ เเต่มันเป็นถึงลูกหลานสายตรงของเหล่ามังกรนิรันดรที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต โดยสาเหตุทที่ทำให้มันเป็นเเบบนี้ก็เริ่มมาจากหลังสิ้นสุดมหาสงครามมังกร Seath ได้ค้นพบไข่มังกรนิรันดรสองใบที่ยังเหลือรอด มันได้มอบไข่ใบหนึ่งให้กับ Gwyn ซึ่งถูกนำไปทะนุถนอมเป็นอย่างดีและถูกตั้งชื่อว่า Mirdir ส่วนไข่ใบที่โชคร้ายได้ตกไปอยู่ในมือของจอมวิปลาส Seath  และต้องเผชิญกับทดลองตั้งแต่อยู่ในไข่จนทำให้มีรูปร่างเป็นอย่างที่เห็น ผลกระทบจากความผิดพลาดได้ทำให้ร่างกายท่อนบนของมันแหวกออก ทำให้อวัยวะทั้งหลายหลุดล่วงออกจากร่างกายแต่ถึงกระนั่นมันก็ไม่อาจจะตายได้ สิ่งเดียวที่มันพอจะทำได้ก็คือ กิน กิน และ กิน! เพื่อเติมเต็มให้กับร่างกายที่ไม่มีวันสมบูรณ์ของมัน ( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากเราสามารถตัดหางของ Gaping Dragon ได้สำเร็จ ผู้เล่นจะได้ Dragon King Greataxe มาใช้งาน ) หลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ก็คงพอจะเดาได้ใช่ไหมครับว่าพระเอกของเราจะตัดสินใจทำอะไร...ใช่แล้ว! เขาหันหลังหนีกลับไปทันที ( เป็นผมๆก็หนี ) เพื่อหาเส้นทางอื่นที่จะนำไปสู่ Bell of Awakening… แต่สิ่งเดียวที่เขาพบกลับเป็นประตูเหล็กบานเล็กๆ ที่สามารถนำลงไปสู่พื้นที่ด้านล่างได้ทว่าติดอยู่แค่อย่างเดียวคือเขาดันไม่มีกุญแจ พระเอกของเราจึงได้ไปถามพ่อค้าเร่คนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ นามว่า Domhnall ที่เดินทางมาจากนคร Zena อันห่างไกล เจ้าพ่อค้าเร่คนนี้มีนิสัยที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือมันชอบตระเวนไปตามหลุมฝั่งศพและขโมยเอาชุดของคนตายมาขายต่อ และมันยังมีวิชาแห่งความลับในการเปลี่ยนอาวุธเก่าๆที่ไร้ค่าให้เป็นกลายเป็นอาวุธคริสตัลที่ทรงพลังกว่าเดิมโดยแลกมากับการที่สึกกร่อนง่ายกว่าปกติ และแน่นอนว่าจะต้องขายในราคาที่แพงกว่าเดิมหลายเท่าด้วย ( ภาพประกอบ : เจ้า Domhnall ตระเวนขุดหลุมฝั่งศพไปทั่วไม่ว่าจะเป็น Catacomb หรือเมืองร้าง New Londo พี่แกก็ไปมาหมดแล้ว )          Undead นิรนามได้ลองถามเจ้าพ่อค้าเร่ดูว่ามันรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่เเห่งนี้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกจนกว่าพระเอกของเราจะยอมซื้อของไปจากมัน 1 ชิ้นต่อหนึ่ง 1 คำถาม(หน้าเลือด) เมื่อเป็นเช่นนั้นสุดท้ายพระเอกของเราก็ต้องยอมจ่าย Soul ให้กับเจ้าพ่อค้าเร่จนได้ เจ้า Domhnall ได้บอกข่าวลือลึกลับว่ามีกลุ่มคนแปลกๆที่บูชามังกรนิรันดรเเอบหลบซ่อนอยู่เเถวนี้...  คำตอบที่ได้ทำให้ Undead นิรนามยื่นนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไอ้สิ่งที่ออกจากปากของมันดูจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย และเริ่มคิดว่าตนเองกำลังเสียรู้เจ้าพ่อเร่คนนี้ ( ภาพประกอบ : Crystal Straight และ Sword Crystal Shield ที่ขายจาก Domhnall เป็นหนึ่งในของดีสำหรับผู้เล่นต้นเกมที่มี Soul เหลือกินเหลือใช้ ) พระเอกของเราจึงยอมจ่าย Soul อีกครั้งแต่คร่าวนี้เขาถามเจาะจงเกี่ยวกับ Bell of Awakening… เจ้าพ่อค้าเร่เงียบไปแปบหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า ตัวมันเองก็ไม่รู้เพราะมันก็ยังไม่เคยลงไปข้างล่างเหมือนกัน          เมื่อสิ้นประโยคดังกล่าวพระเอกของเราก็ลุกขึ้นและทำท่าเหมือนจะชักดาบออกมา จนทำให้เจ้า Domhnall ลุกลี้ลุกลนพร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่รู้เรื่องของ Bell of Awakening จริงๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้มีนักรบหลงทางคนหนึ่งเคยกล่าวถึงระฆังที่ว่านั่นอยู่เหมือนกัน... “ นักรบหลงทาง? ” Undead นิรนามสะกิดใจว่านั้นอาจจะเป็นเจ้า Lautrec ก็ได้ เขาจึงเก็บดาบและออกเดินสำรวจมากขึ้น ( ภาพประกอบ : Bonfire ประจำ The Depth ซึ่งเป็นที่ๆผู้เล่นหลายคนนัดเจอเพื่อน แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นจุดที่ดึงดูดให้มีการ PVP แกล้งกันมากที่สุดจุดหนึ่งในเกม  ) Undead นิรนามเดินทางย้อนกลับขึ้นไปด้านบนจนได้ไปพบห้องเล็กๆที่มี Bonfire อยู่ข้างใน พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ฟังดูคุ้นหูเล็ดรอดออกมา พระเอกของเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและได้พบกับเจ้า Lautrec อยู่ที่นั่นจริงๆ ซึ่งมันกำลังพูดคุยอยู่กับนักรบปริศนาอีกคน Undead ลองพิจารณามองดูทั้งชุด, ทั้งดาบ, ทั้งหมวกเหล็ก...คนที่แต่งตัวประหลาดแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียว! นั่นก็คือเอกบุรุษ Solaire นั่นเอง          เมื่อทั้งสามสหายกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้! พวกเขาเริ่มปรึกษากันเกี่ยวกับเจ้า Gaping Dragon และสรุปได้ความว่า Solaire เคยเห็นแสงสะท้อนวิบวับอยู่ข้างในท้องของ Gaping Dragon ซึ่งนั่นอาจจะเป็นกุญแจเปิดประตูที่เรากำลังตามหาก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : ความจริงแล้วภายในเกม Dark Souls เราสามารถที่จะฆ่า Gaping Dragon ได้ด้วยการสู้กับมันก่อนหนึ่งครั้ง และจากนั้นก็หนีออกมายืนที่ระเบียงในรูป เพื่อโจมตีจากระยะไกลได้ฟรีๆ ) ในวันถัดมาทั้งสามจึงได้ไปยืนดูที่ระเบียงและมองเห็นว่ามีกุญแจอยู่ในท้องของมันจริงๆ เเต่ปัญหาต่อไปก็คือ “แล้วเราจะเข้าไปเอาได้ยังไงกันละ?” สามสหายพยายามครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าเราจะต้องตัดหัวอันเล็กกระจิดริดของมันออกเสีย โดยจะต้องมีคนหนึ่งยอมเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้มันก้มลำตัวส่วนบนลงมา เพื่อเปิดโอกาสให้อีกสองคนวิ่งเข้าไปตัวหัวเล็กๆของมัน          “ก็เเค่ตัดหัวของมันซะ” คำพูดที่ฟังดูง่ายๆแต่พอตอนปฏิบัติจริงเจ้า Gaping Dragon กลับไม่ยอมก้มหัวลงมาหากเหยื่อไม่ไปอยู่ข้างใต้ปากของมันตรงๆ และต่อให้เป็นจังหวะที่มันก้มหัวลงมาพุ่งชนความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันก็มากเกินกว่าที่สองเท้าของคนปกติจะวิ่งตามได้ทัน แถมนี่ยังไม่นับรวมการปล่อยน้ำย่อยกรดเเรงสูงซึ่งถูกสะบัดออกมาจากร่างของมันเป็นระยะๆ จนทำให้การเข้าไปใกล้หัวของมันเป็นเรื่องที่เเทบจะเป็นไปไม่ได้ ( ภาพประกอบ : มือคู่ท
03 Jul 2020
10 สุดยอดสุนัขจากวิดีโอเกม
ในเกมต่างๆ เราจะได้เห็นเผ่าพันธุ์บรรดาสัตว์มากมายในเกมใช่ไหมครับ แต่หนึ่งในสัตว์ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในวีดีโอเกมก็คงไม่พ้นเหล่าสุนัขที่มีเยอะมากในวีดีโอเกม จะมีหลายแบบทั้งพวกดุร้ายที่เป็นศัตรู หรือคู่หูเพื่อนร่วทาง ซึ่งวันนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับ 10 สุดยอดสุนัขจากเกมต่างๆ จะมีตัวละครไหนที่ถูกใจกันบ้างมาดูกันครับ. 1.KK Slider จากซีรี่ส์ Animal Crossing ผลโหวตเลือก KK Slider ให้เป็นสุนัขที่ดีที่สุดใน Animal Crossing เพราะตัวละครนี้นอกจากจะอยู่กับผู้เล่นมาตั้งแต่ภาคแรกๆ แล้วเขายังมีสเน่ห์ในการใช้คำพูดที่นุ่มนวลและขับร้องเพลงที่ไพเราะมากกว่า 90 เพลงนับตั้งแต่ภาค New Leaf! เขายังเป็นตัวละครสุนัขที่ไม่เหมือนใครครับเพราะเขาสามารถเปิดคอนเสิร์ตและมอบความสนุปให้กับผู้คนบนเกาะอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย. 2.Dogmeat จากซีรี่ส์ Fallout 4 Fallout เป็นซีรี่ส์ที่ทำให้ชาวเกมหลงรักกันมายาวนานอยู่พักใหญ่ๆ และยังมีเจ้าหมา Dogmeat หนึ่งในตัวละครที่โดดเด่น มันปรากฏตัวในเกมครั้งแรกเมื่อปี 1997 และยังคงออกมาให้เห็นอยู่ในเกมแทบทุกภาคจนมาถึงภาค 4 โดยแฟนๆ เกมนี้รักสุนัขตัวนี้มาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าเจ้าหมาตายผู้เล่นจะยอมย้อนกลับไปเล่นใหม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าเป็นการยกเลิกเซฟที่เล่นมาหลายชั่วโมงเลยครับ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ มีความสุขมากๆ ใน Fallout 4 เพราะเจ้าหมา Dogmeat นั้นไม่สามารถตายได้มันจะอยู่กับเราจนจบเกมครับ. 3.The Dog จากเกม Fable II เจ้าหมาแห่ง Fable II เป็นที่เหล่าเกมเมอร์รู้ดีกันครับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ใหญ่ที่สุดในเกม สุนัขตัวนี้จะเป็นเพื่อนรักและผู้ติดตามของเราไปตลอดเกมยอมสู้ตัวตายเพื่อปกป้องเราเวลาต้องสู้กับ BOSS ซึ่งเมื่อจบเกมผู้เล่นจะสามารถเลือกรางวัลใหญ่ได้ 3 ทาง คือ 1.เงินทองมหาศาล 2.ฟื้นชีวิตคนที่ตายให้กลับมา 3.ชุบเจ้าหมาของเรา แล้วผู้อ่านคิดว่าส่วนใหญ่เหล่าเกมเมอร์จะเลือกข้อไหนครับ555. 4.Sif จากเกม Dark Souls การต่อสู้ที่ดุเดือดแต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่ บรรยากาศของมิตรภาพในวันวาน เมื่อผู้เล่นต้องจัดการกับหมาป่าที่ปกป้องหลุมศพของสหายผู้ล่วงลับ ที่สำคัญคือนักออกแบบหมาป่าตัวนี้ทำมันออกมาได้ดูเท่และน่าเกรงขามมากๆ มันทั้งตัวใหญ่และคาบดาบยักษ์เป็นอาวุธ มีผู้เล่นหลายคนเผยความรู้สึกว่าถ้าเลือกได้พวกเขาจะหลีกเลี่ยงที่จะต้องสังหารมัน เพราะมันไม่ได้ต้องการทำร้ายใครก่อน เพียงแค่จะปกป้องศักดิ์ศรีและความรักที่มันมีให้ต่อสหายเท่านั้น. 5.D-Dog จาก Metal Gear Solid V ผู้เล่นซีรี่ส์ Matal Gear Solid ทุกคนล้วนตกหลุมรักเจ้า D-Dog เพราะมันออกมาอยู่ในซีรี่ส์ตั้งแต่ตอนยังเป็นลูกสุนัขตัวเล็กๆ ที่ดูเลี้ยงโดย Snake แถมยังมีใส่ผ้าปิดตาไว้ข้างนึงเหมือนเข้านายของมันอีกด้วย นึกภาพนะครับว่าเราเห็นลูกสุนัขตัวเล็กๆ เติบโตจนกลายเป็นสุนัขทหารขนเทาที่น่าเกรงขาม คอยช่วยเหลือเราในยามบุกฐานศัตรูทั้งคอยดมกลิ่น หลอกล่อ และกระโจนขย้ำศัตรูตามคำสั่งอีกด้วย. 6.Polterpup จาก Luigis Mansion 3 ใครบอกว่าผีไม่น่ารักครับ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับวิญญาณผีน้อยอย่าง Polterpup แต่วิญญาณตนนี้ยังคงสเน่ห์ความเป็นน้องหมาอยู่ครับ เกมบางเกมมีสัตว์น่ารักมากมายที่ปรากฏมาในเกม แต่ผู้เล่นที่หลงใหลในสัตว์เหล่านั้นทำได้แค่มองและเสียดายที่ไม่สามารถนำพวกมันมาเลี้ยงได้ แต่สำหรับเกมนี้ที่ทำให้หลายๆ คนหลงรักมันก็คือผู้เล่นสามารถเลี้ยงมันได้ใน Luigis Mansion 3 ! 7.สุนัขแสนน่ารำคาญจาก Undertale เจ้าสุนัขสุดป่วนที่กลายเป็นอีกจุดเด่นของเกม Undertale มันชอบออกมาป่วนและโผล่มากวนผู้เล่นเป็นช่วงสั้นๆ แต่บ่อยครั้งตลอดทั้งเกม เช่นบางครังมันไปขโมยคาบกระดูกของ Papyrus ( ตัวละครรูปร่างกระดูกในเกม ) ซึ่งกระดูกนั้นจะทำการระเบิดเมื่อมาถึงมือเรา แล้วจะดูดไอเทมที่ผู้เล่นได้รับมาจากการไขปริศนาต่างๆ ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหมาตัวนี้มันเกรียนและป่วนยังไงก็ต้องลองซื้อเกม Undertale มาลองเล่นกันแล้วแหละครับ555. 8.Amaterasu จาก Okami Amaterasu จะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยง บอส หรือตัวประกอบในเกม แต่จะเป็นตัวละครที่ผู้เล่นจะต้องเล่นเป็นตัวหลัก ซึ่ง Amaterasu เป็นเทพธิดาในรูปแบบหมาป่า ซึ่งเธอมีความสามารถพิเศษมากมายเช่น หางของเธอนั้นสามารถวาดพลังงานเพื่อสร้างเป็นแสงสว่าง ความมืด หรือธาตุต่างๆ อย่าง ดิน น้ำ ไฟ ลมได้ยังมีความสามารถที่ผมไม่ขอสปอยด์อยากให้ผู้อ่านลองไปตามหาดูในเกม Okami นะครับแต่ขอรับประกันในงานภาพ และเนื้อเรื่องที่คุ้มค่ากับการเล่นมากๆ ครับ. 9.Wolf Link จาก Twilight Princess หนึ่งในตัวละครที่ดูโดดเด่นที่สุดของเกมตลอดการนั่นคือ Wolf Link ในเกม Twilight Princess ที่สามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าหรือมนุษย์ก็ได้ แต่เวลาแปลงร่างเป็นหมาป่านั้นจะทำให้เขาสามารถสื่อสารกับสัตว์อื่นๆ และควบคุมมันได้ ที่สำคัญถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหมาป่าตัวที่เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าผู้เล่นสามารถเรียกเขามาเป็นสัตว์คู่กายได้ในเกมดังอย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild. 10.หมาป่าจาก Resident Evill 4 บอกเลยว่าข้อสุดท้ายนี้เกมเมอร์ยุค PS2 แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักครับ เจ้าหมาป่าตัวนี้ผู้เล่นจะพบมันในช่วงแรกๆ ซึ่งมันจะถูกกับดับสัตว์ล็อคขาอยู่ *ในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะช่วย ปล่อยไว้ หรือยิงทิ้ง โดยถ้าใครที่เลือกช่วยเหลือมัน มันจะกระโดดหนีหายไปในป่า แต่จะมีสิ่งที่เซอร์ไพรส์ผู้เล่นคือ เมื่อถึงฉากต้องสู้กับซอมบี้ยักษ์ เจ้าหมาตัวนี้มันจะออกมา ( บอกเลยว่าผมเล่นผมรู้สึกใจเต้นมากๆ เหมือนพระเอกเลยครับเท่ๆ มากๆ น้องหมาตัวนี้ ) และทำการล่อเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าซอมบี้ยักษ์ ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้ง่ายขึ้นครับ! Credit: Gamerant
19 Jun 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 11 สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด ซึ่งจะดำเนินเรื่องราวต่อจากการที่ Undead นิรนามของเราได้ตัดสินใจเดินทางลงไปยังสุสานใต้ดิน Catacomb เพื่อตามหาของวิเศษที่ถูกเรียกว่า Rite of Kindling ซึ่งมีคุณสมบัติในการดึงพลังจาก Bonfire ให้นำออกมาใช้ได้มากขึ้น ทว่าตลอดการเดินก็ล้วนเเต่ถูกขัดขวางโดยเหล่าผีร้ายจนมันได้ทำให้เขาตกลงไปยังเหวลึกและบาดเจ็บสาหัส! สถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรทุกท่านก็สามรถติดตามได้ใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด “สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ” ( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของเจ้าสื่งประหลาดที่ Undead นิรนามได้กำลังเผชิญหน้า ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ วาระสุดท้ายของ Pinwheel          ท่ามกลางความมืดอันหนาวเหน็บภายในสุสาน Catacomb ได้มี Undead คนหนึ่งที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสเเละกำลังพยายามอย่างกระเสือกกระสนเพื่อให้พ้นจากผีโครงกระดูกตัวยักษ์ ที่ยิ่งเมื่อได้เห็นว่ามันมีอาวุธเป็นพลั่วที่ใหญ่มหึมาก็ยิ่งทำให้พระเอกของเราหวาดกลัวจนหัวใจได้ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เเต่ทว่าเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้เจ้าตัวประหลาดกลับใช้พลั่วในมือฟาดเข้าไปที่กำแพงด้านข้างอย่างรุนเเรงจนพังทลายเป็นรูโหว่ พร้อมกับเอ่ยปากบอกให้ Undead นิรนามรีบหนีออกไปซะเพราะเขาได้รบกวนสมาธิในการทำงานของมัน… ( ภาพประกอบ : กำเเพงที่ถูกทำลายมันได้กลายเป็นทางลัดตรงไปสู่ห้องทดลองของ Pinwheel ) Undead นิรนามตกตลึงไปพักใหญ่เพราะไม่คิดว่าผีโครงกระดูกช่วยเหลือเขา แต่เมื่ออาการบาดเจ็บที่ขาของเขาหายดี Undead นิรนามก็รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่กล่าวขอบคุณเลยสักคำเพราะเกรงว่าจะทำให้เจ้าโครงกระดูกอารมณ์เสียเอาได้ ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเจ้าผีตนนี้ตอนครั้งยังมีชีวิตมันเคยเป็นถึงชนชั้นสูงในนครเเห่งเพลิง Izalith แต่ด้วยความขัดแย้งเรื่องการทดลองเพลิง Chaos ของแม่มดแห่ง Izalith ก็ได้ทำให้ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะลี้ภัยหนีไปจากมหานครซึ่ง Vamos ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้หลบลี้ไปอยู่ที่เมือง New Londo เเละใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตและได้ถูกนำร่างมาฝั่งยังสุสานใต้ดินแห่งนี้ ( ภาพประกอบ : นามที่แท้จริงของโครงกระดูกนี้ก็คือ Vamos ซึ่งตอนยังมีชีวิตเขาขึ้นชื่อในเรื่องของการสร้างอาวุธธาตุไฟเป็นอย่างมาก ) ( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นนำเอา Chaos Flame Ember ไปมอบให้เเก่ Vamos เขาก็จะทักว่าความร้อนจาก Ember ชิ้นนี้มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับพลังของแม่มดแห่ง Izalith เสียเหลือเกิน )              พอกล่าวมาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าทำไม Vamos ถึงยังคงมีสติและไม่บ้าคลั่งเหมือนกับพวกโครงกระดูกตัวอื่นๆ? ซึ่งคำตอบก็คงจะหนีไม่พ้นพวก Necromancer ที่ได้บุกรุกเข้าไปในสุสานของชนชั้นสูงเเต่เมื่อปลุกชีพขึ้นมากลับไม่สามารถควบคุมพลังของศพที่เเข็งเเกร่งเหล่านี้ได้พวกมันจึงจำต้องปล่อย Vamos ไว้เช่นนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผู้คนในสมัยก่อนจึงมักจะส่งเวรยามไปคอยเฝ้าระวังหลุมศพของพวกชนชั้นสูงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมือบอลเข้ามาปลุกชีพศพขึ้นมาใช้งานได้ตามอำเภอใจ ในบางกรณีถึงกับต้องส่งพวก Titanite Demon หรือ Black Knight มาคอยเฝ้าระวังศพกันเลยทีเดียว ( ภาพประกอบ : ภาพของ Titanite Demon ที่ถูกส่งไปปกป้องหลุมศพของบุคคลสำคัญ )              หลังจากที่ Undead นิรนามออกมาจากสุสานได้สำเร็จเขาก็ได้พบกับแนวป้องกันด้านสุดท้ายเป็นเหล่าผีรูปร่างประหลาดที่มีวงล้อของรถม้าแทรกผ่านกลางตัวโดยมันได้ถูกเรียกกันว่า Wheel Skeleton หรือผีติดล้อ....ซึ่งมันจะโจมตีด้วยการคดตัวกอดติดกับวงล้อและกลิ้งไปชนใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางให้พินาศ และด้วยการโจมตีที่แสนจะหลุดโลกของมันก็ได้ทำให้ Undead นิรนามต้องใช้วิธีวิ่งหนีซิกแซกไปมาจึงรอดพ้นเหล่าผีจอมซิ่งมาได้สำเร็จ เเต่ทว่าการกระโจนหลบสุดท้ายกลับทำให้เขาสะดุดร่วงตกลงไปในห้องทดลองของ Pinwheel  ( ภาพประกอบ : รูปร่างอันสุดประหลาดของ Wheel Skeleton นั่นสื่อถึงการขว้างกั้นวงล้อแห่งการเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย ) ( ภาพประกอบ : ห้องทดลองของ Pinwheel ได้ถูกดัดเเปลงจากโรงศพขนาดมหึมาของพวกยักษา )   และแทบจะทันทีที่ Undead นิรนามร่วงตกลงมาเจ้า Pinwheel ที่กำลังอ่านตำราอยู่ก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะตลอดหลายพันปีมานี้นอกจากพวกเหยื่อที่ถูกจับมาทดลองหรือพวก Black Knight ที่ Pinwheel ไม่อยากจะมีปัญหาด้วยก็แทบจะไม่มีใครเลยที่เคยเข้ามาถึงยังห้องทดลองแห่งนี้ มันได้จัดการร่ายเวทมนตร์สร้างร่างแยกของตนเองขึ้นมาและประสานเข้ากับเวทมนตร์สายจู่โจมเพื่อเร่งขับไล่พระเอกของเราอย่างเต็มที่ทว่าแม้จะขุดเอาลูกเล่นที่แพรวพราวมากมายมาใช้ก็ตาม คนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่หลังซากศพของคนอื่นอย่างมันมีเหรอจะสามารถต่อกรกับ Undead นิรนามที่ผ่านศึกการต่อสู้มาเเล้วอย่างโชกโชนได้! เพียงแค่การตวัดดาบไม่กี่ครั้งร่างของ Pinwheel ก็ได้ถูกทำลายลงพร้อมๆกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของมัน เเต่ในทางกลับกันมันอาจจะก็เป็นการปลดปล่อยสามคน พ่อ, เเม่, เเละลูกให้พ้นจากโลกอันเเสนความทุกข์ทรมานใบนี้ก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : แต่เดิมแล้วเวทมนตร์แยกร่างของ Pinwheel มีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการใช้เเบ่งร่างของตนเองออกมาเพื่อทำการทดลอง ) การตายของ Pinwheel ได้ทำให้พลังวิญญาณที่มันกักเก็บเอาไว้ในร่างไหลทะลักออกมา ซึ่งนั่นก็ร่วมไปถึง Rite of Kindling สิ่งของเจ้าปัญหาที่หลายชีวิตจำต้องจบลงเพราะมัน Undead นิรนามได้ค่อยๆใช้มือหยิบเอา Rite of Kindling ขึ้นมาดูใกล้ๆ...ทว่าทันทีทันใดอยู่ๆเจ้า Patches ก็ล่วงตกลงมาในห้องทดลองเเห่งนี้เช่นกันจึงทำให้พระเอกของเราจำต้องรีบซ่อน Rite of Kindling เอาไว้ข้างหลังด้วยเกรงว่าจะถูกเเย่งชิงไป เเต่เจ้า Patches กลับเเค่กล่าวทักทายพระเอกของเราพร้อมกับออกเดินสำรวจไปทั่วจนกระทั่งได้ไปพบกับบันไดลิงที่เชื่อมต่อกับอีกฟากของสุสานซึ่งเจ้า Patches ก็รีบปีนบันได้ขึ้นไปและเดินหายไปด้วยท่าทีที่เร่งรีบ ( ภาพประกอบ : อีกฟากของสุสานนั้นเป็นสถานที่ที่มืดมิดเเละอันตรายยิ่งกว่า Catacomb หลายเท่า ) เมื่อตัวปัญหาจากไปแล้ว Undead นิรนามของเราก็เริ่มอุ่นใจมากขึ้นและได้เตรียมตัวที่จะใช้ Homeward Bone  อีกหนึ่งเครื่องมือทุ่นแรงที่จะทำให้ Undead สามารถกลับไปยัง Bonfire ล่าสุดที่ใช้วิญญาณเชื่อมต่อเอาไว้ได้...แต่แล้ว!ในขณะที่เขากำลังจะหักท่อนกระดูก Homeward Bone อยู่ๆก็มีเสียงดังคล้ายกับคนร่วงตกลงมาอีกรอบ ทว่าคร่าวนี้มันคือเหล่าคณะเดินทางของ Rhea ซึ่งเมื่อตกลงมาได้ไม่นานเหล่าบรรดาผู้ติดตามของเเม่นักบวชสาวก็เดินตรงปรี่มาที่ Undead นิรนามจากนั้นก็พยายามซักถามถึง Rite of Kindling ด้วยท่าทีคุกคามและใช้น้ำเสียงที่รุนแรง จนทำให้แม้แต่คนที่แสนดีอย่างพระเอกของเรายังเริ่มทนไม่ไหวจึงแสร้งพูดโกหกไปว่าสิ่งที่พวกเจ้ากำลังตามหามันน่าจะอยู่อีกฟากของสุสานก็เป็นได้ซึ่งก็แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ปักใจเชื่อ...แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลาย Rhea ก็ได้สั่งห้ามปรามคนของตนจากนั้นก็ได้กล่าวขอบคุณ Undead นิรนามที่ชี้เเนะเส้นทางให้จนเล่นเอาเขามีอาการเคอะเขินเล็กน้อย… ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้ติดตามนามว่า Petrus ก็เห็นด้วยเเละได้เสนอว่าควรจะเดินทางเข้าไปยังอีกฟากของสุสานเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ( ภาพประกอบ : Homeward Bone ทำมาจากท่อนกระดูกของ Undead ที่ตายสนิทไปแล้ว โดยจะผ่านการปลุกเสกเพื่อทำให้มีพลังในการเชื่อมต่อวิญญาณของผู้ใช้เข้ากับ Bonfire ได้ ) หลังจากคณะเดินทางของ Rhea จากไป มันก็ได้เเวลาที่พระเอกของเราจะกลับไปยัง Firelink Shrine สักที... “แต่แบบนั้นจะดีแล้วเหรอ?” เขากล่าวกับตัวเองพร้อมกับหันหน้าไปมองยังอีกฟากของสุสานที่ Rhea เพิ่งจะเดินหายลับเข้าไปในความมืด ความรู้สึกระอายใจเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นจากการที่เมื่อครู่เขาได้โมโหจนพูดโกหกออกไปซึ่งมันก็เท่ากับว่าเขาได้ส่ง Rhea ผู้น่าสงสารไปทำภารกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จและนั่นก็จะเป็นตราบาปภายในใจของ Undead นิรนามไปตลอดกาลซึ่งมันเกินที่เขาจะยอมรับได้ ดังนั้นพระเอกของเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตามหา Rhea ภายในอีกฟากสุสานซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าแห่งความตาย Nito โดยถูกเรียกขานกันว่า Tomb of Giants หรือ “สุสานคนยักษ์” ( ภาพประกอบ : พวกผีที่อยู่ใน Tomb of Giants ทั้งหมดล้วนเเต่ถูกปลุกชีพขึ้นมาโดย Nito )     อุบายร้ายของเจ้าไฮยีน่า ในอดีต Tomb of Giant เคยเป็นสถานที่อันสงบสุขหลังความตายของเหล่ายักษา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เหล่ากบฏทมิฬได้ขโมย Rite of Kindling ไปจาก Nito จนส่งผลให้เกิดการตามล่าครั้งใหญ่อยู่ภายในสุสานซึ่งได้เปลี่ยนให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเป็นทุ่งสังหารไปโดยปริยาย(ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ทรยศหักหลังของ Pinwheel)  ( ภาพประกอบ : หนึ่งในเจ้าตัวที่อันตรายที่สุดของ Tomb of Giants ก็ผีโครงกระดูกสุนัขที่มันสามารถฆ่าคนได้ด้วยการโจมตีเพียงเเค่ครั้งเดียว ) ( ภาพประกอบ : เสาโครงกระดูกที่เกิดจากการรวมตัวของซากศพมากมายซึ่งถูกฝังใต้พื้นดิน )  ด้วยการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นของ Undead นิรนามได้ทำให้ความสุขุมเยือกเย็นของเขาลดน้อยถอยลงและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในตัวของแม่นักบวชสาว โดยจุดประสงค์เดียวในตอนนี้ก็คือต้องรีบพาตัวนางกลับออกมาให้เร็วที่สุด(ส่วนคนอื่นช่างมัน) Undead นิรนามได้ตะเบ็งเสียงร้องเรียก Rhea จนดังกึกก้องไปทั่วโดยหารู้ไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีค่าเท่ากับการบอกให้เหล่าภูตผีรู้ถึงตำแหน่งของเขาท่ามกลางความมืด ( ภาพประกอบ : ผีโครงกระดูกบางตัวจะคอยฟังเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นใน Tomb of Giant เเละจู่โจมเข้าไปยังตำเเหน่งของเป้าหมายได้อย่างเเม่นยำ ) แต่ถึงจะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาก็ตามเเต่ที่บนพื้นดินกลับมีแสงแวววาวจากหิน Prism Stone ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มักจะได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเดินทางโดยจะใช้มันทำเป็นสัญลักษณ์ตามเส้นทางเพื่อป้องกันการหลงทาง ซึ่ง Undead นิรนามคิดว่า Prism Stone เหล่านี้คือสิ่งที่คณะเดินทางของ Rhea เป็นคนทิ้งเอาไว้ให้   ( ภาพประกอบ : ในการเล่น Online จะมีผู้เล่นบางคนที่นิยมใช้ Prism Stone เพื่อเเทนการสื่อสารหรือล่อลวงผู้เล่นคนอื่นให้เข้าไปติดกับดัก ) ทว่าแม้จะมี Prism Stone คอยบอกทางแต่การที่ Undead นิรนามเอาเเต่ร้องหา Rhea มันกลับยิ่งทำให้การเดินทางนั้นยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะถูกผีโครงกระดูกยักษ์ดักเล่นงานอยู่ตามทาวเป็นระยะๆแถมยังต้องประสบพบเจอกับลูกธนูปริศนาที่ถูกยิงมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ภายใต้ความมืด ซึ่งได้ทำให้ Undead นิรนามตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองไม่ว่าจะทั้งวิสัยทัศน์ซึ่งมืดบอดตลอดจนจำนวนของศัตรูที่ไม่อาจทราบได้เเน่ชัด ก็ได้บีบให้พระเอกของเรางัดเอาท่าไม้ตายก้นหีบอย่างการวิ่งเเบบไม่คิดออกมาใช้ จนกระทั่งเขาได้ไปพบกับเจ้าไฮยีน่า Patches อีกครั้งแต่ทว่าคร่าวนี้มันกลับยืนกวักมือเรียกให้ Undead เดินเข้าไปหา ( ภาพประกอบ : เจ้า Patches ที่กำลังดักรอเหยื่อของมัน ) เจ้า Patches ได้กล่าวว่าที่หลุมตรงนี้มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ภายในเเละชักชวนให้ Undead นิรนามลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ทว่าพระเอกของเรากลับไม่สนใจและเอาแต่ถามถึงเหล่าคณะเดินทางของ Rhea ซึ่งเมื่อเจ้า Patches ได้ยินเข้ามันก็มีท่าทีที่เปลียนไปโดยเเสดงอาการเหมือนกับคนที่กำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะแต่ก็ยังคงพูดเน้นย้ำให้ Undead นิรนามก้มลงไปดูให้ได้ จนสุดท้ายพระเอกของเราที่กำลังมีจิตใจว้าวุ่นเเละไม่ระวังตัวหลงคล้อยตามและยอมก้มลงไปดู แต่ทันใดนั้นเองในขณะที่ Undead นิรนามกำลังชะโงกหน้าออกไปเจ้าหมาลอบกัด Patches ก็บรรจงใช้บาทาถีบ!เข้าที่หลังของ Undead นิรนามอย่างสุดแรงจนเขาร่วงตกลงไปกระทบกับพื้นอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเหยื่ออยู่ในสภาพที่สู้ไม่ได้เจ้า Patches จึงได้เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองว่าเป็นพวกมิจฉาชีพที่จะคอยดักปล้นเหล่าผู้คนไม่ว่าจะเป็นนักบวช, ผู้หญิง, หรือว่าแม้แต่โจรด้วยกันเองมันก็เว้น โดยช่วงเวลาที่เจ้า Patches โปรดปรานมากที่สุดก็คือตอนที่ได้ปั่นหัวเหยื่อของมันให้สิ้นหวังก่อนที่จะตาย ( ภาพประกอบ : บาทาของเจ้า Patches ที่ได้ประทับลงบนหลังของ Undead นิรนามอย่างเต็มๆ ) ส่วนทางของ Undead นิรนามที่เสียทีร่วงตกลงมา เขาได้พยายามลุกขึ้นเดินและเดินโซสัดโซเสจนไปพบกับร่างของศพที่มีตะเกียง Skull Lantern อยู่ในมือ พระเอกของเราจึงถือวิสาสะหยิบเอามันมาใช้เสียเองเพราะเจ้าของคนเก่าไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว ( ภาพประกอบ : Skull Lantern เป็นของที่มักจะถูกใช้โดยพวก Necromancer และเป็นอีกเครื่องยืนยันว่าโครงกระดูกยักษ์ของ Nito จะเล่นงานทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ) Undead นิรนามได้ใช้เเสงสว่างจาก Skull Lantern ส่องไปรอบๆเพื่อหาทางออก แต่ก็เหมือนวาสนาดลบันดาลเพราะเขาไปพบกับ Rhea อีกครั้งหนึ่งเเต่นางอยู่ในสภาพที่ดูอิดโรยและกำลังสิ้นหวังเป็นอย่างมาก Undead นิรนามจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของนางพร้อมกับพูดปลอบโยนว่าทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อย Rhea เล่าว่าคณะเดินทางของนางได้ถูกเจ้า Patches หลอกปล้นสะดมเช่นกันและก็ถูกโยนทิ้งลงมายังข้างล่าง เเละพรรคพวกที่เหลือก็ต่างล้วนสิ้นหวังจนกลายเป็น Hollow กันไปหมดแล้ว ( ภาพประกอบ : Rhea ที่ตกลงมายังก้นเหวและเกือบจะต้องกลายเป็น Hollow ไปเสียแล้วแต่นางได้ถูก Undead นิรนามช่วยเอาไว้เสียก่อน ) เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็โมโหโกรธาเจ้า Patches สุดๆ(เเละระอายใจในการโกหก)จึงได้บอกให้เเม่นักบวชสาวรออยู่ตรงนี้ก่อนเดียวเขาจะจัดการทุกอย่างเอง จากนั้นพระเอกของเราก็ออกเดินทางต่อไปซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้สังหารสองผู้ติดตามของ Rhea ที่ได้กลายเป็น Hollow ไปแล้วจากนั้นก็ค้นพบบันไดทางขึ้นเเละเขาก็รีบเดินตรงปรี่กลับไปหาเจ้า Patches พร้อมกับกระโจนเข้าใส่ในทันทีจนเกิดการตะลุมบอลครั้งใหญ่ ทั้งคู่ต่างประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าเข้าใส่กันกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเเละนั่นก็ได้ไปสะกิดหูของเจ้าถิ่นในสุสานแห่งนี้เข้าจนได้... ( ภาพประกอบ : Vince และ Nico คือผู้ติดตามของนักบวชสาว Rhea ที่เดินทางร่วมกันมาตั้งแต่เมือง Thorolund แต่ทว่าพระนักรบอีกคนนามว่า Petrus กลับหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ) การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายได้ทำให้ข้าวของเเถวนั้นต่างกระเด็นกระดอนกระจัดกระจายกันไปทั่ว จนกระทั่งเจ้าโจรร้ายได้อาศัยจังหวะที่ Undead นิรนามล้มลงกับพื้นเข้ากระโดดขึ้นคร่อมเเละพยายามออกเเรงกดมีดสั่นเข้าไปที่กลางอกของ Undead นิรนามซึ่งก็กำลังพยายามสุดชีวิตที่จะดันมีดเล่มนั้นกลับออกไปให้ได้ ต่างฝ่ายต่างร้องตะโกนใส่กันราวสัตว์ป่าซึ่งเป็นการแสดงว่าวันนี้จะมีแค่คนๆเดียวที่รอดกลับออกไปได้... แต่อยู่ๆแรงกดในมือของเจ้า Patches ก็หยุดลงเพราะว่ามีง้าวสีดำเล่มใหญ่แทงทะลุอกของมันออกมา จากนั้นเจ้าโจรร้ายก็ถูกเหวี่ยงด้วยแรงอันมหาศาลจนลำตัวกระเด็นหลุดออกจากง้าวเเละไปกระเเทกกับดิน ( ภาพประกอบ : ภาพของเจ้าถิ่นเเห่ง Tomb of Giants ) เมื่อ Undead นิรนามตั้งสติได้เขาก็คว้าเอาตะเกียง Skull Lantern ที่ตกอยู่ใกล้ๆเขวี้ยงเข้าไปในความมืดซึ่งมันก็ได้เปิดเผยให้เห็นถึงชุดเกราะสีดำสนิทที่เมื่อเขาเห็นแค่แวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่ก็คือ Black Knight ซึ่งมาที่นี่ก็เพื่อป้องกันโล่แห่งความมืด Effigy Shield ซึ่งเคยเป็นอาวุธสำคัญของเหล่ากบฏทมิฬที่ได้รับจากเทพีแห่งบาป Velka เพื่อใช้ต่อต้านเหล่าทวยเทพแห่ง Anor Londo   ( ภาพประกอบ : ภายในเกมโล่ Effigy Shield เป็นโล่ที่มีพลังป้องกันธาตุไฟฟ้ามากที่สุดในเกม ) เจ้า Patches ที่กำลังบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดออกมาได้พยามพูดร้องขอชีวิตของจากเจ้าถิ่นตนนี้ทั้งการหยิบคำพูดและสำนวนช่างเจรจาต่างๆออกมาใช้ทั้งพยายามติดสินบนเเต่ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ Black Knight ยังคงเดินตรงมาที่มันซึ่งตอนนี้มีสภาพที่หวาดกลัวและสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับเหยื่อหลายๆคนที่ผ่านมาของมัน Undead นิรนามจึงได้อาศัยจังหวะนี้รีบวิ่งหนีกลับไปหา Rhea พร้อมๆกับเสียงร้องของเจ้าโจรร้ายที่ดังไล่หลังมาก่อนที่จะเงียบสนิทไป... พระเอกของเรารีบพยุง Rhea ขึ้นมาจากนั้นก็หัก Homeward Bone เพื่อให้ทั้งคู่หนีออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ได้เสียที!     เกมเดินหมากของเทพเจ้า          ในอดีตเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่และคำสาป Curse of Undead เพิ่งจะมีการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกได้มีข่าวอื้อฉาวลือสะพัดว่าพระชายาของ Gwyn เป็นผู้ให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฏทมิฬ โดยความผิดในครั้งนี้ก็ได้ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นเทพเจ้านอกรีตและถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองหลวง Anor Londo จนหมดสิ้น ซึ่งนามของพระนางก็คือ Velka เทพเจ้าแห่งความผิดบาป… ( ภาพประกอบ : เทวรูปของ Velka ที่ถูกประสมเข้ากับความเชื่อของ Way of White ซึ่งตั้งอยู่ใน Undead Burg ) แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ได้เสื่อมอำนาจลงหลังจากการตายของ Gwyn ก็มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่เลือกจะกลับมาบูชานางอย่างเช่นเมือง Undead Burg และ Carim เป็นต้น โดยปัจจุบันเทพเจ้า Velka ได้ผันตัวไปอยู่เบื้องมากขึ้นและยังมีส่วนช่วยในการค้นหา Undead ผู้ถูกเลือกตามคำนายเพราะว่าต้องการให้ Undead ผู้ถูกเลือกเข้าไปปลดปล่อยเหล่าสาวกอันซื่อสัตย์ของนางที่ยังถูกคุมขังอยู่ใน Painted World of Ariamis และส่วนหนึ่งก็เพราะว่า Velka ยังคงเป็นห่วงเป็นใยลูกของตน(Gwyndolin)ที่จำต้องสืบทอดตราบาปของ Gwyn ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในเมือง Anor Londo  ( ภาพประกอบ : วิธีเดียวที่จะเข้าไปยัง Painted World of Ariamis ได้นั้นก็คือต้องอาศัยตุ๊กตา Peculiar Doll เป็นกุญแจนำทางไปสู่โลกต่างมิติ...โลกที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นความหวังครั้งสุดท้ายของมวลมนุษย์  )          ย้อนกลับมาที่ Undead นิรนามซึ่งได้ช่วย Rhea ให้รอดพ้นออกมาจากสุสานใต้ดินได้สำเร็จ ทั้งสองตรงกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อพักผ่อนร่างกายหลังจากการตรากตรำอันแสนยาวนานในสุสาน แต่ทว่าดูเหมือนพระเอกของเราจะเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างให้แก่แม่นักบวชสาวคนนี้มากเป็นพิเศษและเฝ้าคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่างจนกระทั่ง Rhea ได้ผล็อยหลับไป Undead นิรนามจึงได้มีโอกาสเข้าไปพบปะกับผู้คนที่อาศัยอยู่ใน Firelink Shrine ซึ่งกำลังพูดคุยสุงสิงกันอยู่รอบ Bonfire ตามปกติ เขาได้เล่าถึงความยากลำบากต่างๆที่ได้พบเจอภายใน Catacomb ตลอดจนสิ่งแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางให้กับทุกคนฟัง ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์ในเรื่องเล่าของ Undead นิรนามเสียเท่าไรนั่นก็คือเจ้าหมาขี้แพ้ Chestful Warrior เจ้าเก่านั่นเอง ที่ได้รู้สึกคันปากจึงหาเรื่องพูดแทรกขึ้นมาว่ามีอยู่วันหนึ่งมันได้เห็นคนปีนขึ้นไปยังรังของอีกายักษ์ที่อยู่บนหลังคาของโบสถ์และถูกเจ้านกบินโฉบลอยหายขึ้นฟ้าไป...ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงที่ไม่ดีอยู่เเล้วของเจ้า Chestful Warrior ก็ได้ทำให้ทุกๆคนต่างเมินเฉยในเรื่องเล่าที่เเสนไร้สาระของมันไป ( ภาพประกอบ : รังของอีกายักษ์ใน Firelink Shrine ) เจ้า Chestful Warrior พยายามยืนยันว่าสิ่งที่มันพูดนั้นเป็นเรื่องจริงแต่ทุกคนๆก็ต่างได้พากันแยกย้ายกลับไปนอน...เเละในคืนนั้นขณะที่ Undead นิรนามกำลังหลับลึกเขาก็ได้ฝันเห็นภาพนิมิตเป็นวิหคยักษ์ตัวใหญ่สีดำที่กำลังบินเหินไปมาบนท้องฟ้า ขนสีดำของมันค่อยๆร่วงหล่นตกลงมาเยอะขึ้นและเยอะขึ้นเรื่อยๆ และ ณ ตรงสุดสายตาอันเเสนไกลก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดคลุ่มสีดำทั้งตัวซึ่งกำลังพูดกระซิบพึมพำไปมาด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจเเละที่เเปลกประหลาดไปยิ่งกว่านั้นก็คือ Undead นิรนามรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกเคลื่อนที่ให้เข้าไปใกล้กับหญิงสาวในชุดดำมากขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่ขาไม่ได้ขยับ พร้อมกับเสียงพูดอันแสนเย็นจะเยือกว่า “จงตาหาตุ๊กตา” จากนั้นนางก็ใช้นิ้วชี้ขึ้นไปบนฟ้าซึ่งเมื่อพระเอกของเราเงยหน้าตามขึ้นไปดูก็เห็นภาพของวิหคยักษ์สีดำที่กำลังบินโฉบพุ่งลงมาที่ตัวเขา! ด้วยความที่ตกใจ Undead นิรนามถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเขาพยายามตั้งสติและมองไปยัง Rhea ซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆเพื่อให้มั่นใจว่านางยังคงปลอดภัยดี ใบหน้าในยามหลับของ Rhea ได้ทำให้พระเอกของเรารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะถูกขัดด้วยเสียงร้องของเจ้าอีกายักษ์ที่กำลังจ้องมองมายัง Undead นิรนามด้วยตาที่ไม่กระพริบราวกับว่ามันรับรู้ถึงความฝันเมื่อครู่ของเขาก็ไม่ปาน… ( ภาพประกอบ : ภายในเกมเราสามารถใช้อาวุธระยะไกลเพื่อโจมตีอีกาให้หนีไปได้ แต่ก็จะทำให้เนื้อเรื่องเสริมบางส่วนถูกตัดออกไปด้วย )   คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด “สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ” โดยสำหรับตัวผมมันเป็นหนึ่งในบทที่เรียกได้ว่ายากสุดๆไปเลยเพราะต้องพบเจอปัญหาในการเรียบเรียงและเชื่อมโยงเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเล่าเกือบทั้งหมดจำเป็นจะต้องอิงข้อมูลจาก “Gameplay” ซึ่งไม่ใช่ข้อดิบๆที่เราจะเอามาเล่าได้ในทันที ซึ่งมักจะมีปัญหาในเรื่องของความสมเหตุสมผลอย่างเช่นการปรากฏตัวของ NPC ในบางสถานที่หรือเหตุจูงใจต่างๆของตัวละครที่จำเป็นต้องปูเพื่อนำทางเข้าสู่เนื้อหาสวนถัดๆไป ซึ่งท่านผู้ชมไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเนื้อหาหลักๆที่เกี่ยวข้องกับ Lore ของเกมจะยังคงถูกเก็บไว้เช่นดังเดิม เพียงแค่ผมใช้รูปแบบใหม่ๆในการเล่าเรื่องให้เหมาะสมมากขึ้น เอาเป็นว่าในบทต่อไป Undead นิรนามจะได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองที่เขามีต่อคำทำนายไปตลอดกาล และการเดินทางครั้งใหม่ที่จะนำเขาไปพบกับมฤตยูฤใต้ท่อน้ำของเมือง Undead Burg… ( ภาพประกอบ : ปีศาจกระหายเลือดเเห่งคุ้งน้ำใต้ดิน The Depths )  
22 May 2020
ที่เกมสไตล์ Souls ได้รับความนิยม เป็นเพราะว่า "เกมมันยากดี" แค่นั้นจริงๆ เหรอ?
Dark Souls คือชื่อของเกม Action RPG จากทาง From Software ที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2011 ด้วยความยาก แบบยากบัดซบทำให้ Dark Souls กลายเป็นชื่อที่เหล่าเกมเมอร์ผู้ชื่นชอบความท้าทายต้องรู้จักเกมนี้ทุกคน เกือบทศวรรษผ่านไป เกม Dark Souls ได้กลายเป็นเกมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกม จนถึงขนาดมีการระบุรูปแบบการเล่นของเกมว่า "เป็นเกมสไตล์ Souls (Souls-like game)" เลยทีเดียว ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีเกมมากมายเลยที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความยากมากๆ เหมือนกับ Dark Souls เพื่อดึงดูดเหล่าผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็น Bloodborne, Nioh, Sekiro, Deep Down, Code Vein หรือ Mortal Shell ที่เพิ่งเปิดตัวไป มันทำให้ผมเกิดคำถามว่า "แล้วทำไม เกมที่ยากมากๆ จนทำให้ใครหลายคนยังเล่นไม่สามารถเคลียร์ได้เลยสักครั้งแบบนี้ ถึงกลายเป็นเกมสไตล์ที่โด่งดังมากๆ ได้? แค่เพราะว่าเกมแนวนี้มันยากดี เท่านั้นเหรอ?" บทความนี้มันเกิดขึ้นจากการคิดเพื่อหาคำตอบคำถามข้างต้นอย่างเป็นเหตุเป็นผลของตัวผมเอง ซึ่งผมอยากนำคำตอบที่ผมได้มาแบ่งปันให้กับเพื่อนชาว GameFever Th ทุกคนครับ ก่อนจะไปพูดถึงปัจจัยต่างๆ ผมอยากจะนำเสนอความคิดเห็นของตัวเอง เกี่ยวกับการที่เกมหนึ่งเกมจะทำให้คนเล่นรู้สึก "สนุก" จนเกิดการบอกต่อ และทำให้เกมนั้นโดงดังได้เป็นผลลัพธ์ก่อน ถ้ามเกิดว่าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยครับ ความรู้สึกด้านบวกที่มีต่อเกม การที่คนเราจะเล่นเกมใดเกมหนึ่งได้นาน หรือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเล่นเกมนั้นจนจบได้ มันต้องเกิดจากความรู้สึก "ด้านบวก" ที่มีต่อเกมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก "อยากเอาชนะ" ,ความรู้สึก "สนุก", หรือความรู้สึก "ตื่นเต้น" ล่วนแล้วแต่ความรู้สึกด้านบวกทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงคิดว่าการที่ผู้เล่นหลายๆ คน จะบอกว่าเกม Dark Souls หรือเกม สไตล์ Souls มันสนุกได้ ตัวเกมเหล่านั้นมันต้องมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เหล่าผู้เล่นได้รับความรู้สึกด้านบวกต่างๆ ได้ โดยจากการที่ผมใช้เวลานั่งคิด รวมถึงหาคำตอบอยู่เป็นอาทิตย์ ผมได้คำตอบว่าปัจจัยที่ว่ามานั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่องหลักๆ ซึ่งจะขออธิบายต่อข้างล่างนี้ครับ ความอยากรู้ที่มีต่ออะไรบางอย่างในเกม (เนื้อเรื่อง, วิธีเอาชนะบอส, และอื่นๆ) ความอยากรู้อยากเห็นนับเป็นปัจจัยแรกๆ เลยที่จะทำให้เหล่าเกมเมอร์ตัดสินใจจะซื้อเกมต่างๆ ม่าเล่น ผมเชื่อว่าความรู้สึกแบบ "เกมมันดูน่าเล่นดีนะ ถ้าเล่นจะสนุกรึเปล่า?", "เนื้อเรื่องมันน่าสนใจดีอาจจะสนุกก็ได้?" ,"เกมเพลย์จะเป็นแบบไหน?" เป็นความรู้สึกแรกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นเกมบางอย่างที่มันน่าเล่นมากๆ แล้วยิ่งเป็นเกมที่มีคำรีวิว หรือคำการพรรณนาถึงความยากของเกมไปต่างๆ นานาแบบ Dark Souls ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของเหล่าเกมเมอร์ได้มากกว่าปกติซะอีก แน่นอนว่าเกมเพลย์มันยากจริงๆ สมคำร่ำลือ เมื่อคำร่ำลือเป็นจริง ก็จะยิ่งเกิดการบอกต่อ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงรวมไปจนถึงกระแสของเกมดังมากขึ้นเรื่อยตามไปด้วย ยังไม่ใช้แค่นั้น ด้วยความที่เกมมันยากมากๆ คงมีหลายคนที่เล่นเกมนี้ยังไงก็ไม่ผ่านสักที หรือกว่าจะสู้บอสชนะได้ 1 ตัวได้ ก็ต้องใช้เวลาเล่นไปแล้วไม่น้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง บางคนอาจเล่นยังไงก็เอาชนะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งจากที่ได้ไปลองถามความเห็นของคนที่รู้จักมามากมายว่า "ถ้าเกิดว่าต้องเล่นเกมที่ยากแบบนี้ แล้วไม่ผ่านสักที่จะทำยังไง?" และนำคำตอบมาวิเคราะห์ด้วยตนเอง ทำให้ผมสรุปผลลัพธ์ที่เป็นไปได้หลังจากนั้นออกมา 3 แบบครับ 1.) ยอมแพ้ที่จะเล่นเกมนี้ให้ผ่านด้วยตัวเอง แต่ด้วยความอยากรู้ว่าเกมนี้จะจบยังไง หรือช่วงท้ายๆ ของเกมจะยากขนาดไหน จึงได้เริ่มที่จะดูคนเก่งๆ เล่นเกมแนวนี้ผ่านทาง Youtube หรือ Media อื่นๆ 2.) เริ่มหาข้อมูลว่าจะผ่านจุดนี้ได้ยังไง จากนั้นเริ่มเอาวิธีเหล่านั้น ไปใช้เพื่อด้วยความ อยากรู้ ว่ามันจะได้ผลมากน้อยขนาดไหน 3.) เดินหน้าเล่นเข้าไปเรื่อยๆ เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง และเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง เพราะความอยากรู้เหมือนกันว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ จะสังเกตุได้ว่าผลลัพธ์แบบไหน ก็ล่วนแล้วแต่จะสร้างความ "อยากรู้" ทั้งสิ่น โดยเมื่อคนเราเริ่มสงสัยในอะไรบางอย่าง พอได้รู้ถึงตำตอบในสิ่งที่สงสัย มันมักจะทำให้เราเกิดความรู้สึกทางบวกครับ และยิ่งกับเกมที่มีความยากมากๆ แบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเล่น หรือคนดูจะตั้งคำถามในหัวตัวเองอย่างต่อเนื่อง "แบบนี้จะผ่านยังไง?" , "เอาชนะได้จริงๆ เหรอ?" , "แล้วเนื้อเรื่องจะจบยังไง?" , "จะมีตัวอะไรที่ยากกว่านี้รออยู่ข้างหน้ารึเปล่า?" คำถามเหล่านี้ทั้งหมดจะทำให้ จำเป็นต้องเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อหาคำตอบของคำถามเหล่านั้น รู้ตัวอีกที่ก็ดู หรือเล่นเกมนั้นจนจบซะแล้ว ซึ่งจะพบที่หลังว่า ตัวเองรู้สึกสนุกไปกับการหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นมากขนาดไหน พอเกมมันทำให้รู้สึกดี ก็จะเกิดการสรรเสริญ รวมถึงบอกต่อในเวลาต่อมาครับ ปริศนาร้อยแปดพันเก้าที่มักจะมีให้หาในเกมประเภทนี้ ปริศนาของเกมเป็นอีกหนึ่งจุดใหญๆ ของเกมแนวนี้ที่ทำให้เกิดความ "อยากรู้" เช่นกัน ทั้งยังเป็นสิ่งที่เพิ่มเวลาเล่นให้กับเหล่าเกมเมอร์ได้เป็นอย่างดี (ยิ่งกับคนที่ต้องจบแบบ 100% ถึงจะเลิกเล่น ยิ่งแล้วใหญ่) เกมสไตล์ Souls นั้นมักจะมาพร้อมกับความลับของเกม หรือไม่ก็ Side Quest จำนวนมาก โดยจากการที่ผมได้พูดคุย ถามตอบ คำถามเกี่ยวกับเกมสไตล์ Souls กับผู้เล่นหลายคน มันทำให้ผมสรุปได้ว่า ควรระบุเกมสไตล์ Souls ว่าเป็นเกมแนว "Modern Dungeon Crawler  Action RPG Game" ครับ ถ้ามอนย้อนกลับไปสักนิดเกมแนว Dungeon Crawler นั้นมักจะมาพร้อมกับปริศนาร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว ซึ่งปริศนาต่างๆ จะนำมาซึ่ง "อยากรู้" แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการค้นหา รวมไปจนถึงแรงที่อยากจะไขปริศนาต่างๆ ให้ได้อีกด้วย คงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกยินดีที่จะได้รับหลังจากสามารถไขปริศนาได้ ยิ่งเป็นปริศนาของเกมมี่มันยากด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกยินดีมากกว่าปกติด้วยซ้ำ ทั้งยังเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้เล่นเกิดความภาคภูมิใจมากๆ ด้วยครับ ปริศนาในเนื้อเรื่องเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ทั้งเหล่าผู้เล่น และ Youtuber ให้ความสนใจมากๆ ด้วยความที่เกมตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะถูกสร้างโดย From Software ทำให้สไตล์การเล่าเรื่องของเกมแนวนี้ส่วนใหญ่ จะไม่ได้ถูกเล่าแบบตรงไปตรงมาเช่นกัน หากแต่มักจะทิ่งปริศนา และคำอธิบายไว้ในไอเทมต่าง ให้ผู้เล่นไปมโนกันเอาเอง ซึ่งจุดนี้มองเผินๆ อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ ยุ่งยาก น่ารำคาญ แต่เชื่อเถอะครับว่า ขนาดตอนนี้เกมวางจำหน่ายมาหลายปีมากๆ แล้ว แต่ก็ยังมีผู้เล่นมากมาย ที่พยายามนำเสนอทฤษฎีเนื้อเรื่องของเกม Dark Souls ใน Youtube อยู่เลยครับ ทั้งหมดนี้จะทำให้เหล่าผู้เล่นเริ่มที่จะ โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ต่างๆ เพื่ออวด Achievement ที่ตัวเองสามารถเล่นจนได้รับมา หรือไม่ก็เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความลับต่างๆ ของเกม รวมไปจนถึงถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฎีของเนื้อเรื่องเกมกันด้วย เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็จะทำให้เกิด Community ของเกม ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของเวลา ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ Community ก็จะยิ่งเติบโต้มากขึ้นเท่านั้น ตัวเกม Dark Souls ก็มีอายุกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช้เรื่องแปลกเลยที่ Community ของเกมตอนนี้จะใหญ่มากๆ ทั้งหมดนี้มันทำให้ "ชื่อเสียงของเกม" ดังขึ้นไปด้วยนั้นเองครับ ความยากที่หาไม่ค่อยได้แล้วในเกมยุคปัจจุบัน เอาจริงๆ แค่ความอยากรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างเดียว มันไม่มีทางทำให้เกมดังขนาดนี้ได้อยู่แล้วครับ จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นเกิดความสนุกได้จริง แต่ความสนุกจากเรื่องเหล่านี้อย่างเดียวไม่มีทางทำให้เกมดังแน่นอน (อาจะสังเกตุได้ว่าจริงๆ โลกนี้มีเกมที่สนุกมากมาย แต่เกมที่สนุก และไม่เป็นที่รู้จักก็มีเยอะเช่นกัน) คำถามคือ "แล้วอะไร ที่ทำให้เกมแนวนี้ดังมากๆ ในช่วงหลังๆ มานี้? อะไรที่เกมสไตล์ Souls เท่านั้นที่มีในยุคนี้" คำตอบนั้นง่ายแสนง่าย "ความยาก" นั้นแหละครับ "ถ้าแค่ความยากกับสนุก มันทำให้เกมดังได้จริงๆ ทำไมเกมมันไม่ดังมาตั้งแต่ยุค Demon Souls แต่มาดังจริงๆ ในยุคของ Dark Souls 3 แทนละ?" ผมเดาว่าคงเป็นคำถามที่ผู้อ่านน่าจะคิดกันอยู่ตอนนี้ครับ แต่อย่าลืมว่าการเราจะบอกว่าเกมไหน "ยาก" มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้น "ยาก" ขนาดไหนด้วยเช่นกันครับ โดยในยุคของ Demon Souls มันเป็นเกมในช่วงปี 2009 ซึ่งในยุคนั้นเกมส่วนใหญ่ยังมีความ "ยาก" อยู่พอสมควรครับ แตกต่างกับยุคปัจจุบัน ที่หลายๆ เกมมีระบบใหม่ๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมมันง่านขึ้นเป็นอย่างมาก เช่นระบบ ขาดของกระสุน หรือยาเกมก็จะส่งมาให้ของ Resident Evil ยุคหลังๆ, ระบบ Auto Battle ของเกม NieR: Automata, หรือการนิยมสร้างเกมที่เล่นแบบ Co-Op ได้ เพื่อให้ผู้เล่นเข้ามาช่วยกัน ก็เป็นหนึ่งในระบบที่ทำให้การเล่นเกมมันง่ายขึ้นเช่นกัน ยังไม่นับเรืองที่ว่าบางเกมมีความยาวของเนื้อเรื่องที่น้อยมากๆ จนสามารถเล่นให้จบได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงอีกครับ แน่นอนว่าเกมส่วนใหญ่มันมาพร้อมกับโหมดความยากต่างๆ ให้เล่นด้วย ซึ่งโหมดที่มันยากสุดของทุกเกม มันก็คงยากมากๆ จริงครับ แต่การที่เกมยากเป็น Default กับเกมที่มีความยากเป็น Optional มันให้ความรู้สึกแตกต่างกันมาก ตอนที่เอาชนะได้ครับ เพราะถ้าหากผู้เล่นสามารถเลือกเพิ่มความยากของเกมด้วยตัวเองได้ นั้นจึงหมายความว่าพวกเขาก็สามารถลดความยากของเกมได้ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เกมสไตล์ Souls ไม่มีทางเลือกแบบนั้นให้กับผู้เล่นครับ ถ้าหากว่าสู้ไม่ผ่านก็มีแต่ต้องท้าทายซ้ำแล้วซ้ำอีก, เรียนรู้มากยิ่งขึ้น, ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะได้เท่านั้น ความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้หลังจากเคลียร์เกม ก็จะแตกต่างเช่นกันครับ ดังนั้นในความคิดของผม สิ่งที่หาไม่ค่อยได้แล้วในเกมยุคใหม่ๆ ก็คือ "ความยาก" หรือ "ความท้าทาย" ที่บังคับให้ผู้เล่นทุกคนต้องเจอเหมือนๆ กันครับ แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ในเกมสไตล์ Souls สิ่งเหล่านี้ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึก "ตื่นเต้น" ที่เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกด้านบวกด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้สามารถดึงดูดเหล่าผู้ที่แสวงหาความท้าทาย และผู้ที่ต้องการเป็นหนึ่ง ให้เข้ามาเล่นเกมแนวนี้ได้ อย่างตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดว่าเกมของยุคใหม่ๆ มันถูกทำออกมาให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้ง ก็ง่ายเกินไป แน่นอนว่าเมื่อเกมสามารถดึงดูดผู้เล่นได้เยอะ ชื่อเสียงของเกม ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน สรุป โดยจากที่ผมได้วิเคราะห์แบบจริงจัง รวมไปจนถึงการถามความเห็นกับเหล่าผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ ทำให้สรุปได้ว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของเกมแนวนี้เลยคือ "ความยาก" อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าเกมมันยากมากๆ นี่แหละ มันเลยทำให้เหล่าผู้เล่นที่สามารถพิชิตเกมนี้ได้เกิดความรู้ที่ดีมากๆ ตามไปด้วย และด้วยความที่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีก จึงทำให้เกิดการตามหาเกมที่เหมือนๆ กันมาเล่น จากนั้นจะเป็นไปตามกลไกตลาดครับ เมื่อมีผู้ที่ต้องการจะเล่นเกมแนวนี้ ก็จะมีผู้ที่ต้องการจะสร้างเกมแนวนี้ออกมาขายเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปความนิยมของเกมแนวนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เราได้เห็นเกมสไตล์ Souls มากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่ถ้าแค่ทำเกมออกมาให้ยากๆ เข้าไว้อย่างเดียวมันทำให้เกมขายได้จริง งั้นบริษัทเกมทั้งโลกคงทำเกมยากๆ ออกมาขายกันเต็มไปหมดแล้วครับ อาจสังเกตุได้ว่า จริงๆ ตอนนี้มันมีเกมสไตล์ Souls อยู่เต็มตลาดเลยครับ แต่เกมที่ดังจริงๆ มันมีไม่กี่เกมเท่านั้น "แล้วทำไมเกมเหล่านั้นถึงไม่เป็นที่รู้จักหละ?" คำตอบมันง่ายๆ เลยครับ "เพราะเกมเหล่านั้นมันไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ทำให้ตัวเองเป็น เกมสไตล์ Soul ที่ดี" ดังนั้นผมจะขอสรุปว่า เกมสไตล์ Soul ดังขึ้นมาได้ เพราะว่า เกมมันยาก อย่างไม่ต้องสงสัย แต่การที่แต่ละเกม จะดังจนเป็นที่รู้จักได้ มันจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มากกว่าแค่ ความยาก ของเกมครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
24 Apr 2020
ให้เกมพาไป : เราต้อง ‘เข้าใจ’ เนื้อเรื่องเกมหรือไม่จึงจะสนุก?
เมื่อประมาณสิบเก้าปีที่แล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์สยองขวัญญี่ปุ่นเรื่อง ‘ไคโร ผีอินเตอร์เน็ท’ ของ คิโยชิ คุโรซาวะ (ผู้กำกับ Tokyo Sonata) มันเป็นประสบการณ์ที่ติดตรึงจมลืมแทบไม่ลง ด้วยความหลอนที่ส่งผ่านออกมาในตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง เป็นความน่ากลัวจากองค์ประกอบทั้งภาพและการลำดับเนื้อหา แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อกลั่นกรอง ‘สาร’ ที่ตัวหนังต้องการจะสื่อออกมา แลกมากับการข่มตานอนหลับไม่ลงไปถึงหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ (ซึ่งภาพยนตร์ของผู้กำกับท่านนี้ก็มีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ ผู้เขียนขอแนะนำ) ย้อนกลับมาที่แวดวงวิดีโอเกม หลากหลายชิ้นงานในช่วงระยะเวลานับสิบปี ก็มีวิวัฒนาการจากการโดดเด้งของจุดพิกเซลบนหน้าจอ สู่ความสมจริงของภาพ เสียง ไปจนถึง ‘เนื้อหา’ ซึ่งแน่นอนว่า ได้ใช้เทคนิคของภาพยนตร์เข้ามาเป็นส่วนประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความลุ่มลึก และนำเสนอออกมาได้อย่างคมคายน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ในความลุ่มลึกที่ว่านี้ มันก็ตามมาด้วยคำถามหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนั่นคือ… เราจำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ เนื้อเรื่องของเกมหรือไม่ ถึงจะสามารถสัมผัสความสนุกของชิ้นงานเกมหนึ่งๆ ได้? นี่เป็นคำถามที่เริ่มจะได้รับการขับขานขึ้นมามากขึ้นทุกขณะ ผ่านชิ้นงานที่เริ่มจะซ่อน ‘สาร’ บางอย่างที่ไม่สามารถบ่งบอกหรือทำความเข้าใจได้ตั้งแต่แรกเริ่มของการเล่น ไม่ว่าจะเป็นผลงานเกมแอ็คชันอย่าง Control ของค่าย Remedy Entertainment ไปจนถึง Death Stranding ของฮิเดโอะ โคจิมะ ที่เนื้อหา ไม่ได้ถูกบอกกล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนประกอบปลีกย่อยที่ผู้เล่นจะต้องทำการปะติดปะต่อด้วยตนเองไปจนถึงปลายทาง สำหรับผู้เขียนแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อน ค่อนข้างที่จะซีเรียสกับการให้ความสำคัญทางด้านเนื้อเรื่องอยู่ไม่น้อย แน่ล่ะ เรื่องราวต่างๆ มันคือการสรรสร้างจากผู้พัฒนา การที่จะเดินดุ่มเล่นเกมอย่างบอดใบ้ Skip เนื้อหาอย่างไม่สนใจ ก็ออกจะเป็นการไม่เคารพต่อความพยายามของทีมเขียนบทจนเกินงามไปสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป และได้สัมผัสชิ้นงานสายบันเทิงอื่นๆ เพิ่มเติม มุมมองของผู้เขียนที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘เนื้อหา’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชิ้นงานวิดีโอเกม ก็เปลี่ยนไป และพบว่า บางที เราอาจจะไม่จำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ มันทั้งหมด เพื่อสัมผัสรับกับความสนุกที่ชิ้นงานนั้นๆ มีให้ก็เป็นได้ เพื่ออธิบายแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง ผู้เขียนขออนุญาตทำการสังเคราะห์องค์ประกอบของการนำเสนอชิ้นงานออกเป็นสองส่วนหลักสำคัญด้วยกัน นั่นคือ ‘เนื้อหา (Content)’ และ ‘บริบท (Context)’ สำหรับเนื้อหาหรือ Content นั้น ก็คือรูปแบบการเล่น การนำเสนอด้านกราฟิก เสียง และงานศิลป์ต่างๆ ที่ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับมันได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมแนวแอ็คชัน เกมสวมบทบาท หรือเกมผจญภัย เป็นองค์ประกอบที่สามารถควบคุมได้ และเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่ก่อให้เกิดเป็นชิ้นงานเกมขึ้นมา ส่วนในด้านของ Context หรือบริบทนั้น คือ ‘สาร’ ที่ชิ้นงานนั้นๆ ต้องการจะสื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน องค์ประกอบด้าน Lore หรือพื้นหลัง ไปจนถึง Message ที่สะท้อนมุมมองที่ผู้เขียนบทต้องการจะสื่อและล้อไปกับเรื่องราวของโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม มา ณ จุดนี้ ดังที่กล่าวไปก่อนข้างต้น ผู้เขียนเคยให้ความสำคัญกับ Context มากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า ทั้ง Content และ Context ต่างก็เป็นสองด้านของหนึ่งเหรียญที่รับใช้ซึ่งกันและกัน ไม่สามารถขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้ ซึ่งในชิ้นงานที่มีคุณภาพ จะไต่เส้นของความสมดุลที่พอดีไม่มีสิ่งใดขาดหรือเกิน กล่าวคือ การนำเสนอด้านภาพ เสียง เกมการเล่น ที่เป็น Content ที่ดี จะเป็นตัวดึงดูดให้คนเล่นสนใจในบริบทหรือ Context ที่มีอยู่ในพื้นหลัง หรือกลับกัน บางชิ้นงาน นำเสนอ Context ที่น่าสนใจ เพื่อจูงมือผู้เล่นให้สามารถทำความเข้าใจในความเป็นไปของ Content ที่ตัวเกมต้องการจะนำเสนอ ตัวอย่างของชิ้นงานเกมที่มีส่วนประกอบของ Content และ Context ที่พอดีที่ผู้เขียนพอจะนึกออกได้ในขณะที่เขียนงานชิ้นนี้ ก็คือซีรีส์ Dark Souls , Bloodborne และ Sekiro : Shadows die twice ของ From Software ที่เข้มข้นด้วยการเล่นสุดท้าทายเป็น Content และซุกซ่อน Context ที่บอกใบ้ความเป็นไปของโลกของเกมไปในตลอดระยะทาง (ซึ่งเปิดกว้างมากพอสำหรับการตีความ เช่นเดียวกับบทความในเว็บไซต์ Gamefever ที่ดำเนินมาถึงตอนที่เก้าที่คุณสามารถเปิดดูได้จาก ที่นี่) หรือเกมอย่าง Persona 5 ที่ขับเคลื่อนด้วย Context เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสังคมของคนรุ่นใหม่ ที่ดัดแปลงและนำเสนอออกมาเป็น Content การเล่นอันหลากหลายมากมายด้วยสีสันตลอดระยะเวลาการเล่นหลายร้อยชั่วโมงก็ตาม กลับกัน แม้ว่าเกมอย่าง Doom และ Doom Eternal จะมีความพยายามของผู้พัฒนาที่ใส่บริบทของเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่คุณก็สามารถสนุกกับบั่นกบาลกองทัพปิศาจได้แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ตาม หรือเกมอย่าง Death Stranding ที่แม้จะมีเกมเพลย์ที่ค่อนข้างจะซ้ำไปซ้ำมา แต่คุณอาจจะเพลิดเพลินกับโลกเบื้องหลังและเนื้อหาที่ถูกนำเสนอ ที่ทำให้มองข้ามข้อจุกจิกต่างๆ ไป (และเช่นเดียวกัน คุณสามารถอ่านบทวิเคราะห์เรื่องราวของเกมนี้ได้จาก ที่นี่) ท้ายที่สุดนี้ เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชิ้นงานวิดีโอเกม ได้รับการวิวัฒน์พัฒนาให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับสื่อบันเทิงชนิดอื่นๆ และมีเทคโนโลยีในการนำเสนอที่มากพอที่จะรองรับได้ทั้ง Context และ Content อย่างเท่าเทียมกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณต้องรู้สึก ‘สนุก’ ไปกับมัน ซึ่งนั่น คือปลายทางที่สำคัญที่สุดของการสร้างสรรค์ชิ้นงานวิดีโอเกม เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนเคยได้รับการแนะนำจากอาจารย์สาขาภาพยนตร์วิจารณ์สมัยเรียนมหาวิทยาลัย (หลายปีหลังจากรับชมภาพยนตร์ผีสยองของคิโยชิ คุโรซาวะ) ที่จำได้ไม่เคยลืมว่า เราอาจจะต้องยอม ‘ศิโรราบ’ ให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เลิกตั้งธงเอาไว้ในใจ และให้ ‘หนังมันพาไป’ สู่จุดหมาย บางที …. ชิ้นงานวิดีโอเกมก็อาจจะไม่แตกต่างกัน ให้ ‘เกมพาไป’ พาไปสู่จุดหมาย พาไปสู่ปลายทาง นั่นคือความสนุกที่คุณจะได้รับจากการเล่นชิ้นงานหนึ่งๆ ไม่ว่าพาหนะของการไปถึงจุดหมายนั้นจะเป็น ‘บริบท’ หรือ ‘เนื้อหา’ ของเกมนั้นๆ ก็ตาม…
17 Mar 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 9 ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้าโดยในบทนี้จะเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อจากการที่ Undead นิรนามของเราได้มีชัยเหนือเจ้าสัตว์ประหลาด Gargoyle และสามารถลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบแรกได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นเหมือนสัญญาณไฟที่บอกว่าผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวออกมาเเล้ว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ทุกท่านก็สามารถติดตามได้ใน  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้า “ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น” ( ภาพประกอบ : การลั่นระฆังที่ Undead Burg เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด   เจ้าหญิงแห่งแคว้นสีทอง หลังจากที่ Undead นิรนามได้ลั่นระฆัง Bell of Awakening เเละกำลังจะเดินทางออกมาจากโบสถ์ เขาก็บังเอิญได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงเหล็กกระทบกัน เเละเมื่อออกตามหาที่มาก็ได้พบว่ามันเป็นเสียงที่เกิดจากการตีเหล็กของชายชราคนหนึ่งที่รูปร่างบึกบึนกำยำและมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อย ชายแก่คนนั้นได้แนะนำชื่อตัวเองว่าเขาชื่อ “Andre” ซึ่งเป็นช่างตีอาวุธจากอาณาจักร Astora อันเเสนห่างไกล  ( ภาพประกอบ : Concept Art ของตาเฒ่า Andre... น่ากลัว!. ) หลังจากเเนะนำตัวเสร็จตาเฒ่า Andre ก็ได้เหลือบไปเห็นอาวุธของ Undead นิรนามที่มองเเค่เเวบเดียวก็รู้ทันทีว่ามันผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง เขาจึงเเทรงพูดเชิงดูถูกดูแคลนว่าอาวุธเเบบนี้จะเอาไปสู้รบปรมมือกับใครได้ เเม้ว่าผิวเหล็กภายนอกจะดูเงาวับเเต่ภายในนั้นคงเเตกร้าวราวกับกิ่งไม้เก่าๆที่เเค่โดนลมเเรงก็หักจากลงต้นไม้...แต่ถ้าหากว่า Undead นิรนามมีความมุ่งหมั่นที่จะเป็นผู้ถูกเลือกของเหล่าทวยเทพอย่างเเรงกล้าละก็ ภายในป่า Darkroot Garden ที่อยู่ใกล้ๆได้มีตำนานเล่าขานถึงสิ่งของล้ำค่าบางอย่างที่สามารถใช้ตีอาวุธที่เเข็งเเกร่งได้...ซึ่งถ้าหากว่าพระเอกของเราไปเอามันมาได้บางทีตัวเขาก็อาจจะช่วยสร้างอาวุธใหม่ๆให้กับ Undead นิรนามก็เป็นได้ (สรุปง่ายๆก็คือตาเฒ่า Andre ใช้ให้เราไปหาของที่อยากได้มาให้) ( ภาพประกอบ : ป่า Darkroot Garden ว่ากันว่าเป็นป่าลับเเล ซึ่งใครก็ตามที่เดินทางเข้าไปก็ยากนักที่จะหาทางกลับออกมาเเบบมีชีวิต )  เมื่อได้ฟังเช่นนั้นด้วยความมีน้ำใจของ Undead นิรนามเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเขาจึงได้ตกปากรับคำไปทันทีเเละได้ออกสำรวจพื้นที่รอบๆเพื่อรวบรวมเสบียงอาหารเเละอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น จนได้ไปพบกับนักรบอ้วนคนหนึ่งที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ตรงหน้าประตูของป้อมปราการ Sen’s Fortress ซึ่งเป็นทางเข้าเดียวที่จะนำไปสู่เมืองหลวง Anor Londo เเต่ในตอนนี้มันปิดอยู่ นักรบคนนั้นได้บอกว่าตนชื่อ Siegmeyer และเขาก็จะหลับอยู่ที่นี้จนกว่าประตูของป้อมปราการแห่งนี้จะถูกเปิดออก...เเต่ไม่ทันที่จะพูดจบประโยคเขาก็ได้ผล็อยหลับไปอีกครั้งเเละปล่อยให้ Undead นิรนามยืนมองด้วยท่าทีที่ฉงนเพราะตั้งเเต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครที่หลับง่ายเเบบนี้มาก่อน ( ภาพประกอบ : Siegmeyer เป็นชายวัยกลางคนที่เป็นมิตร เเต่เขามักจะหลับระหว่างการสนทนาอยู่เสมอ ) ( ภาพประกอบ : ภาพระยะไกลของป้อมปราการ Sens Fortress โดยประตูใหญ่ของป้อมปราการนี้จะเปิดขึ้นก็ต่อเมื่อ Bells of Awakening ทั้งสองใบที่ลั่นตามคำทำนายหรือเฉพาะในกรณีสำหรับเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo เท่านั้น ) หลังจากที่กักตุนสิ่งของจนหนำใจเเล้ว Undead นิรนามก็ได้มุ่งหน้าไปยังป่า Darkroot Garden ทันทีเเละได้พบกับรูปปั้นอสูร Titanite Demon ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าป่าโดยมันมีอีกชื่อว่า Prowling Demon  ร่างกายของมันจะเเลดูคล้ายคลึงกับมนุษย์เเต่ตัวใหญ่กว่ามาก อีกทั้งยังไม่มีขาซ้ายเเละหัวขาดอีกทั้งยังมีหางโพล่ออกมาจากด้านหลังที่มองดูเเล้วก็ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก เเต่ถึงเเม้จะดูพิกลพิการก็ตามตัวมันก็มีพละกำลังมหาศาลเเถมยังสามารถใช้พลังสายฟ้าโจมตีจากระยะไกลได้อีกด้วย ( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Titanite Demon ทำมาจากแร่เหล็ก Titanite ที่เเข็งเเกร่งพอๆกับผิวหนังของมังกรนิรันดร์ ) ห่างจะกล่าวถึงจุดกำเนิดของ Titanite Demon เห็นทีก็คงจะต้องพูกถึงเทพเจ้าเเห่งงานโลหะที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตอันเเสนไกลตั้งเเต่สมัยก่อนสงครามมังกร เเละยังเคยทำหน้าที่เป็นช่างตีเหล็กให้เเก่กองทัพของเทพเจ้า Gwyn โดยผลงานของเขาทุกชิ้นก็ล้วนเเต่มีชื่อเเละทรงอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกอาวุธประจำตัวต่างๆของเทพเจ้า(ในเกม Dark Soul ภาคเเรก) ตลอดจนอาวุธของเหล่าขุนพลทหารกล้าก็ล้วนเเต่ถูกสร้างเเละคิดค้นมาจากจากเทพเจ้าองค์นี้...เเต่เป็นที่น่าเสียดายที่ตัวเขามีอายุสั้นเเละเสียชีวิตลงหลังจากที่สงครามมังกรได้จบลงไม่นาน ซึ่งถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่คอยทำหน้าที่ปิดทองหลังพระให้กับกองทัพของ Gwyn โดยหนึ่งในผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาก็คือเจ้าพวก Titanite Demon นี่เเหละ ซึ่งเขาได้มอบมันให้แก่ Gwyn และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้ใช้งาน ( ภาพประกอบ : Titanite Slab เป็นเเผ่นเเร่ Titanite ขนาดใหญ่ที่ถูกคิดค้นโดยเทพเจ้าเเห่งช่างโลหะอันเป็นวัสดุสำคัญในการสร้างอาวุธที่ทรงพลัง ) การต่อสู้ระหว่าง Undead นิรนามกับ Titanite Demon ไม่ได้กินเวลายืดเยื้อยาวนานอย่างที่หลายๆคนคิดเพราะว่าพระเอกของเราดันฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าในเมื่อเจ้ารูปปั้นตัวนี้มันไม่มีขาและเคลื่อนที่ช้าอย่างกับเต่าแล้วเราจะไปเสียเวลาต่อสู้กับมันทำไมละ! เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ได้ใช้ความชำนานในการกลิ้งหลบเเละหนีเข้าป่า Darkroot Garden ไปได้อย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วย แต่หลังจากที่เดินทางลึกเข้าไปในป่าได้สักพัก Undead นิรนามก็ได้พบกับทางแยกสองทางซึ่งทางด้านซ้ายดูเหมือนว่าจะนำเขาเดินลึกเข้าไปในป่า ส่วนอีกทางที่เป็นด้านขวาก็ดูเหมือนจะนำเขาเดินเลาะลงไปยังตีนเขาเบื่องล่างซึ่งพระเอกของเราได้ตัดสินใจที่จะลองไปทางด้านขวาดูก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเส้นทางนี้จะนำเขาเข้าไปยังพื้นที่การทดลองของเจ้ามังกรไร้เกล็ด  Seath  ( ภาพประกอบ : Darkroot Garden เป็นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายมากมาย ) เมื่อเดินลงมาถึงยังตีนเขา Undead นิรนามก็ได้สังเกตว่าตรงปลายสุดของป่าดูเหมือนว่าจะมีตาน้ำขนาดใหญ่พุดออกมาอยู่ด้วย ซึ่งสำหรับเขาเเล้วการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามเเบบนี้มันก็เป็นเหมือนการผ่อนคลายสายตาหลังจากที่เห็นเเต่ภาพของซากศพเเละเมืองร้างใน Undead Burg ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะหลับตาลงสนิทฉับพลันก็ได้มีตัวประหลาดซึ่งมีร่างกายเป็นผลึก Crystal ออกมาจู่โจมเขาเสียก่อน ปีศาจผลึก Crystal พวกนี้คืออีกหนึ่งในผลงานการทดลองของ Seath ในยามว่างด้วยการหลอมเอาพลังเวทย์ Sorcery ให้ตกผลึกจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ( ภาพประกอบ : ปีศาจ Crystal ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของพลังเวทย์บริสุทธิ์ ) หลังจากที่เห็นว่าปีศาจ Crystal มีท่าทางที่ไม่เป็นมิตร Undead นิรนามก็ได้ชักดาบออกมาเเละตั้งท่าพร้อมจะต่อสู้...เเต่ไม่ทันไรอยู่ๆก็มีเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงของลูกศรธนูขนาดใหญ่ จนเมื่อหันหน้าไปดูก็ได้พบว่ามันก็คือกระสุนน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งตรงมาทางเขา พลังอัดกระแทกของมันได้ทำให้พื้นดินแตกกระจายจนแม้แต่ร่างของปีศาจ Crystal เองก็ยังโดนลูกหลงเเตกสลายตามไปด้วย ( ภาพประกอบ : ภายในป่า Darkroot Garden มันเป็นเรื่องง่ายมากๆที่เราจะถูกสัตว์ร้ายมากว่าสองชนิดเข้าจู่โจมพร้อมๆกัน )  เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี Undead นิรนามก็รีบวิ่งเข้าไปหลบยังหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมาดูช้าๆเเละก็พบว่าเจ้าสิ่งที่ยิงกระสุนน้ำมาก็คืองูขนาดใหญ่ที่มีเจ็ดหัว โดยเหล่าผู้คนที่เคยพบเห็นมันต่างก็เรียกมันว่ามังกรน้ำ Hydra ซึ่งเป็นสิ่งชีวิตในวงศ์ตระกูลของมังกรเเต่ได้วิวัฒนาการลงไปอาศัยอยู่ใต้น้ำเพื่อหลบหนีการตามล่าในยุคที่มังกรไม่ได้เป็นใหญ่อีกเเล้ว ( ภาพประกอบ : Hydra มีหัวเจ็ดหัวเเต่ก็ใช้ร่างกายรวมกัน อีกทั้งส่วนลำตัวของมันก็ยังได้ซ่อนไพ่ตายเอาไว้อีกหนึ่งอย่าง... ) การพ่นกระสุนน้ำของเจ้า  Hydra เเม้ว่าจะมีพลังทำลายที่รุนเเรงเเต่ก็ต้องเเลกมาด้วยการที่มันจะต้องคอยสูบน้ำเข้ามาในตัวก่อนเสมอ ดังนั้น Undead นิรนามจึงได้อาศัยจังหวะดังกล่าววิ่งเข้าไปประชิดตัวมันจึงได้หันมาใช้หัวทั้งเจ็ดฟาดไปมารอบๆตัวเเบบไร้ทิศทางเพื่อหวังจะกลืนกินเจ้ามนุษย์ให้ได้ภายในครั้งเดียว เเต่กลับเป็นพระเอกของเราที่สามารถตัดหัวของมันได้ทีละหัวๆจนหมดเเต่ก็ทำให้เขาเองต้องซดยารักษา Estus Flask จนหมดขวดกันเลยทีเดียว ( ภาพประกอบ : การสังหาร Hydra นั้นมีหลายวิธี โดยวิธีที่ยากที่สุดก็คือการเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดแบบที่ Undead นิรนามของเราทำเนี่ยแหละ -.- ) เมื่อเจ้ามังกรน้ำสิ้นฤทธิ์ลงร่างของมันก็ค่อยๆจมลงสู่ก้นของตาน้ำที่มืดมิดซึ่งมีปลายทางไปเชื่อมต่อกับมหาสมุทรที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก... เเต่ทว่าหนึ่งในบรรดาหัวที่ถูกตัดออกกลับมีวัตถุเเวววาวบางอย่างอยู่ภายในปาก Undead นิรนามจึงลองสอดมือล่วงเข้าไปดูเเละก็พบว่ามันคือแหวนวงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า Dusk Crown Ring ซึ่งเป็นแหวนประจำตัวของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร Oolacile ที่เเตกดับไปเเล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งปัจจุบันนามของนคร Oolacile ก็แทบจะไม่มีใครรู้จักหรือจดจำมันได้อีกแล้ว จะมีก็แต่เพียงผู้คนที่ศึกษาตำนานของอัศวินหมาป่า Artorias เท่านั้นที่พอจะได้ยินชื่อนี้มาเเบบผ่านๆ ( ภาพประกอบ : แหวน Dusk Crown Ring เป็นแหวนที่แสดงฐานันดรของกุลสตรี Dusk ) เมื่อ Undead นิรนามหยิบแหวนวงนี้ขึ้นมาดู เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างพลังที่แม้แต่คนซึ่งไม่ประสีประสาในเวทมนตร์อย่างเขาก็ยังรู้สึกได้ และดูเหมือนว่ามันกำลังชักจูงให้เขาเดินเข้าไปยังซอกเล็กๆของภูเขาที่อยู่ไม่ไกลนักจนได้พบเข้ากับปีศาจ Crystal  ตัวหนึ่งซึ่งมีสีทองเเตกต่างจากตัวอื่น และเมื่อยิ่งดูดีๆเเล้วก็ได้พบว่าภายในร่างกายของมันมีสตรีนางหนึ่งสลบไสลอยู่ภายใน Undead นิรนามรีบจัดการเจ้าปีศาจสีทองและช่วยสตรีนางนั้นออกมา เมื่อเธอฟื้นคืนสตินางก็ได้แนะนำตนเองว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งนครลับแล Oolacile นามว่า Dusk   ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของเจ้าปีศาจ Crystal สีทองที่ห่อหุ้มกุลสตรี Dusk เอาไว้ข้างใน ) ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Dusk ผู้เหลือรอดคนสุดท้ายแห่งนคร Oolacile  ) กุลสตรี Dusk ได้พูดจากับพระเอกของเราด้วยท่าทีที่นิ่มนวลเเละอ่อนโยนราวกับว่าเป็นผีเสื้อที่กำลังผสมเกสรของดอกไม้ เล่นซะจนพระเอกของเราเคลิมเเละมีท่าทีเคอะเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่านางกลับไม่ยอมบอกว่าตนเองเข้าไปอยู่ในตัวของเจ้าปีศาจ Crystal สีทองได้อย่างไรแต่กลับเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยถึงเรื่องเวทมนตร์แห่งนคร Oolacile เเละเสนอตัวว่าจะช่วยพระเอกของเรา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเวทมนตร์ที่ Undead นิรนามต้องการมากที่สุดอย่างเวทมนตร์ซ่อมแซมสิ่งของ แต่เนื่องด้วยในตอนนี้สติปัญญาของเขายังคงด้อยเกินว่าจะเข้าใจเวทมนตร์ได้ Undead นิรนามจึงจำต้องบอกปัดไปด้วยความเสียดาย (ค่า Intelligence ไม่พอ) แต่เเม้กุลสตรี Dusk จะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนั้นนางก็ยังบอกไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อ Undead นิรนามพร้อมเมื่อไรเขาก็สามารถกลับมาเธอที่ตาน้ำแห่งนี้เสมอ เพราะเธอรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างเราทั้งสองราวกับว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน ( ภาพประกอบ : กุลสตรี Dusk จะรอคอยเราอยู่ที่ตาน้ำแห่งนี้เสมอจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ... )   ผีเสื้อแห่งแดนสนธยา กับเถ่าถ่านเเห่งเเสง  หลังจากที่ช่วยกุลสตรี Dusk ออกมาได้พระเอกของเราก็เริ่มออกสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดซึ่งก็พบว่ามีเเต่ทางที่ไปต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประตูของหอคอยประหลาดที่ถูกล็อคอย่างเเน่นหน่าเเต่ภายในกลับมีเสียงของคนบ่นพึมพํา หรือจะเป็นถ้ำเเคบๆซึ่งมี Black Knight ยืนทำหน้าไม่รับแขกอยู่บริเวณปากถ้ำ ด้วยสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้ Undead นิรนามเริ่มความคิดว่าตนเองนั่นมาผิดทาง เขาจึงรีบวิ่งกลับไปยังทางแยกก่อนหน้านี้และมุ่งไปยังอีกทางที่ตอนเเรกไม่ได้ไป ซึ่งระหว่างเดินทางเขาก็ได้พบเข้ากับประตูหินบานยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทางโดยดูเหมือนว่ามันจะถูกลงผนึกเวทมนต์ปิดกั้นเอาไว้ ประตูหินบานนี้เป็นทางเข้าไปสู่สุสานของวีระบุรุษท่านหนึ่งซึ่งพระเอกของเราจะได้พบกับเขาในภายหลัง...เเต่ในเมื่อตอนนี้มันยังเปิดไม่ได้ Undead นิรนามก็เลิกสนใจเเละเดินหน้าต่อไปทันที ( ภาพประกอบ : ประตูหินบานนี้จำเป็นจำเป็นจะต้องเปิดโดยกุญแจที่มีชื่อว่า Crest of Artorias เท่านั้นซึ่งภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายมากมาย เเต่น่าเเปลกเพราะเเม้ว่าจะอันตรายเเค่ไหนก็ยังคงมีผู้คนมากมายเลือกที่จะเดินเข้าไปหาความตายด้วยตัวเอง... ) ความเร่งรีบในการตามหาสิ่งของให้เเก่ตาเฒ่า Andre ได้ทำให้ Undead นิรนามเสียสมาธิเเละความสุขุมรอบขอบไป จนไม่ทันได้เอะใจเลยว่าเมื่อยิ่งเขาเดินทางลึกเข้าไปในป่ามากเท่าใดก็เหมือนจะวิ่งวนซ้ำกลับมาที่เดิมตลอด เเละพอเริ่มรู้ตัวว่าหลงทางพระเอกของเราจึงได้ใช้ดาบทำสัญลักษณ์ตามต้นไม้ริมทาง แต่ทว่ากลับมีอยู่ต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งส่งเสียงร้องเมื่อลำต้นของมันถูกเฉื่อนทำให้ความจริงปรากฏว่าป่าเเห่งนี้ได้ถูกวิญญาณเเห่งพงไพรเข้าสิงอยู่ ซึ่งผีป่าพวกนี้จะคอยหาวิธีหลอกล่อเพื่อทำให้คนที่เข้ามาในป่า Darkroot Garden หลงทางเเละกลับออกไปไม่ได้  ( ภาพประกอบ : ต้นไม้ผีสิงหรือ Possessed Tree จะคอยทำให้ผู้คนที่หลงเข้าไปใน Darkroot Garden ติดอยู่ในป่า ) Undead นิรนามตกใจ! เเละเเทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเพราะถึงเเม้จะชินชากับซากศพมากมายเเต่พอเป็นวิญญาณหรือผีร้ายมันก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเขากลัวมันสุดๆ...เเต่ฉับพลันอยู่ดีๆรอบตัวเขาก็ได้มีเหล่าอัศวินตัวโตจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ตั้งเเต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ซึ่งอัศวินพวกนี้ได้ถูกเรียกขานว่า Great Stone Knight หรือนักรบหินผาที่เป็นหนึ่งในมรดกตกทางมนต์ตราจากนคร Oolacile ที่ Seath เอามันมาประยุกต์ใช้ในการทดลองของตนเอง ( ภาพประกอบ : Great Stone Knight มีเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยดินและตะไคร่เพื่อสร้างความกลมกลืนให้เข้ากับป่า ) Undead นิรนามเห็นดังนั้นจึงพยายามรวบรวมสติ...เเต่ไม่ทันเสียเเล้วเพราะดูเหมือนว่าขาของเขาจะถูกเวทมนตร์ตรึงเอาไว้จนก้าวไม่ออก สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือยืนดูเหล่า Great Stone Knight เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆจากนั้นก็ลงมือทุบร่างของเขาจนเเหลก... หลังจากเกิดขึ้นมาใหม่ Undead นิรนามของเราก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เอามากๆเเละรีบตรงปรี่ไปหาตาเฒ่า Andre ทันทีจากนั้นก็ลงมือบ่นไม่หยุดที่เจ้าช่างตีเหล็กคนนี้ไม่ยอมเตือนเขาเลยสักคำว่าไอ้สิ่งที่อยู่ในป่ามันจะอันตรายขนาดนี้(คือถ้ามันไม่อันตรายตาเฒ่า Andre ก็คงเข้าไปเอาเองเเล้ว...) ตาเฒ่า Andre ที่ได้ฟังคำบ่นจนหูชาก็ได้บอกให้พระเอกของเราใจเย็นลงก่อน เดียวเขาจะหลอมชุดเกราะและตีอาวุธที่ดีกว่าเดิมให้ใหม่ รับรองว่าคราวนี้ Undead นิรนามจะต้องผ่านอุปสรรคไปได้เเน่นอน  ( ภาพประกอบ : Titanite Shard คือเศษเเร่เล็กๆที่หลุดออกมาจาก Titanite Slab ซึ่งใช้ในการหลอมอาวุธขั้นพื้นฐาน ) เมื่อได้อาวุธมาเเล้ว Undead นิรนามก็ย่างสามขุมเข้าไปในป่าด้วยท่าทีที่ฉุนเฉียว จากนั้นก็เอาดาบที่ได้มาใหม่ไล่ฟาดฟันทุกสื่งทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ผีสิงหรือก้อนหินเดินได้ ต่างก็สิ้นฤทธิ์เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้เต็มไปด้วยความพิโรธคนนี้(หัวร้อน) จนกระทั้งเขาสามารถเดินทางลึกเข้าไปในป่าเเละได้พบกับซากหอคอยร้างที่ตั้งอยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ซึ่งทางเดียวที่จะข้ามไปก็คือต้องใช้สะพานหินที่อยู่ใกล้ๆแต่ติดอยู่แค่ปัญหาเดียวเพราะบนสะพานได้มีผีเสื้อยักษ์ Moonlight Butterfly อาศัยอยู่ ซึ่งมันจะคอยยิงลำเเสงเวทมนตร์ใส่ทุกๆคนที่พยายามข้ามไปอีกฝั่ง ( ภาพประกอบ : ท่ายิงลำเเสงของ Moonlight Butterfly จำเป็นจะต้องอาสัยพลังงานอย่างมาก จึงทำให้หลังจากที่ใช้ท่านี้มันจะต้องคอยฟื้นฟูพลังงานอยู่ตลอด ) การฝ่าด้านป้องกันของเจ้าผีเสื้อ Moonlight Butterfly ได้กลายเป็นเรื่องท้าทายเเเละกินเวลายาวนานเกินความจำเป็น เเต่ไม่ใช่เพราะว่ามันดุร้ายหรือว่าอันตรายเเต่อย่างใดแต่กลับเป็นเพราะมันจะคอยบินโจมตีจากระยะไกลทำให้ Undead นิรนามของเราต้องค้นเอาสิ่งของที่สามารถขว้างออกไปได้มาใช้ อย่างเช่นมีดสั้นเเละระเบิดไฟที่ปาขึ้นไปบินฟ้าซึ่งก็มีทั้งโดนมั้งเเละไม่โดนมั้งปะปนกันไป เเต่ยังพอโชคดีที่เมื่อเจ้า Moonlight Butterfly อ่อนเเรงลงมันก็จะบินเข้ามาเกาะยังสะพานเพื่อพื้นฟูพลังงาน เเละพระเอกของเราก็ได้อาศัยจังหวะนั้นเข้าไปโจมตีที่หัวของมันจนต้องบินหนีขี้นฟ้าไป...เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเเบบนี้วนซ้ำไปมาจนเจ้า Moonlight Butterfly สิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด พร้อมๆกับ Undead นิรนามที่ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นเพราะความเหนื่อย เเละได้บ่นกับตัวเองว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องศึกษาคาถาเวทมนตร์เอาไว้โจมตีระยะไกลเสียบ้างเเล้วจะได้ไม่เหนื่อยเเบบนี้อีก ( ภาพประกอบ : ภาพระยะไกลของ Moonlight Butterfly ที่กำลังหลับใหลอยู่บนหอคอย ) เมื่ออุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดไปเเล้วพ่อพระเอกของเราก็เดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของหอคอย ซึ่งมีซากศพของช่างตีเหล็กนิรนามคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าเเละในมือได้ถือสิ่งของที่เรียกว่า Divine Ember โดยมันถือเป็นเครื่องมือวิเศษสำหรับเหล่าช่างตีเหล็กที่ใช้เพื่อเพิ่มพลังของธาตุต่างๆเขาไปในอาวุธไม่ว่าจะเป็นไฟ, สายฟ้า, หรือความมืดเป็นต้น ซึ่งอันที่ Undead นิรนามของเราได้มามันเป็นส่วนของธาตุแสง ( ภาพประกอบ : ศพของช่างตีเหล็กนิรนามที่ถือ Divine Ember เอาไว้ )  Undead นิรนามได้นำเอา Divine Ember กลับไปมอบให้กับตาเฒ่า Andre ซึ่งเมื่อได้เห็นมันเขาก็ทำหน้าแป้นแล้นดีใจราวกับเด็กที่กำลังได้ของเล่นชิ้นใหม่ เเละก็ตามสัญญาตาเฒ่า Andre ได้ลงมือตีอาวุธธาตุแสงให้แก่ Undead นิรนามแถมยังกล่าวว่าวันหนึ่งพระเอกของเราจะต้องได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเเน่นอน!  ( ภาพประกอบ : Divine Ember  สามารถทำให้อาวุธของเรากลายเป็นธาตุแสงได้ ซึ่งจะได้ผลดีที่สุดเมื่อต่อสู้กับเหล่าผีดิบหรือสัมภเวสี ) เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจอันยาวนาน Undead นิรนามก็ได้กลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อที่จะผ่อนคลายความเมื่อยล้าเเละนอนพักเอาเเรงสักคืนสองคืน ซึ่งเเน่นอนว่าขากลับเขาก็ยังไม่วายถูกเจ้า Crestfallen Warrior พูดจาถากถางว่าถ้าหากพระเอกของเราแน่จริงก็ต้องลงไปสันระฆังใบที่สอง ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินพร้อมกับบอกว่าเเต่คร่าวนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งเเรกเเน่นอนเเล้วก็หัวเราะเสียงดังใส่หน้า Undead นิรนามอย่างไม่เกรงใจ สร้างความรำคาญให้กับเขาเป็นอย่างมากจึงต้องเดินลงไปหาที่นอนเงียบๆบริเวณชั้นล่างเเละก็ได้พบกับเจ้าฆาตกร Lautrec ที่หลังจากช่วยพระเอกของเราจัดการกับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้สำเร็จมันก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ Firekeeper นามว่า Anastacia มันจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อเยือนโฉมของนางโดยเฉพาะ ( ภาพประกอบ : สิ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่าง Anastacia กับ Lautrec ก็คือซี่กรงเหล็กเก่าๆไม่กี่อัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะทานทนไฟราคะของ Lautrec ได้อีกนานเเค่ไหน  ) Lautrec เอาเเต่นั่งจ้องไปยังห้องขังของ Anastacia  ด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเเทบจะระเบิดไฟราคะออกมา เเละอยากจะลงมือฆ่าเธอทิ้งเสียนะเดียวนั่นเหมือนกับเหยื่อคนที่แล้วของมันซึ่งเป็น Fire Keeper เหมือนกัน...แต่ทว่าในตอนนี้พระเอกของเรายังคงไม่รับรู้ถึงธาตุแท้ของเจ้าฆาตกรโรคจิตคนนี้เขาจึงได้แต่กล่าวทักทายตามประสาคนรู้จัก ( ภาพประกอบ : Lautrec กำลังจ้องมองเหยื่อคนต่อไปของมันอย่างใจจดใจจ่อ ) หลังจากเดินหาที่นอนอยู่นานสุดท้ายเขาก็ได้พบกับที่นอนอันเเสนเงียบสงบเเละปราศจากสิ่งรบกวน Undead นิรนามได้เอนหลังลงนอนกับพื้นจากนั้นก็หยิบเอาสัมภาระทั้งหลายของเขามากองรวมกันให้เป็นหมอน เเต่ก็ไปสะดุดกับขวดยา Estus Flask ที่เเข็งเกินกว่าจะนำมาหนุนหัวได้ Undead นิรนามได้หยิบขวดยาครอบจักรวาลอันนี้ขึ้นมาดูและพลางคิดในใจว่า “ถ้าหากเราสามารถเพิ่มจำนวนของยาวิเศษ Estus Flask นี่ได้มันก็คงจะดีไม่น้อย”.... แสงของตะวันยามเย็นเริ่มค่อยๆหายลับเเละจมลงไปยังเส้นปลายขอบฟ้า พร้อมกับความมืดมิดที่ค่อยๆย่างกรายเขาปกคลุม Firelink Shrine  อย่างช้าๆ เหล่าดอกไม้เเละใบหญ้าต่างหุบตัวเพื่อหลับใหลเพื่อวันใหม่ที่จะนำดวงตะวันอันเเสนอ่อนล้าลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง.... ทว่าก็มีบางสถานที่ในดินเเดน Lordran ที่เเม้จะเป็นยามเช้าหรือเที่ยงวันความสว่างของดวงตะวันก็ไม่อาจส่องไปถึง ที่ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น “บ้านของเทพเเห่งความตาย Nito!” ( ภาพประกอบ : สุสานแห่งดินแดน Lordran อันเป็นที่ซึ่งชักนำโชคชะตาของผู้กล้าและคนจัญไรมาบรรจบกัน )   คุยกันหลังเรื่องเล่า          เอาละครับก็จบกันลงไปแล้วกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้า “ ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น ” เเต่ก่อนที่เราจะจากกันไปผมก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวกับระบบของ Gameplay ที่ถูกผู้พัฒนาตัดออกไปมาฝากกัน เรื่องแรกเลยก็คือพวก Black Knight ซึ่งจะประจำอยู่ตามที่ต่างๆภายในเกม...เดิมทีมันได้ถูกวางแผนให้เป็น Random Event หรือระบบเหตุการณ์เดาสุ่ม ซึ่งเหล่า Black Knight จะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ภายในเกม แต่ก็ถูกนำออกไปเสียก่อนซึ่งผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วเพราะลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าระหว่างที่เล่นเราเกมเเละได้ต่อสู้ฝ่าฟันจนเกือบจะถึงห้อง Boss อยู่เเล้วแต่อยู่ดีๆก็เกิดมี Black Knight โผล่มาขวางทางมันคงไม่สนุกสักเท่าไร ( ภาพประกอบ : การปรับระบบของ Black Knight กลับยิ่งทำให้มีความสอดคล้องกับ Lore ภายในเกมมากขึ้น เพราะเหล่า Black Knight ก็เปรียบได้เสมือนกับเงาที่ไม่มีตัวตนที่คอยทำภารกิจดำมืดซึ่งพวก Silver Knight ไม่ทำ ) ส่วนเรื่องที่สองก็คือเจ้าศัตรู Possessed Tree หรือต้นไม้ผีสิงที่ปกติภายในเกมมันจะเอาเเต่ขยับไปมาเพียงเท่านั้นแต่ได้มี Username คนหนึ่งใน Youtube ที่มีนามว่า Marco DAmbrosio เขาได้ทดลองใช้คำสั่งนำเจ้าต้นไม้ผีสิงนี้ไปปรากฏยังเเผนที่ส่วนอื่นของเกม และก็ได้พบเรื่องที่น่าตกใจเพราะว่ามันกลับใช้ท่าโจมตีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยการใช้เถาวัลย์ฟาดลงมาจากยอดไม้ใส่ผู้เล่น ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นเพราะทางผู้พัฒนาได้ใส่คำสั่งยับยั้งการโจมตีของมันเมื่อยู่ในแผนที่ Darkroot Garden นั่นเอง โดยเรื่องเเบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะเเยะจนนำมาพูดได้ไม่หมด แต่ในตอนนี้มันก็สมควรเเก่เวลาเเล้วผมจึงต้องขอตัวลาทุกท่านไปก่อนเเละเจอกันในบทหน้า สวัสดีครับ  
06 Mar 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 8 เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด ซึ่งในบทนี้จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมภาคหนึ่งที่ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็น Undead นิรนามที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำตามคำทำนายให้สำเร็จ แต่ก่อนอื่นผมจะต้องขอชี้เเจ้งว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ขอหยิบยกสิ่งที่เป็น “Gameplay” หรือระบบการเล่นมาเล่าเป็นเนื้อหาโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างก็เช่นเรื่องการตายเเล้วเกิดใหม่ที่ผมจะขอพูดถึงเเต่ในเเง่ของเนื้อเรื่องและ Lore ภายในเกมเท่านั้น….ถ้าเราเข้าใจตรงกันเเล้วกระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เเปด “เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์” ( ภาพประกอบ : เส้นทางของ Undead นิรนามจะเต็มไปด้วยขวากหนามที่จะทดสอบความมุ่งมั่นในภารกิจต่อชีวิตของ The First Flame ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด   ก้าวเเรกของผู้ถูกเลือก…              ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตอนเหนือ ได้มีเรือนจำเเห่งหนึ่งที่ถูกเรียกวว่า Northern Undead Asylum ซึ่งภายในนั้น Undead นิรนามของเรากำลังพยายามหนีออกตากคุกนรกแห่งนี้ให้ได้ จะติดก็เเต่ประตูทางออกกลับถูกเฝ้าโดยอสูรร้ายที่ถูกขนานว่า Asylum Demon ที่มีร่างกายใหญ่โตเเละปีกเล็กๆอันทรงพลังพอที่จะสามารถพยุงน้ำหนักอันมหาศาลของมันให้บินขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างสบายๆ เเละความเป็นมาของมันก็คือ เจ้าอสูรตัวนี้เป็นหนึ่งในบรรดาอสูรไม่กี่ตนที่ได้ละทิ้งวิถีเเห่งเพลิง Chaos Flame ซึ่งเป็นขุมพลังหลักของปีศาจเเละได้หันหลังให้กับเเม่มดเเห่ง Izalith อันเป็นเหมือนมารดาแห่งเหล่าอสูรทั้งปวง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้มีหลายๆอาณาจักรอ้าเเขนตอนรับอสูรไร้นายเหล่านี้ให้เข้ามาทำงานที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ ( ภาพประกอบ : Asylum Demon ใช้อาวุธที่ทำมาจากต้นไม้ Arch Tree ซึ่งในยุคโบราณเคยเป็นต้นไม้ที่เป็นอยู่อาศัยของเหล่ามังกรนิรันดร ) หากจะเปรียบการเผชิญหน้าระหว่าง Undead นิรนามเเละ Asylum Demon เเล้วละก็มันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับช้างที่กำลังพยายามไล่เหยียบหนู ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็จับตัวไม่ได้เสียทีเพราะว่า Undead นิรนามของเราได้อาศัยความคล่องเเคล่วในการกลิ้ง...จนสามารถหนีพ้นเงื้อมือของมันไปได้ เเละได้ไปพบเข้ากับ Oscar ที่เคยช่วยเขาออกจากห้องขัง เเต่ตอนนี้กำลังนอนบาดเจ็บเพราะถูก Asylum Demon เล่นงานมาเช่นเดียวกัน Oscar ได้บอกว่าตนกำลังจะกลายสภาพเป็น Hollow ในอีกไม่นาน ฉะนั้นเขาจึงได้มอบยารักษาบาดเเผล Estus Flask เเละขอส่งต่อภารกิจในการปลุกชีพของ The First Flame ให้เเก่ Undead นิรนามของเรา เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของคนที่กำลังจะสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล ( ภาพประกอบ : Oscar ที่กำลังกลายสภาพเป็น Hollow เเละได้ฝากฝังความตั้งใจเเก่ Undead นิรนามเป็นครั้งสุดท้าย) การเสียสละของ Oscar ได้ทำให้ Undead นิรนามของเรามีกำลังใจกลับไปต่อสู้กับเจ้าอสูรอีกครั้งจนสามารถเอาชนะมาได้ แต่เมื่อเขาได้ก้าวเท้าผ่านประตูสู่อิสรภาพไปนั่นก็กลับต้องพบว่าความจริงแล้ว ภายนอกสถานที่เเห่งนี้ต่างถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเหวลึกมากมายจน Undead นิรามต้องบ่นว่าคงจะมีเเค่นกเท่านั้นเเหละจึงจะสามารถหนีออกจากไปจากคุกแห่งนี้ได้ เเต่ในระหว่างที่เขากำลังสิ้นหวังอยู่นั้นอยู่ๆก็มีอีกายักษ์บินมาโฉบร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าหายไป ซึ่งเจ้านกยกตัวนี้มันเป็นหนึ่งในสมุนของเทพเจ้า Velka ที่จะคอยทำหน้าที่เป็นแมวมองจับตาเหล่า Undead ที่มีเเววว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนาย เเละก็ลักพาตัวไปยังดินเเดน Lordran เพื่อทำตามเป้าหมายหลักของ Velka ซึ่งก็คือการปลดปล่อยเหล่าสมุนของนางที่ติดอยู่ใน Painted World of Ariamis จากเหตุการณ์อันอื้อฉาวในอดีตที่ถูกเรียกว่า “กบฏทมิฬ” ( ภาพประกอบ : Undead นิรนามกำลังถูกลักพาตัวไปยัง Firelink Shrine ที่ตั้งอยู่ในดินเเดน Lordran ) อีกายักษ์ได้เหินเวหาไปตามสายลมจนกระทั้งเข้าเขตดินแดน Lordran และได้ปล่อยพระเอกของเราลงที่ Firelink Shire อันเป็นสถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นวิหารที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า Velka โดยพวกมนุษย์ เเต่ปัจจุบันก็ได้ถูกทิ้งร้างจนชํารุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนปัจจุบัน Firelink Shrine ได้เเปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่พักเเรมของเหล่านักเดินไปเเล้ว ( ภาพประกอบ : สภาพบรรยากาศโดยรอบที่ Firelink Shrine ) ( ภาพประกอบ : วิหารโบราณใน Firelink Shrine ) เมื่อเดินทางมาถึง Undead นิรนามของเราก็ได้พบกับผู้คนบางส่วนที่กำลังพักเเรมอยู่ที่ Firelink Shrine ไม่ว่าจะเป็นพระนักรบนามว่า Reah ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของศาสนา Way of White ที่เดินทางมาจากดินเเดน Thorolund อันห่างไกลเเละกำลังเฝ้ารอพรรคพวกของเขาที่จะมาสมทบ ส่วนอีกคนก็คือชายผู้สิ้นหวังซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ตัวเขาไม่เคยเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามให้ใครฟังเเต่ผู้คนต่างเรียกเขาว่า Crestfallen Warrior หรือ”นักรบผู้สิ้นหวัง” ซึ่งเจ้าหมอนี้มันมีนิสัยน่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพูดถ่มถุยเหล่านักเดินทางทุกคน ว่าการพยายามทำตามคำนายนั่นไร้ประโยชน์เเละรังเเต่จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Hollow เร็วขึ้น ( ภาพประกอบ : Crestfallen Warrior ชอบพูดถากถาง Undead ) เเต่คนที่ดูจะน่าสงสารมากที่สุดก็คือสตรีนางหนึ่งที่ถูกจองจำอยู่ในสถานที่เเห่งนี้ นามว่า Anastacia โดยชะตากรรมของนางนั้นเรียกได้ว่าน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับให้ทำหน้าที่ Fire Keeper อยู่ที่ Firelink Shire อย่างไม่เต็มใจเเละเมื่อ Anastacia พยายามจะหนีพวกมันจึงได้ตัดปัญหาด้วยการขังนางไว้ในคุก เเละตัดลิ้นของนางออกเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเจ้าได้อีก ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Fire Keeper Anastacia นางมีความปรารถนาที่จะตายเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่ในฐานะของ Undead )   เมืองคนบาป Undead Burg Undead นิรนามของเราที่เพิ่งเดินทางมาถึงยัง Firelink Shire ได้ไม่นานก็ได้รับแนะนำจาก Crestfallen Warrior ให้เดินทางไปยังป้อมปราการ Undead Burg ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีระฆัง Bell of Awakening อยู่ที่นั่น เมื่อฟังจบ Undead นิรนามก็กล่าวขอบคุณเเละรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที...โดยไม่รู้เลยว่าเจ้า Crestfallen Warrior มันต้องการให้ผู้กล้าของเราไปเผชิญหน้าความตายจนต้องท้อแท้และกลายเป็นหมาขี้แพ้เหมือนกับมัน… ( ภาพประกอบ : ทางท่อระบายน้ำที่เชื่อต่อ Firelink Shrine เเละ Undead Burg เข้าด้วยกัน ) หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของป้อมปราการ Undead Burg ก็คงต้องกล่าวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่กันเลยทีเดียว โดยเมืองนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะการก่อกบฏของเหล่าสาวกแห่งเทพเจ้า Velka ที่ถูกเรียกขานว่ากบฏทมิฬ หรือจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการปิดกั้นตัวเองของเมืองหลวง Anor Londo ที่บีบให้ป้อมปราการ Undead Burg ต้องกลายเป็นชุมชนที่ปกครองและดูแลกันเอง  ( ภาพประกอบ : สภาพโครงสร้างภายในของ Undead Burg ) โดยเมืองนี้มีกฏหมายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนจะได้รับอิสระในการนับถือเทพเจ้าต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ เเถมภายหลังยังได้มีการหลอมรวมเทพเจ้า Velka ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนมากของประชาชนในเมืองนี้ เข้ากับความเชื่อของศาสนา Way of White ที่เป็นเหมือนกองทัพศาสนาของเหล่าเทพเจ้า โดยทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทั้งศึกในบ้านหรือนอกบ้านโดยไม่จำเป็น แม้กระทั้งพวก Warrior of Sunlight ที่ปกติจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ยังได้รับอนุญาตให้ตั้งเทวรูปของ Nameless King ไว้ในที่สาธารณะและสามารถทำการเคารพบูชาได้อย่างเปิดเผย เเละในภายหลังได้มีมังกรเผ่าพันธุ์ Wyvern ตนหนึ่งบินลงมาจำศีลอยู่เหนือเทวรูปของ Nameless King อย่างสงบโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไม...  ( ภาพประกอบ : Wyvern เป็นมังกรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรโดยจุดสังเกตความแตกต่างก็คือ Wyvern จะยืนสองขาในขณะที่มังกรนิรันดรจะยืนสี่ขา ) ตอนนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Undead Burg เลยก็ว่าได้ จนก่อเกิดเป็นสันติภาพที่จะยั่งยืนยาวนานนับพันปี....จนกระทั้ง Curse of Undead ได้กลับมาเยี่ยมเยือนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เเละในเมื่อ The First Flame กำลังจะดับลงจึงทำให้พวก Undead จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเร่งที่จะทำตามคำทำนายให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนมากมายจะต้องเดินทางผ่าน Undead Burg อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่ามากันทีละคนสองคนมันก็คงไม่เป็นไรแต่ทว่าบางคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยหรือมีบรรดาศักดิ์เป็นชนชั้นสูงก็จะนิยมจ้างนักรบหรือแม้แต่ยกกองทัพส่วนตัวเเห่เข้าเมืองมาด้วย ตัวอย่างเช่นเจ้าชาย Rendal ที่พี่แกเล่นยกกองทัพ Balder Knight ของตัวเองมาแบบเต็มยศ ทำให้ยิ่งนับวัน Undead Burg ก็เริ่มประสบปัญหาความแออัดและความหวาดระแวงจากคนเเปลกหน้า เเละถ้าหากจะห้ามไม่ยกกองทัพเข้ามาในเมืองเเล้วละก็ นั่นก็จะเป็นเหตุทำให้มีเรื่องผิดใจกันและอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นทำศึกชิงเมืองเลยก็เป็นได้  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่านักรบจากอาณาจักร Berenike ซึ่งมาที่ Lordran เพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : เหล่านักรบ Balder Knight ที่ติดตามเจ้าชาย Rendal มายัง Lordran  ) เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำนับวันความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ (นี่ขนาดยังไม่นับปัญหาของพวก Hollow ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนกับภูเขาไฟเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้เเละจะนำ Undead Burg กลับเข้าสู่ความโกลาหลเป็นครั้งเเรกในรอบหลายพันปีนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏทมิฬ...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าท่าผู้ชมคิดว่านี่มันเลวร้ายสุดๆแล้วละก็...ผมก็ขอบอกบอกเลยว่านี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆก็มีเหล่าอสูรแห่ง Izalith โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง พวกมันมองข้ามเหล่าประชาชนที่อ่อนแอซึ่งไม่มีทางสู้แต่กลับมุ่งเป้าไปยังพวก Undead ที่เดินทางมาเพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ ทำให้ ณ เวลานั้นที่ใจกลางของเมืองซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าคนที่เดินพลุกพล่านได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นเขตสงครามไปเป็นที่เรียบร้อย สงครามได้ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้พวก Black Knight ที่ปกติจะคอยทำงานให้กับเทพเจ้าอย่างลับๆก็ยังต้องเปิดเผยตัวเองและเข้าร่วมทำสงครามกลางเมืองในครั้งนี้  ( ภาพประกอบ : อสูร Taurus จะคอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg  ) การสู้รบใน Undead Burg ได้ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนแรกก็คือตัวเมืองด้านล่างที่ได้ถูกปกครองโดยอสูรแห่ง Izalith ไปเป็นที่เรียบร้อย เเละสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่นก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่สุดๆ เหล่า Undead มากมายต่างถูกทอดทิ้งให้อดอยากปากแห้งจนต้องรวมตัวพากันออกปล้นสะดม Soul กับ Humanity จากมนุษย์คนอื่นๆเพื่อความอยู่รอด จนที่แห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว  ( ภาพประกอบ : ภาพรวมของเมือง Undead Burg ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากรากฐานเก่าที่ป้อมปราการ ) และอีกส่วนก็จะเป็นตัวเมืองด้านบนซึ่งได้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มี Bell of Awakening ตั้งอยู่นั่นเอง ซึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ก็ถือได้ว่าดีกว่าตัวเมืองด้านล่างอยู่ไม่น้อย เพราะที่โบสถ์แห่งนี้ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็น Fire Keeper คอยทำหน้าที่ปลอบประโลมและเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจให้แก่เหล่าผู้คนที่กำลังเสียขวัญ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่า Channeler ที่กำลังจับตามองอยู่ห่างๆ.... พวก Channeler นั้นก็คือพวกข้ารับใช้ของ Seath มังกรไร้เกล็ดซึ่งได้ถูกส่งออกมาผ่านช่องทางลับภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อคอยทำตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมายจาก Seath ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการลักพาตัวหญิงสาวเพื่อไปเป็นหนูทดลอง   ( ภาพประกอบ : โบสถ์ใน Undead Burg ที่มีหอคอย Bell of Awakening ตั้งอยู่  )  ( ภาพประกอบ : Channeler ก็คือพวกนักเวทย์ที่ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับมังกรไร้เกล็ด Seath ) พวก Channeler พยายามเสนอตนเองว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระอันล้นมือของ Fire Keeper เพื่อที่จะคอยหาโอกาสลักพาตัวนางไป… แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า Undead Burg ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่มากมายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เเละหนึ่งในนั้นก็คือชายโรคจิตนามว่า Lautrec ซึ่งมีความหลงใหลในร่างกายของผู้หญิงที่สะสวยอย่างรุนแรงและมันก็ได้ลงมือสังหาร Fire Keeper ผู้โชคร้ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เหล่าผู้คนในที่นั่นต่างตกใจและได้รุมสกรัมเจ้า Lautrec  อย่างหนักแต่เนื่องจากเป็น Undead ที่ไม่มีวันตาย เหล่าผู้คนจึงทำการคุมขังมันเอาไว้ที่ด้านหลังของโบสถ์แทน  ( ภาพประกอบ : เเท่นบูชาเทวรูปของเทพเจ้า Velka ที่ตั้งอยู่ภายในโบสถ์ ซึ่งศพของ Fire Keeper ได้ถูกนำมาวางไว้ที่นี่  ) แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายนั้นมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว....ทุกๆคนในโบสถ์ต่างเฝ้ารอให้ Fire Keeper กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ เเต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่สักทีจนเหล่าผู้คนเริ่มสิ้นหวังจนเริ่มเสียสติเเละได้กลายเป็นความโกลาหลและเหตุจลาจลภายครั้งใหญ่ภายในตัวเมืองด้านบน จนเเม้เเต่เทวรูปของ Nameless King ที่อยู่ใกล้ๆก็โดนลูกหลงจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี และแทบจะทันทีที่เทวรูปถูกทำลายเจ้ามังกร Wyvern ก็ได้ตื่นขึ้นจากการจำศีลด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราดพร้อมกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพ่นลูกไฟยักา์ลงมาแพรดเผาทุกชีวิตใน Undead Burg จนตายเกลี้ยงและได้กลายเป็น Undead กันไปทั้งเมือง...และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา Undead Burg ก็ได้กลายเป็นแค่จุดเข็คอินเเละสุสานเก่าๆซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ Bell of Awakening ( ภาพประกอบ : ในตอนนั่นสภาพของ Undead Burg อยู่ในขั้นวิกฤติสุดๆ เเละไหนจะต้องมานั่งระวังพวกมนุษย์ด้วยกันเองไปจนถึงพวกอสูรเเละมังกรที่สามารถจะฆ่าทุกคนได้ทุกเมื่อ )   เสียงระฆังแห่งผู้มีชัย   กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ในตอนนี้ Undead นิรนามของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังสะพานยาวที่เป็นทางด้านหน้าของโบสถ์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป Undead นิรนามก็ได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองดวงตะวันบนท้องฟ้าและเอาแต่ร้องพร่ำเพ้อราวกับเป็นคนบ้า นามของชายคนนี้ก็คือ Solaire โดยเขามาที่นี่ก็เพื่อทำตามคำทำนายของเทพเจ้า Gwyn เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อได้สนทนากัน Solaire ก็เสนอตัวว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ Undead นิรนามอย่างเต็มที่  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Concept Art ของ Solaire ชายผู้รักพระอาทิตย์ยิ่งชีพ )  ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Lautrec ชายใจโฉดผู้ชื่นชอบในการสังหารสาวงาม ) Undead นิรนามได้กล่าวลา Solaire จากนั้นก็บุกป่าฝ่าดงเหล่า Hollow จนสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์จนได้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันได ก็พลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของ Lautrec ที่ขอร้องให้ปล่อยมันออกไป...ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามของเราก็ได้ช่วยมันออกมา เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบถึงธาตุแท้จริงของเจ้าฆาตกรโรคจิตนี่ ( ภาพประกอบ : Lautrec ที่โดนกักขังอยู่ ณ หลังโบสถ์ ) เมื่อช่วย Lautrec เสร็จพ่อพระของเราก็ได้ปีนบันไดขึ้นไปยังหลังคาเเละสามารถมองเห็น Bell of Awakening ได้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอยู่ๆรูปปั้นสัตว์ประหลาด Gargoyle ที่เป็นเป็นรูปปั้นตกแต่งตามหลังของโบสถ์ก็เริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งเดิมทีรูปปั้นพวกนี้มันก็ไม่ได้มีชีวิตแต่ด้วยการเล่นแร่แปลธาตุของเหล่านักปราชญ์ จึงสามารถคิดค้นวิธีในการนำวิญญาณของคน, สัตว์, ยักษ์, หรือแม่แต่เทพเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่ตามสิ่งของต่างๆเพื่อให้มันขยับและคอยทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย  ( ภาพประกอบ : Gargoyle ที่คอยปกป้อง Bell of Awakening จะมีหน้าที่ทดสอบเหล่า Undead ว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ถูกเลือกโดยเทพเจ้าหรือไม่ ) Undead นิรนามของเราสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้อย่างสูสีจนกระทั้งเขาเริ่มสังเกตว่าจำนวนของมันเพิ่มมาเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เเละยังไม่ทันขาดคำ! เจ้าตัวที่สามก็บินาจู่โจมลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ Undead นิรนามถึงแก่กรรมไปในที่สุด... เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Undead นิรนามของเรานั้นก็รู้ดีว่าถ้าหากดันทุรังต่อไปเห็นทีก็คงจะตายเปล่าเสียเป็นแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจยกพรรคพวกอย่าง  Solaire และ Lautrec มาช่วยกันรวมพลังสามัคคี(หมาหมู่) จนสามารถเอาชนะและขึ้นไปสันระฆัง Bell of Awakening ได้สำเร็จ เสียงของมันได้ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดินแดน Lordran อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีกล้าที่สามารถทำตามคำทำนายได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบหลายปี ( ภาพประกอบ : ด้วยพลังมิตรภาพ จะไม่มีสิ่งใดต้านทานเราได้! ) ( ภาพประกอบ : การลั่นระฆัง Bell of Awakening เป็นเหมือนการบอกเหล่าทวยเทพว่ามีคนที่อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้ว เเต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการบอกผู้ที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน ) แต่ในขณะที่ Undead นิรนามของเรากำลังปีนบันไดกลับลงมายังข้างล่าง เขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายแปลกประหลาดคนหนึ่งนามว่า Oswald ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบวชของเทพเจ้า Velka ที่จะค่อยออกตระเวนทำพิถีไถ่บาปให้กับเหล่าผู้คนเพื่อแลก Soul เป็นค่าเหนื่อย (ไม่ฟรี)...หลายคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมเราถึงต้องไถ่บาปด้วยละ? คำตอบก็คือหากเรามีบาปติดตัว ไอ้พวกกลิ่นความชั่วร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราก็จะลอยไปเตะจมูกของพวกหน่วยลับ Darkmoon Blade ซึ่งจะออกตามไล่ล่าฆ่าพวกเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะสาสมกับความผิดที่เคยก่อ  ( ภาพประกอบ : Oswald เป็นนักบวชของ Velka ไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ) หลังจากที่ Undead นิรนามของเราออกมาจากโบสถ์ได้ไม่นาน ก็บังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กกำลังกระทบกันดังซ้ำไปซ้ำมาออกมาจากทางเดินแคบๆที่อยู่ติดกับโบสถ์ เเละด้วยความสงสัยจึงทำให้ Undead นิรนามของเราต้องออกไปตามหาที่มาของเสียงปริศนานั่น....  ( ภาพประกอบ : ทางเดินที่มีเสียงปริศนาดังออกมาอย่างต่อเนื่องเเละไม่หยุด  )   คุยกันหลังเรื่องเล่า          ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด หลายท่านที่ได้อ่านไปแล้วก็อาจจะเห็นถึงวิธีการเขียนและการเล่าเรื่องของผมที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะไม่ใช่แค่เอาตำนานของเกมมาเล่าให้ฟังอย่างเดียว แต่จะมีการใส่ชีวิตและจิตใจเข้าไปในตัวละครต่างๆเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากท่านผู้ชมรู้สึกตะขิดตะขวงใจละก็ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับผม เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเจอกันใหม่ในบทที่เก้าแล้วกันครับ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีครับ
17 Feb 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 7 อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป
สวัสดีครับทุกท่าน! ขอต้อนรับเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด ซึ่งในบทนี้เราจะมาพูดถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากมือของเทพเจ้าไปสู่มือของมนุษย์ และการหวนคืนของวงจรอุบาทว์ที่จะนำโลกกลับสู่ยุคมืดอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด “ อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สาม บทที่สี บทที่ห้า บทที่หก   ดินแดนแห่งมวลมนุษย์              โลกยุคใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่ Gwyn อุทิศดวงวิญญาณให้กับ The First Flame ได้นำพาโลกนี้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าอาณาจักร Lordran ของเหล่าทวยเทพก็ไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่และรุ่งเรืองเหมือนดังเช่นเคย มิหนำซ้ำพวกดินแดนที่อยู่รอบๆก็ต่างเริ่มตั้งตนขึ้นมาเป็นใหญ่จนสามารถเทียบเคียงบารมีกับเมืองหลวง Anor Londo ได้ อาทิเช่นแคว้น Zena ที่มีความเจริญในด้านเศรษฐกิจและการค้าขายเป็นอย่างมาก ( ภาพประกอบ : Domhnall คือพ่อค้าเร่จากแคว้น Zena ซึ่งมีนิสัยส่วนตัวชอบขุดเอาทรัพย์สินของคนตายมาขาย ) ต่อมาก็คือนคร Catarina ที่ขี้นชื่อเรื่องการจัดงานมหรสพรื่นเริง แถมยังมีของดีประจำเมืองเป็นเบียร์รสเลิศซึ่งหาดื่มจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และอีกจุดสำคัญที่ทำให้นคร Catarina กลายเป็นที่จดจำของเหล่าผู้คนมากมาย ก็คือชุดเกราะที่มีรูปทรงโค้งมนจนดูเหมือนกับคนอ้วน อีกทั้งยังมีหมวกที่มีรูปทรงประหลาดคล้ายกับหัวหอมจนทำให้นักรบของเมืองนี้มักจะถูกล้อเลี่ยนอยู่บ่อยๆซึ่งสวนทางกับประสิทธิภาพที่ดีจนเหลือเชื่อ นั่นก็เพราะว่าส่วนที่โค้งมนนี่เองที่คอยเป็นตัวช่วยทำให้อาวุธที่มากระทบแฉลบออกไปด้านข้างแทน ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะของนักรบ Catarina ) ตามมาด้วยเมืองดีศรีคนกล้า Astora ซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมที่สูงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านยุทโธปกรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แถมผู้คนในเมืองนี้ยังมีศีลธรรมและจริยธรรมที่สูงส่งไม่ได้ดีเเตกเสแสร้งทำเหมือนนคร Oolacile... เมื่อในอดีตเมือง Astora เคยถูกโจมตีโดยอสูรกายลึกลับตนหนึ่งจนเกือบที่จะวอดวายกันทั้งเมือง แต่ว่ามีผู้กล้าคนหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้จนสามารถกำจัดมันลงได้ จากนั้นก็นำเอาดวงตาของเจ้าอสูรกายมาทำเป็นแหวนที่มีชื่อว่า Ring of the Evil Eye ที่มีคุณสมบัติในการดูดกลืนวิญญาณเพื่อนำมารักษาบาดแผลให้กับผู้ที่สวมใส่มัน ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะบางส่วนของนักรบจาก Astora ) ( ภาพประกอบ : แหวน Ring of the Evil Eye ภายในเกม Dark Souls ) อีกเมืองก็คือ Carim อันเเลื่องชื่อในความหลากหลายทางด้านการนับถือศาสนา โดยจะมีทั้งพวกที่นับถือเทพเจ้านอกรีตอย่าง Velka ตลอดจนเทพเจ้าที่อยู่นอกเหนือตระกูลของ Gwyn อย่างเช่น Caitha เทพแห่งการร่ำไห้, Fina เทพแห่งความงดงาม, หรือแม้แต่พวก Way of White เองก็มีฐานที่มั่นอยู่ในเมืองนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเอกลักษณ์ของคนที่มาจากเมืองนี้ก็คือท่าทางการพูดที่ฟังดูแปลกประหลาดเอามากๆ เดี่ยวก็พูดจริงจังเคร่งขรึมเดี่ยวก็หัวเราะอย่างกับคนบ้า ( ภาพประกอบ : มนุษย์ในภาพนี้ทั้งหมดล้วนนับถือเทพเจ้าที่แตกต่างกันแต่ก็มาจากเมือง Carim เหมือนกัน ) ส่วนศาสนา Way of White ที่ในยุคสมัยก่อนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมเหล่า Undead โดยเฉพาะ แต่ทว่าในปัจจุบันการที่มีมนุษย์เข้ามาบริหารองค์กรมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ใน Way of White ไปด้วยและเริ่มมีการชิงดีชิงเด่นเพื่อเหตุผลทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเมือง Thorolund อันเป็นบ้านของเหล่าพระชั้นสูงใน Way of Withe มากมายที่มักจะใช้ศาสนาบังหน้าเพื่อออกคำสั่งกำจัดศัตรูทางการเมือง   ( ภาพประกอบ : เหล่า Way of White ที่มาจากเมือง Thorolund ) เมืองที่ได้กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่ปกครองโดยมนุษย์ทั้งหมด ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจและขุมกำลังทหารที่มากพอสำหรับปกครองตัวเองได้สบาย แต่ก็มีบางสถานที่ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่โตอะไรแต่ก็มีผู้คนมากมายหลั่งไหลกันมา ด้วยปรารถนาที่จะเรียนรู้ศาสตร์แห่งเวทมนต์ Sorcery ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือโรงเรียนจอมเวทย์ Vinheim หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าโรงเรียนมังกรโดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับ Seath ที่เป็นเหมือนบิดาแห่งศาสตร์เวทมนต์ทั้งมวล และถ้านักเรียนคนใดที่จบการศึกษาไปแล้วแต่ยังมีความกระหายใคร่รู้อยู่ ก็ยังสามารถออกเดินทางไปหา Seath ที่หอจดหมายเหตุภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้และเรียนรู้ Sorcery  อยู่ที่นั่นได้ แม้ว่าในภายหลัง Seath จะถูกผนึกทางเข้าออกหอจดหมายเหตุเอาไว้แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ดันทุรังพยายามฝ่าเข้าไปเพื่อจะสนองความกระหายของตน ( ภาพประกอบ : เหล่านักเวทย์ที่มาจาก Vinheim )   นอกจากนี้ก็ยังมีอาณาจักรที่อยู่ห่างไกลซึ่งไม่ค่อยมีชื่อเสียงเเละความสลักสำคัญอะไรอน่าง Balder, เเละ Berenike เป็นเหมือนเเค่เขตปกครองตัวเองของมนุษย์ธรรมดาๆ   ราชวงศ์ที่แตกสลาย              ณ เมืองหลวง Anor Londo ที่ดูเหมือนว่าจะสงบสุขดีเเละไร้ซึ่งปัญหาจากภายนอก... บนฟากฟ้ามีตวงตะวันคอยสาดแสงในยามเช้าและมอบความอบอุ่นภายให้กับผู้คนในเมืองดังเช่นที่เป็นตลอดมา ทว่าความจริงเเล้วตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo แทบจะเรียกได้ว่าถูกตัดขาดออกจากโลกภายอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเพราะคำทำนายของผู้ถูกเลือกที่ทำให้เมืองนี้ต้องปิดกั้นตัวเอง ทุกตารางนิ้วล้วนเต็มไปด้วยเหล่า Silver Knight และทหารยักษ์มากมายที่ถูกวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา และแน่นอนว่าวังหลวงที่เป็นสถานที่อยู่อาศัยของ Gwynevere และ Gwyndolin ก็ย่อมต้องมีปราการสุดหินเป็นด้านสุดท้ายเพื่อทดสอบผู้ถูกเลือก ซึ่งก็คือสองนักรบฝีมือฉกาจนามว่าอัศวินราชสีห์ Ornstein และมือเพชฌฆาต Smough ( ภาพประกอบ : Ornstein(ขวา) และ Smough(ซ้าย) คู่หูมหาประลัยเเห่งเมืองหลวง Anor Londo ) ทั้งสองได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์สูงสุดเพื่อปกป้องเทพเจ้า แต่ในอดีตนั้น Smough มีนิสัยที่วิปริตผิด มนุษย์มนาชื่นชอบการกินกระดูกของมนุษย์ที่ถูกเขาฆ่าตาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จนทำให้เขาไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลสักที… ทุกท่านสงสัยกันไหมครับว่าทำไมถึงต้องเอาคนแบบนี้เข้ามาเป็นองครักษ์ระดับสูงภายในวัง นั่นก็เพราะตอนนี้ในเมืองหลวง Anor Londo แทบจะไม่เหลือขุนพลคนอื่นๆอยู่อีกแล้ว อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ Gwyn และ Nameless King ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณของเหล่านักรบได้สูญสิ้นไปหมดเเล้ว ทำให้บางส่วนได้เกษียณตัวเองดังเช่น Hawkeye Gough บ้างก็ออกเดินทางหายสาบสูญไปอีกนับไม่ถ้วน ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของ Ornstein(ซ้าย) และ Smough(ขวา) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการแต่งตั้งให้ทั้งสองทำหน้าที่เป็นองครักษ์อย่างเป็นทางการ ) มาพูดถึงด้านของ Ornstein กันบ้าง ซึ่งเขาก็คือยอดนักรบที่เคยรับใช้ Gwyn มาตั้งแต่สมัยสงครามมังกรในอดีต อีกทั้งยังเป็นศิษย์เอกของ Nameless King ที่ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าสังหารมังกรมาโดยตรง จนทำให้เขาได้รับฉายาว่า “นักปราบมังกร Ornstein” (อู้ฮู!...) และเท่านั้นยังไม่พอเขายังเป็นหนึ่งใน “สี่สุดยอดขุนพลแห่ง Gwyn” โดยตัวเขาเองได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำของกลุ่ม, คนถัดมาก็คืออัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias ผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานในการพิชิต The Abyss, คนที่สามก็คือมือมีดแห่งเหล่าทวยเทพ Ciaran นักลอบสังหารแห่งอาณาจักร Lordran, และคนสุดท้ายก็คือนัยน์ตาปักษา Gough ผู้ที่มีฝีมือการยิงธนูที่แม่นยำราวกับปาฏิหาริย์ แต่ทว่าเกือบทั้งหมดที่กล่าวมานั่นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง Anor Londo อีกแล้ว จะเหลือเอาไว้ก็แต่ Ornstein ที่นับวันก็ยิ่งเริ่มคิดทบทวนถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต เพราะตัวเขาก็เหมือนกับเสือดุที่มีเจ้านายถ้าหากคนขี่หลังอยู่ไม่เข้มแข็งพอละก็จะไม่มีวันควบคุมเสือดุตัวนี้ได้ และเนื่องจากการที่เขาเป็นนักรบที่เจนศึกมามากก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความกระหายในการต่อสู้ แต่นี่ต้องมาติดอยู่ภายในวังหลวงโดยจะออกไปไหนมาไหนห่างไกลก็ไม่ได้ มันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นเป็นทวีคูณ ( ภาพประกอบ : สี่สุดยอกขุนพลเเห่ง Gwyn ประกอบไปด้วย Ornstein(ซ้ายบน), Artorias(ขวาบน), Ciaran(ซ้ายล่าง), Gough(ขวาล่าง) ทั้งสี่คนคือขุนพลที่ Gwyn ไว้ใจมากที่สุด  )              ส่วนทางด้านของเทพเจ้าอย่าง Gwynevere เองก็ใช่ว่าจะดีเด่นไปกว่าคนอื่นๆ เพราะตัวนางก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับตำแหน่งหัวโขนที่ได้รับ และไหนจะพวกราชกิจต่างๆที่ถูกวงการโดยน้องชายอยู่ลับหลัง จะใช้อำนาจตามดุลพินิจของตัวเองก็ไม่ได้...จะกลับไปทำหน้าที่ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรเเบบเดิมก็ไม่ได้ Gwynevere จึงได้นำเอาความคับข้องใจนี้ไปปรึกษากับ Gwyndolin ผู้เป็นน้องชายเพื่อที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน แต่ทว่าต่อให้ Gwyndolin จะสงสารพี่สาวคนนี้มากแค่ไหนก็ตามแต่คำสั่งเสียของผู้เป็นพ่อก็ย่อมต้องมาก่อนเสมอ! ด้วยนี้นี่เองจึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มหินห่างมากขึ้นและที่สำคัญมันทำให้ Gwynevere  นึกหวนคิดถึงคำพูดของ Nameless King ผู้เป็นพี่ชาย ที่เคยกล่าวว่านางควรคิดคำนึงถึงความต้องการของตนเองให้มากกว่าความต้องการของคนที่ตายไปแล้ว ทำให้นางเริ่มมีความคิดว่าเมืองหลวง Anor Londo ไม่ใช่บ้านอีกไปแล้วแต่เป็นเหมือนคุกที่จองจำจิตใจของนางเอาไว้ ( ภาพประกอบ : Divine Blessing คือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ Gwnevere ประทานให้เเก่เหล่าสาวกที่บูชานางในฐานะเทพพีเเห่งความอุดมสมบูรณ์เเละการมีบุตร… ซึ่งมีฤทธิ์รักษาบาดเเผลเเละเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยม…. ) แต่ในระหว่างที่เกิดความไม่ลงรอยกันของสองพี่น้อง ก็มีรายงานจาก Way of White ว่าตามชานเมืองเริ่มมีข่าวลือถึงการกลับมาของ Curse of Undead! เมื่อเหล่าเทพเจ้าทราบเรื่องก็ต่างอกสั่นขวัญแขวนกันไปตามๆกัน เพราะยังคงจดจำภาพแห่งความวินาศสันตะโรอันเกิดจากการที่ The First Flame อ่อนกำลังลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้น Gwyndolin จึงได้รับสั่งการให้ Way of White เร่งเผยแพร่คำทำนายของผู้ถูกเลือกออกไปยังดินแดนต่างๆให้มากที่สุดจนนำไปสู่การตีความคำทำนายออกมาแบบต่างๆซึ่งเเทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย กลับมาทางด้านของ Gwynevere เมื่อนางได้รู้ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้นางตระนักได้ว่าความมืดจะย่างกรายเข้ามาสู่เมืองหลวง Anor Londo ในอีกไม่ช้า Gwynevere จึงได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะแอบหนีออกจากเมืองหลวง Anor Londo ไปพร้อมๆกับเทพเจ้าหลายองค์ที่มีตวามคิดเช่นเดียวกัน จากนั้น Gwynevere ก็ได้ไปพึ่งใบบุญของ Flann เทพแห่งอัคคีและทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสกัน ณ อาณาจักรในดินแดนที่ห่างไกลนามว่า Heide ซึ่งจะมีบทบาทที่สำคัญในเวลาต่อมา.... ( ภาพประกอบ : Ring of the Sun Princess เป็นของดูต่างหน้าไม่กี่อย่างที่ Gwynevere ทิ้งเอาไว้  ) กลับมาทางด้านของเมืองหลวง Anor Londo ที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาความน่าเชื่อถือเพราะเหล่าเทพเจ้าหลายองค์ได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา บีบให้ Gwyndolin จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้เวทมนต์สร้างภาพลวงตาของบรรดาทุกคนที่หายตัวไปขึ้นมาทดเเทน ซึ่งภาพลวงตาเหล่านี้จะมีพลังวิเศษและนิสัยใจคอใกล้เคียงกับตัวจริงทุกประการ เมื่อปัญหาการหายตัวไปถูกจัดการได้เเล้วต่อมาก็ถึงคราวของปัญหาภาพลักษณ์ภายในตัวเมือง Gwyndolin ได้จัดการสร้างภาพลวงตาของดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อทำให้ดูเหมือนว่าแสงสว่างยังคงสาดส่องอยู่ในเมือง Anor Londo ดังเช่นวันวาน…. แต่ทว่ามีหรือเรื่องที่ฉาวโฉ่เช่นนี้จะรอดพ้นสายตาของ Ornstein ไปได้ เขาได้คอยเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและได้นำกลับมาคิดทบทวน จนมีอยู่วันหนึ่ง Ornstein ก็ได้เดินทางไปยังวิหารของเทพเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งในนั้นมีเเท่นบูชาที่ว่างเปล่าอยู่อันหนึ่งซึ่งในอดีตมันเคยรองรับเทวรูปของ Nameless King ผู้เป็นอาจารย์ของเขา Ornstein ได้จ้องมองเข้าไปยังแท่นบูชาที่ว่างเปล่านั้นราวกับว่าในสายตาเขามันยังคงมีเทวรูปของ Nameless King ตั้งอยู่เสมอมา… ( ภาพประกอบ : ทางด้านซ้ายของแท่นบูชาเคยเป็นที่วางรูปปั้นของ Nameless King ) ค่ำคืนที่แสนเยือกเย็นและยาวนานค่อยๆลอยผ่านพ้นเมืองหลวง Anor Londo ไปอย่างช้าๆ ต่างกับภายในวังที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากการสังสรรค์รื่นเริง แต่ทว่าค่ำคืนนี้กลับมีบุคคลปริศนาที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมงานด้วย… บุคคลปริศนาคนนั้นได้เดินแหวกกลางงานที่เต็มไปด้วยเหล่าทวยเทพมากมายอย่างไม่สนใจมารยาทหรือพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น โดยเขามุ่งตรงเข้าไปหา Gwyndolin จากนั้นก็เอยปากบอกให้เทพเจ้าคนนี้คลายภาพลวงตาของทุกคนออกไปซะ เมื่อพูดจบผู้คนในงานก็ต่างหันไปมองยังบุคคลปริศนาซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น Ornstein นี่เอง! เขาได้เริ่มสาธยายความคับข้องใจออกมาว่า Nameless King นั้นพูดถูกต้องมาตลอดสถานที่แห่งนี้ได้เดินทางมาถึงจุดแตกดับแล้ว เเต่ Gwyndolin กลับเอาแต่เบือนหน้าหนีความเป็นจริง เเละตัวเขาจะไม่ปกป้องภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริงเป็นอันขาด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีองครักษ์ที่ชื่อว่า Ornstein อีก สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้ Gwyndolin โกรธจนแทบอยากจะฆ่าอัศวินราชสีห์คนนี้ทิ้งแต่ก็ต้องยั้งเอามือไว้ เพราะฉายา “นักปราบมังกร” ของ Ornstein นั้นเป็นของจริง! เพียงแค่ Gwyndolin กระดิกนิ้วเขาก็สามารถพุ่งเข้าประชิดตัวได้ในพริบตา ( ภาพประกอบ : Ornstein มีชื่อเรื่องการใช้หอกแทงทะลุเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรได้ด้วยความเร็วชั่วพริบตา ) เมื่อเห็นว่าไม่มีท่าทีจะเกลี้ยกล่อมได้ Gwyndolin จึงใช้วิธีลงทัณฑ์โดยอ้างถึงการตระบัดสัตย์ต่อเทพเจ้า ฉะนั้นก่อนที่เขาจะไปก็จะต้องมอบ Soul ครึ่งหนึ่งของตนเองคืนให้แก่เหล่าทวยเทพ และแค่นั้นยังไม่พอ Gwyndolin ยังสั่งให้เขาถอดแหวน Leo Ring ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ 4 สุดยอดขุนพลเพราะคนที่ทรยศไม่มีสิทธิที่จะสวมมันอีกเเล้ว การลงทัณฑ์ดังกล่าวสำหรับ Ornstein มันก็ไม่ต่างอะไรกับการย่ำยีเกียรติของนักรบซึ่งเขาพากเพียรสั่งสมมานาน...แต่ทว่า Ornstein กลับไม่ลังเลที่จะทิ้งมันไปเลย เขาลงมือกระชาก Soul ออกมาร่างกายของตัวเองพร้อมๆกับถอดแหวน Leo Ring ทิ้งเอาไว้ที่พื้นและก็เดินจากไป ปล่อยให้ Gwyndolin ต้องยืนสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าภาพลวงตาทั้งหลาย ที่เริ่มกลับมาสังสรรค์อีกครั้งโดยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ( ภาพประกอบ : Leo Ring เป็นหนึ่งในแหวนที่สี่สุดยอดขุนพลแต่ละคนจะได้รับเพื่อเป็นการแสดงเกียรติสูงสุดของนักรบ ) ก่อนที่ Ornstein จะก้าวเท้าออกจากเมืองหลวง Anor Londo เขาก็ได้ไปบอกลาเพื่อนคนสุดท้ายอย่าง Smough ที่กำลังโมโหโกรธาเขาเป็นอย่างยิ่งและยังได้กล่าวว่าตนควรจะฆ่า Ornstein ทิ้งซะเดี๋ยวนี้ แต่เพราะยังเห็นว่าเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนจึงได้ยอมปล่อยให้ขาผ่านไป...ใครจะไปอยากเชื่อกันเล่า Smough ที่ผู้คนปรามาสถึงนิสัยส่วนตัวอันน่ารังเกียจกลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่มีความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวมากที่สุด     เส้นทางของคำทำนาย              กระแพร่กระจายของข่าวลือที่ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ได้ทำให้หลายอาณาจักรเริ่มตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือกันอย่างแข็งขัน  หลายดินแดนเริ่มมีการคัดสันเหล่าตัวแทนเพื่อส่งไปทำตามคำทำนายที่ดินแดน Lordran โดยส่วนมากก็จะเป็นพวก Undead เพราะว่าสามารถที่จะตายแล้วเกิดใหม่ได้เรื่อยๆแถมยังเป็นการป้องกันปัญหาการเข้าสู่ภาวะ Hollow ไปในตัว จนคำติดปากที่ว่า “ผู้ถูกเลือก” ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “Undead ผู้ถูกเลือก” ไปแทน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่เดินทางมายังดินแดน Lordran จะมาเพื่อทำตามคำทำนายของผู้ถูกเลือกกันเสียหมด บางคนก็เป็นพ่อค้าที่มาเพื่อการค้าขายโดยเฉพาะ บ้างก็เป็นอาชญากรที่รักในการปล้นฆ่าโดยมาเพื่อคอยดักปล้นหรือกลั่นแกล้งเหล่า Undead คนอื่นๆ... ซึ่งคนพวกนี้จะมองว่า Curse of Undead ไม่ใช่คำสาปแต่มันเป็นเหมือนพรจากพระเจ้าที่มอบชีวิตอันเป็นอมตะให้ ( ภาพประกอบ : เหล่าบรรดาคนที่มายังดินเเดน Lordran ด้วยเหตุผลอื่น ) ดูเหมือนว่าในยุคนี้สถานการณ์ของ Curse of Undead จะอยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมและดูแลได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าแค่รอให้เวลาผ่านไปแล้วเดียวผู้ถูกเลือกตามคำทำนายก็จะโผล่ตัวออกมาเอง แต่ที่ไหนได้เมื่อยิ่งเวลาผ่านพ้นไป จากวันก็เข้าสู่เดือน จากเดือนก็เข้าสู่ปี จากปีก็กลายเป็นหลายสิบปีซึ่งก็ไม่มีวี่แววของผู้ถูกเลือกว่าจะโผล่สักที ประกอบกับช่วงพักหลังมานี้มี Undead หลายคนเริ่มไม่ยอมทำตามคำนายส่งผลให้หลายอาณาจักรเริ่มร้อนรน ประกอบกับจำนวนของ Undead ที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนเป็นการยากที่จะควบคุม ทาง Way of White เองก็ได้เร่งประโคมข่าวหนักขึ้นอีก! โดยหยิบเอามาตรการที่รุนแรงมากขึ้นมาใช้อย่างเช่นการจัดตั้งอาสาสมัครตามหมู่บ้านเล็กๆให้ออกตามล่าและขับไล่พวก Undead เพื่อบีบให้ต้องลี้ภัยไปยังดินแดน Lordran ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ทิ้งขยะของดินเเดนอื่นๆไปเเล้ว… จากการคัดสันหาตัวแทนมาตอนนี้ก็ได้แปลเลี่ยนกลายเป็นการบีบบังคับไปเเทน ในบางอาณาจักรถึงขั้นจัดตั้งสถานกักกันเหล่า Undead ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเหล่าผู้โชคร้ายทั้งหลายจะถูกนำตัวมาเเละบังคับให้ผูกวิญญาณเข้ากับ Bonfire ในสถานนี้เพื่อให้เกิด, ตาย, และวนเวียนอยู่ในสถานกักกันไปตลอดกาล (โหดร้ายสุดๆ) โลกทั้งใบได้กำลังกลับเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง! ( ภาพประกอบ : มุมมองจากภายนอกของ Undead Asylum ) ณ ดินแดนทางตอนเหนืออันห่างไกลสุดลูกหูลูกตา ได้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า Undead Asylum ที่สร้างขึ้นมาเพื่อกักขังและทำการทดสอบเพื่อค้นหาตัว Undead ผู้ถูกเลือก แต่ทว่าท่ามกลางเหล่าผู้คนมากมายที่ถูกจับตัวมาอย่างไม่ยินยอม ก็ได้มีนักรบหนุ่มอยู่คนหนึ่งที่เต็มใจอาสามายังสุสานแห่งนี้ด้วยตัวเองเพราะมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำทำนาย นามของนักรบคนนั้นก็คือ Oscar แห่ง Astora ซึ่งเขาได้พยายามรวบรวมผู้คนข้างใน Undead Asylum ให้ช่วยกันต่อสู้เเละหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ทว่าอุปสรรคตามรายทางนั้นก็ช่างมีมากเสียเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นเส้นทางภายในที่มีความคดเคี้ยววงวน จรดเหล่าทหารยามและพวกอสูรร้ายที่ได้รับอนุญาตให้สังหาร Undead ทันทีที่พบเจอ หลายคนเริ่มยอมแพ้และสิ้นหวังเพราะต่อให้ฝ่าฟันขึ้นไปยังดาดฟ้าได้สำเร็จ พื้นที่เเห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและหุบเหวสูงลึก ไม่ว่าจะพยายามปีนป่ายแค่ไหนหากพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะตกลงไปตายและกลับมาเกิดใหม่ยัง Undead Asylum เหมือนเดิม ทำให้ทุกคนที่เหลืออยู่หมดหวังจนกลายสภาพเป็น Hollow จะเหลือก็แต่ตัว Oscar คนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีสติลงเหลือแบบเลือนราง... แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจทำให้เขาได้ไปพบเข้ากับ “Undead นิรนาม” คนหนึ่งที่ถูกขุมขังอยู่คุกเบื้องล่าง และเมื่อ Oscar ดูจนแน่ใจว่า Undead นิรนามคนนั้นไม่ได้เป็นพวก Hollow เขาจึงหอบสังขารของตนเองไปยังซากศพที่อยู่ใกล้ๆ และจัดการเอากุญแจประตูห้องขังที่มีอยู่กับตัวยัดเข้าใส่ในเนื้อหนังของศพ เพื่อป้องกันไม่ให้กุญแจที่แสนสำคัญนี้กระเด็นหายไปจากแรงของการโยนกระเเทกพื้น ( ภาพประกอบ : Oscar กำลังพยายามช่วย Undead นิรนาม ) ( ภาพประกอบ : กุญเเจเเห่งความหวังที่ถูกส่งมาโดย Oscar ) Oscar ได้โยนศพลงไปในห้องขังของ Undead นิรนามที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันเเละกันเเต่ไม่ปริปากพูดคุยกันเลยเเม้เเต่คำเดียว เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าให้หนีออกไปได้เสียก่อนแล้วค่อยมากล่าวขอบคุณก็ยังไม่สาย... Undead นิรนามได้ไขกุญแจและออกเดินไปตามทางโถงทางเดินแคบๆซึ่งเต็มไปเหล่า Undead มากมายที่นั่งลงอย่างสิ้นหวังเเละเสียสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังถูกเทพเจ้า Velka จับจ้องอยู่ห่างๆ   วิกฤติความมืดในครั้งนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก หนึ่งราชาละทิ้งหน้าที่แห่งราชวงศ์ หนึ่งอัศวินหมาป่าเสียสละแต่ล้มเหลว หนึ่งเทพเจ้าร่ำไห้เเละเบือนความจริง หนึ่งหญิงสาวหลับใหลชั่วนิรันดร์เพื่อยับยั้งความมืด  นำไปสู่การสูญสิ้นดวงตะวันแห่งเหล่าทวยเทพ จะมีก็แต่เจ้ามนุษย์ตัวจ่อยที่อาจหาญขึ้นท้าทายด้วยแรงศรัทธา อันก่อกำเนิดมาจากคำปลิ้นปล้อนของคนตาย     ( ภาพประกอบ : โถงทางเดินใน Undead Asylum ที่มีเเสงสว่างสลับกับความมืดไปจนสุดทางเดิน... )   คุยกันหลังเรื่องเล่า           ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด “ อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป ” ตอนแรกผมวางแผนว่าจะเขียนบทนี้ให้รวบยอดและเร่งเข้าเหตุการณ์ในตัวเกมให้เร็วที่สุด แต่ว่าหากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการข้ามเนื้อซึ่งเป็นเสน่ห์สำคัญของเกมๆนี้ไป และอาจทำให้ท่านผู้ชมไม่เข้าใจถึงแรงผลักดันต่างๆของตัวละครภายในเกม ดังนั้นเพื่อจัดวางเนื้อหาให้เป็นระเบียบมากขึ้นผมจะแบ่งการสรุปเนื้อหาออกเป็นสองส่วน ซึ่งก็คือ Main Quest หรือเนื้อเรื่องหลักที่ผมจะเขียนให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน และจากนั้นผมถึงจะค่อยหยิบเอาพวก Side Quests ที่มีเนื้อเรื่องรองออกมาสาธยายให้อ่านกันและรวมไปถึงฉากจบแบบต่างๆด้วย...แต่ว่าตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วผมจึงขอตัวลาทุกท่านไปก่อน สวัสดีครับ  
21 Jan 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 6 กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย
สวัสดีครับทุกท่าน!ขอต้อนรับเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่หก โดยในบทนี้เราจะมาสานต่อเรื่องราวหลังจากที่ Gwyn พ่ายแพ้ในการทำสงครามกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ยกทัพกลับไปยังเมืองหลวง Anor Londo เพื่อสะสางปัญหาภายในที่มันคาราคาซังมานาน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่หก “ กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สาม บทที่สี บทที่ห้า ความเสื่อมของอำนาจ                      นับเป็นเวลาหลายปีที่ Gwyn ได้ออกเดินทางไปทำสงครามยังดินแดนอันห่างไกล และได้ละทิ้งเมืองหลวง Anor Londo เอาไว้เบื้องหลัง โดยเขาได้แต่งตั้งให้โอรสคนแรกของตนที่มีศักดิ์เป็นถึง God of War ขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ในความเป็นจริงการเเต่งตั้งครั้งนี้มันเป็นเเค่การกลบเกลื่อนเหตุทะเลาะเบาะแวงกันในราชวงศ์ ซึ่งบานปลายจนทำให้โอรสคนแรกไม่ยอมไปออกรบจนส่งผลให้ Gwyn ต้องออกนำทัพไปสู้รบกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากที่เขาจากไปไม่นานเจ้าโอรสคนแรกก็หายตัวไปอย่างปริศนา เเละเปิดช่องให้พวกตัวเหลือบไรที่จ้องจะยึดอำนาจของ Gwyn ใช้โอกาสนี้ออกมาสร้างความวุ่นวายต่างๆนานาให้กับเหล่าเทพเจ้า โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกบฏทมิฬซึ่งถูกสนับสนุนอย่างลับๆโดยเทพเจ้า Velka  ทำให้ในตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo จะต้องระแวงทั้งศึกนอกและศึกในอยู่ตลอดเวลา    ( ภาพประกอบ : อสูรกาย Taurus คือปราการสำคัญในการป้องกันนคร Izalith จนทำให้ Gwyn พ่ายเเพ้ ) เเละหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากเจ้ามังกรวิปลาส Seath ที่เหิมเกริมใช้อํานาจบาดใหญ่อย่างไม่ไว้หน้าเทพเจ้า เนื่องจากในเมืองหลวง Anor Londo ตำเเหน่งที่ปรึกษาของมันจะเป็นรองแค่ต่อ Gwyn และโอรสคนแรกเพียงเท่านั้นซึ่งทั้งคู่ก็ไม่อยู่ในเมืองเเล้ว จึงทำให้ Seath อ้างคําสัญญาที่ Gwyn เคยให้ไว้กับมัน  และทำการทดลองเวทมนตร์ภายในครรภ์ของ Gwynevere จนนางตั้งท้อง และได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงคนหนึ่งที่เป็นเลือดผสมระหว่างมังกรและเทพเจ้าคนแรกของโลก นามของเธอก็คือเจ้าหญิงนอกรีต “ Priscilla ” โดยเธอมีผิวพันและใบหน้าที่คล้ายคลึงผู้เป็นแม่ แต่ทั่วร่างกายกลับมีขนสีขาวปกคุมและยังมีหางมังกรเหมือนกับผู้เป็นพ่อ แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูงดงามและไร้เดียงสาของเธอกลับซ่อนเร้นพลังที่มีความสามารถในการดูดกลืนชีวิตซึ่งคล้ายกับเหล่า Darkwraith และเธอยังมีความสามารถในการล่องหนหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ Priscilla กลายเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าทวยเทพไม่เว้นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดอย่าง Gwynevere ส่วนสำหรับ Seath มันก็มองว่าเธอเป็นแค่อีกหนึ่งผลการทดลองเท่านั้น...ในเมื่อโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการ Priscilla อีกแล้ว เธอจึงถูกส่งไปจองจำอยู่ในโลก Painted World of Ariamis อันหนาวเหน็บเเละมืดมิดตลอดกาล ( ภาพประกอบด้านซ้าย : ภาพ Concept Art ของ Priscilla ) ( ภาพประกอบด้านขวา : หน้าตาของ Priscilla ภายในเกม Dark Souls ภาคเเรก )                      อีกหนึ่งการทดลองที่ Seath ทุ่มเทเเรงกายเเรงใจเพื่อให้มันสำเร็จก็คือการทดลองที่มุ่งสู่ความเป็นอมตะ เพราะในอดีตมันเคยถูกเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันดูถูกและเหยียดหยามในความพิกลพิการที่ปราศจากความคงกระพันอันเป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกร ทำให้หลังจากนั้นมันก็ได้หมกมุ่นอยู่กับการทดลองสู่ความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เเละถึงแม้ในภายหลัง Seath จะค้นพบหนทางสู่ความเป็นอมตะได้สำเร็จ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยศีลธรรมในจิตใจที่บิดเบี้ยวอันเกิดมาจากการทดลองวิปริตนับครั้งไม่ถ้วน หากจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับตลกร้ายเพราะความเป็นอมตะที่ Seath ได้มา กลับทำให้มันต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนวิปลาสไปตลอดกาล  ( ภาพประกอบ : แท่ง Crystal อันล้ำค่าของ Seath ที่กักเก็บพลังความเป็นอมตะเอาไว้ )   คำทำนายของผู้ถูกเลือก                                   หลายปีมาแล้วที่ Gwyn  ได้ต่อสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก(แพ้) ประกอบกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น จึงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองหลวง Anor Londo โดยก่อนที่จะเข้าเมืองเขาก็ได้สั่งการให้พวก Black Knight ออกไปตั่งแคมป์ให้ห่างไกลจากตัวเมือง เพราะต้องการปิดบังพวกชุดเกราะที่ถูกเพลิง Chaos เผาไหม้จนกลายเป็นสีดําสนิท อันเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ ( ภาพประกอบ : Black Knight คือกองทัพหลักที่ Gwyn ใช้ในการต่อสู้กับเหล่าอสูรเเห่ง Izalith )  เมื่อเข้ามาถึงยังวังหลวงสิ่งแรกที่ Gwyn คาดหวังก็คือการได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีระบุรุษจากบรรดาบุตรของตน แต่ก็ต้องพบว่ามีเพียงแค่ Gwyndolin และ Gwynevere เท่านั้นที่ออกมาต้อนรับเขา และเมื่อถามไถ่จนรู้เรื่องราวทั้งหมด Gwyn ก็ถึงกับควันออกหู โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอมอยู่ปกป้องเมืองหลวง Anor Londo อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวล อีกทั้งยังมีข่าวลือหน่าหูจากพวก Warrior of Sunlight ว่าโอรสคนแรกไปมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิที่บูชามังกรนิรันดรอันเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับเทพเจ้า แต่ถึงจะโกรธเพียงใด Gwyn ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าลูกคนนี้นี่เเหละที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ เขาจึงได้ออกคำสั่งให้ตามหาตัวโอรสคนเเรกเเละพากลับมายังเมืองหลวง Anor Londo เเต่ก็หาไม่เจอ... ( ภาพประกอบ : Ash Lake สุสานร้างของเหล่ามังกรนิรันดร ลือกัน ว่าที่เเห่งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้โอรสคนเเรกมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป )  เรื่องที่เกิดขึ้นมันได้ทำให้ทั้งกายและใจของ Gwyn ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่สุดๆจนเรียกได้ว่าแทบจะหมดอาลัยตายอยากกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องทนเห็นอาณาจักร Lordran ของตนค่อยๆล้มสลายลง หรือบรรดาคนใกล้ชิดที่ทยอยกันตีตัวออกห่างจากเขา ด้วยความสิ้นหวังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงทำให้ Gwyn ได้ตัดสิ้นใจใช้วิธีสุดท้าย... วิธีซึ่งต้องแลกมาด้วยวิญญาณของตัวเองด้วยการอุทิศ Lord Soul หรือมหาดวงวิญญาณทวายเข้าเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต่ออายุให้กับ The First Flame นั่นจะเป็นการยืดเวลาของยุคแห่งไฟออกไปสักพักซึ่ง Gwyn ก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้มันไม่มีทางยั่งยืน เขาจึงได้ลงมือวางแผนครั้งสุดท้าย แผนการที่จะกลายเป็น “บาปแรก” ที่วันหนึ่งจะนำความพินาศมาสู่โลกของเขาเสียเอง Gwyn ได้เรียกตัวเหล่าบริวารทั้งหมดที่ยังคงภักดีต่อเขามาเข้าเฝ้าและหาลือในแผนการใหญ่ครั้งนี้ และหลังจากหาลืออยู่หลายวัน Gwyn ก็ได้แผนการที่มีชื่อว่า “ผู้ถูกเลือก” ขึ้นมา โดย Gwyn เริ่มจากให้นักบวชของ Way of White ออกป่าวประกาศไปทั่วทุกดินแดนว่าเขาจะเป็นผู้ที่เสียสละและยอมอุทิศ Lord Soul ภายในกายเป็นเชื้อเพลิงมอบแด่ The First Flame เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัยจากความมืดมิด จากนั้นก็อุปโลกน์คำทำนายว่า “หากวันใดก็ตามที่ความมืดย่างกรายกลับคืนมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีผู้ถูกเลือกทำหน้าที่ต่ออายุของ The First Flame เฉกเช่นที่ Gwyn เคยทำ” ซึ่งนี้จะถือเป็นการได้รับเกียรติที่สูงที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีได้ (ตอแหลสุดๆ...) แต่ประเด็นสำคัญก็คือการที่คนๆหนึ่งจะเป็นผู้ถูกเลือกได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย และต่อให้กลายเป็นผู้ถูกเลือกได้แล้วคนๆนั้นก็ต้องไปตามล่า Lord Soul จากเหล่าบรรดา Lord ตนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่มดแห่ง Izalith และจ้าวแห่งความตาย Nito …. ยังไม่หมด! ผู้ที่ถูกเลือกจำเป็นจะต้องไปสังหาร Four Kings เพื่อช่วงชิงเศษเสี้ยว Lord Soul ของ Gwyn กลับคืนมา และยังไปต้องสังหาร Seath เพื่อเก็บเอาดวงวิญญาณของมังกรนิรันดรมาด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มพลัง Soul ของผู้ถูกเลือกให้แข็งแกร่งมากพอที่จะต่ออายุของ The First Flame ได้  อันที่จริงหากเราลองมาคิดดูดีๆ ก็จะเห็นว่ารายชื่อพวกนีัทั้งหมดถ้าไม่ใช่ศัตรูของ Gwyn ก็เป็นพวกหอกข้างแคร่ของเทพเจ้าทั้งนั้น สรุปง่ายๆก็คือ Gwyn หลอกใช้ผู้ถูกเลือกให้ไปกำจัดเสี้ยนหนามและศัตรูไปพร้อมๆกับต่ออายุของ The First Flame นั่นเอง ( ภาพประกอบ : Soul คือพลังวิญญาณที่จะทำให้ผู้ครอบครองเเข็งเเกร่งยิ่งขึ้น ทำให้ในช่วงที่เศรษฐกิจล่มสลาย Soul จึงถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางการเเลกเปลี่ยนเเทนเหรียญกษาปณ์ )                      หลังจากที่คำทำนายแพร่สะพัดออกไป เหล่าบรรดามนุษย์ที่เป็น Undead ก็ต่างกลับมามีหวังที่จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในทางกลับกันคำทำนายนี้ก็เหมือนกับบอกให้ศัตรูของ Gwyn เตรียมตัวรับมือศึกที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างเช่นพวกอสูรแห่ง Izalith ที่เมื่อรู้ถึงคำทำนายก็ได้ส่งเหล่าอสูรบางส่วนขึ้นไปบนผิวโลกเพื่อขัดขวางทุกคนที่ต้องการทำตามคำทำนายนี้ หรือจะเป็นเจ้าอสรพิษเจ้าเล่ห์ Kaathe ที่จ้องจะปั่นหัวผู้ถูกเลือกให้มีความคิดทรยศต่อเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ Gwyn จึงต้องทำให้มั่นใจว่าคนที่จะถือครอง Lord Soul และจะเข้าไปถึง The First Flame  ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าไว้ใจและคัดสันมาแล้วเท่านั้น Gwyn จึงได้สร้างอุปกรณ์ทรงพลังชิ้นหนึ่งขึ้นที่เรียกว่า Lordvessel ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการดึงพลังของ The First Flame ออกมาใช้งานได้สารพัดประโยชน์ เช่นใช้ในการสร้างม่านพลังวิเศษเพื่อปิดกั้นเส้นทางต่างๆได้ Gwyn จึงได้ใช้ความสามารถนี้สร้างม่านพลังขึ้นมาผนึกเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังรังของ Seath, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้และมีเเต่คนที่เทพเจ้าเห็นว่าคู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับ Lordvessel เพื่อใช้เป็นกุญแจปลดผนึกเส้นทางนั้นๆได้ ( ภาพประกอบ : Lordvessel ยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อ Bonfire จากทุกสถานที่และทุกช่วงเวลาเข้าด้วยกัน )              เมื่อการเผยแพร่คำทำนายประสบความสำเร็จ Gwyn ก็ได้เรียกตัวบรรดาลูกๆที่เหลือเข้ามาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย โดยเขาได้แต่งตั้งให้ลูกสาวคนโตอย่าง Gwynevere ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราวในระหว่างที่รอให้โอรสคนเเรกกลับมาปกครองดูแลเมืองหลวง Anor Londo แต่ถ้าหากโอรสคนเเรกยังคงดื้อดึงไม่ทำตาม Gwyn ก็อนุญาตให้ขับไล่ออกจากราชวงศ์ เรียกได้ว่าตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย! ส่วน Gwyndolin เขาได้กำชับให้ทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาผู้เป็นพี่สาวอยู่เบื้องหลัง เนื่องมาจาก Gwynevere ไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องการเมืองเท่าไรนัก เเ ส่วนด้านความมั่นคง Gwyn ก็ได้เรียกตัวเหล่า Silver Knight และทหารทั้งหมดให้กลับมาปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ช่วงเวลาอันหอมหวานในอำนาจของ Gwyn มันกำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาได้นำกำลังเหล่า Black Knight ออกเดินทางไปยัง Kiln of the First Flame ซึ่งถูกสร้างโดย Lord ทั้งสามตนในสมัยที่ยังทำสงครามมังกรร่สมกันเพื่อกักเก็บพลังของ The First Flame เอาไว้ข้างใน เมื่อเข้ามาถึง Gwyn ก็ได้นั่งลงและจ้องมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย กองไฟที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา  และวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะมอบกลับคืนให้กับมัน... บรรยากาศโดยรอบเริ่มค่อยๆเงียบสงัดลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆหรี่ลงๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุนเพียงเพื่อเฝ้ารอการตัดสินใจของมหาเทพคนนี้ ทุกคนต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดเเต่ปราศจากหมู่ดาว นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า The First Flame ได้ตายลงแล้ว! ทั่วโลกต่างเกิดความวุ่นวายขึ้น บ้างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวบ้างก็ยอมรับชะตากรรมที่กำลังมาถึง การหายไปของแสงสว่างยังทำให้แม้แต่โอรสคนแรกก็ยังต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อเฝ้ามองแสงสุดท้ายที่กำลังจะลับหาย ณ ปลายขอบฟ้า แต่ฉับพลันอยู่ดีๆก็บังเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นแสงสว่างจากการระเบิดได้สาดส่องไปทั่วผืนปฐพีราวกับรุ่งสาง และเมื่อมองไปบนฝากฟ้าก็จะได้เห็นดวงตะวันลอยสุกสว่างตั้งตระหง่าน สิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้เพราะว่า Gwyn ยอมสละตัวเองให้กับ The First Flame เหล่าผู้คนที่เคยหวาดกลัวกลับลุกขึ้นและโห่ร้องยินดีพร้อมกับเอยสรรเสริญเทพเจ้า Gwyn ว่าเป็นผู้ช่วยให้โลกพ้นจากการล่มสลาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายในเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะต่างก็รู่ดีว่านี่มันเป็นแค่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ! ( ภาพประกอบ : สภาพของ Kiln of The First Flame หลังจากที่ Gwyn อุทิศตัวเองให้กับไฟ )                      การอุทิศตัวเองของ Gwyn ได้ทำให้วิญญาณของเขาถูกเผาไหม้จนสูญสลายไป และคงเหลือเอาไว้เพียงร่างกายที่ไร้สติคอยเดินวนเวียนไปมารอบ The First Flame ส่วนบริเวณโดยรอบต่างถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านจำมหาศาลล่องลอยไปตามท้องฟ้าและปกคลุมล้อมรอบ Kiln of The First Flame ด้านพวก Black Knight ที่ติดตามมาด้วยเมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้วก็ต่างออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าระวังภัยจากภายนอกให้แก่เหล่าเทพเจ้า เหลือไว้ไม่กี่คนเพื่อเป็นบททดสอบสุดท้ายให้แก่ผู้ถูกเลือก หลังจากที่โลกรอดพ้นวิกฤติมาได้แบบฉิวเฉียด เหล่าเทพเจ้าก็อวดอ้างความสำเร็จของ Gwyn และจัดพิธีศพอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาด้วยการสร้างโลงศพเปล่าขนาดมหึมาเพื่อเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี จากนั้นยังได้ยกย่องให้ Gwyn กลายเป็น “ Lord of  Cinder ” หรือจ้าวแห่งปฐมเพลิงคนแรกของโลก ภายในพิธีศพมีผู้คนจากทั่วทุกดินแดนแห่แหนกันมาเข้าร่วมพิธีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม้แต่ลูกอกตัญญูอย่างโอรสคนแรกก็ยังกลับมาร่วมพิธีศพเช่นกัน แต่พอ Gwynevere และ Gwyndolin พูดถึงเรื่องการสืบราชบัลลังก์เขาก็ได้เเต่อ้างว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าจะต้องไปทำเเละเเม้จะขอร้องมากเเค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว จนสุดท้าย Gwyndolin ทนไม่ไหวจึงหยิบเอาคำสั่งไม้ตายที่ Gwyn เคยให้ไว้ออกมาข่มขู่ผู้เป็นพี่ชาย เเต่โอรสคนแรกกลับตอบว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย ราชบัลลังก์มันก็เป็นแค่ภาพมายาและเป็นการเเสดงออกถึงความดื้อรั้นในการรักษาอำนาจ ตัวเขาจะไม่ยอมแบกรับคำโกหกของผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดขาด! ( ภาพประกอบ : ในภาพคืออาวุธที่ถูกร่ายด้วยเวทมนตร์ Sunlight Blade ซึ่งโอรสคนเเรกได้ทิ้งเอาไว้เพื่อเป็นคำบอกลา Gwyn เป็นครั้งสุดท้าย ) ก่อนที่จะจากไปเขาก็ยังได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายเพื่อเตือนสติน้องๆทั้งสองคน ว่าควรจะเลิกตามรอยโชคชะตาที่ผู้เป็นพ่อได้กำหนดเอาไว้ให้ จงอย่าได้เป็นเหมือนเขาที่เคยถูกฝังความคิดให้หลงเข่นฆ่าเหล่ามังกรนิรันดรแบบไม่มีเหตุผล เมื่อพูดจบเขาก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง Anor Londo ทันทีและไม่เคยย้อนกลับมาเหยียบยังเมืองนี้อีกเลย  คำพูดที่เขาทิ้งไว้ดูเหมือนจะไปสะกิดใจ Gwynevere ให้เริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่สำหรับ Gwyndolin มันก็คือการทรยศต่อผู้เป็นพ่อ...ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง Gwyndolin จึงได้ออกคำสั่งผ่านพี่สาวให้ขับไล่เเละลบจารึกการมีตัวตนอยู่ของโอรสคนเเรกออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนพวก Warrior of Sunlight ซึ่งบูชาและนับถือโอรสคนแรกก็ถูกบังคับให้ละทิ้งความเชื่อ ส่วนพวกสิ่งของต่างๆที่เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของโอรสคนแรกก็ล้วนแต่ถูกทำลายจนหมดสิ้น บีบให้เหล่าสาวกต้องแอบบูชาอยู่ในเงามืดและเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ Nameless King ” หรือกษัตริย์ไร้นามเป็นข้อความลับเพื่อใช้กล่าวแทนชื่อของโอรสคนแรก ( ภาพประกอบ : ในอดีต ณ สถานที่เเห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งรูปปั้นของ Nameless King ให้กับเหล่าสาวกได้เคารพบูชา )   ยุคเเห่งไฟที่ไม่มีวันหวนคืน                      หลังจากที่ Gwyn ได้เสียสละเพื่อให้แสงสว่างกลับคืนมาสู่โลกนี้อีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาในตัวมนุษย์มีต่อเทพเจ้าซึ่งหากมองอย่างผิวเผินก็อาจจะดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นแต่ติดตรงที่สองในสามของผู้ที่ศรัทธาล้วนแต่เป็นคนที่อาศัยอยู่นอกดินแดน Lordran เกือบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เมืองหลวง Anor Londo ก็ยังคงไม่ปลอดภัยและอาจสามารถถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ เเละไหนจะการเสื่อมลงของอำนาจปกครองอีก เพราะในอดีต Gwyn จะคอยเข้าไปดูเเลเเละกำกับการปกครองทั้งหมดจะอย่างใกล้ชิดจนเรียกได้ว่าเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆเรื่อง ซึ่งข้อดีก็คือมันจะทำให้อาณาจักรเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน แต่หากวันใดวันหนึ่งที่คนสั่งการไม่อยู่แล้วละก็ฐานอำนาจก็จะเกิดความสั่นคลอนและพังลงได้อย่างง่ายดาย (ตัวอย่างเช่นตอนที่ Gwyn ออกไปสู้รบกับอสูรแห่ง Izalith จนเกิดความวุ่นวายภายใน) แม้แต่องค์กรใหญ่ๆอย่าง Way of White และ Silver Knight ก็ยังเริ่มแต่งตั้งให้มนุษย์เข้ามารับตำแหน่งระดับสูงในองค์กรเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่เหล่าทวยเทพที่มักจะวุ่นอยู่กับปัญหาความมั่นคงและต้องมานั่งเฟ้นหาผู้ถูกเลือกตามคำทำนายอีก(น่าปวดหัวจริงๆ) ( ภาพประกอบ : Andre คือมนุษย์ที่เป็น Undead จึงทำให้เขาสามารถทำในงานที่ตนเองรักไปได้ตลอดกาล ) ทางด้านสังคมของมนุษย์ เหล่า Undead ที่ก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ร่ำร้องว่าอยากจะตายเพื่อให้หลุดพ้นจาก Curse of Undead เสียเหลือเกิน แต่พอเอาเข้าจริงๆเมื่อมนุษย์กลับมาตายได้อีกครั้งหนึ่ง คนเหล่านั้นกลับกลืนน้ำลายตัวเองและไม่ยอมตาย นั่นก็เพราะว่าการเป็น Undead ในยุคแห่งไฟจะทำให้ร่างกายจะไม่เข้าสู่ภาวะ Hollow อีกต่อไปเเละส่งผลให้พวก Undead สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆตามที่ต้องการ จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้มนุษย์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องการเมืองการปกครองอย่างช้าๆ เเม้เเต่ป้อมปราการหลายแห่งใน Lordran ที่ในอดีตเคยถูกใช้เพื่อสอดเเนมพฤติกรรมของเหล่ามนุษย์ มาตอนนี้กลับถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขตของมนุษย์ไปเสียแล้ว ( ภาพประกอบ : Undead Burg เป็นอีกหนึ่งที่ซึ่งถูกมนุษย์เข้ายึดครองหลังจากการเสื่อมอำนาจของเทพเจ้า ) ความเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นใยังส่งผลให้เหล่าบรรดา Lords ตนอื่นๆเริ่มมีปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นจ้าวแห่งความตาย Nito ที่แม้จะถูก Lordvessel ผนึกทางเข้าออกเอาไว้ก็ตาม แต่เขาก็ยังดั้นด้นหาวิธีจนสามารถส่งเหล่าสมุนบางส่วนออกมาได้ โดยสมุนพวกนี้จะเรียกตัวเองว่า Gravelord Servant หรือผู้รับใช้จ้าวแห่งความตายที่จะคอยออกตามล่าเหล่า Undead ที่พยายามโกงความตาย ( ภาพประกอบ : Eye of Death เป็นเครื่องรางที่เหล่า Gravelord Servant มักจะพกติดตัวกัน ) ส่วนทางด้านแม่มดแห่ง Izalith หลังจากถูกผนึกทางเข้าออกเอาไว้ นางก็ได้ถูกตัดขาดออกจากกองทัพอสูร ซึ่งในบรรดาพวกนั้นก็มีลูกสาวสองคนของนางนามว่า Quelaag และ Quelaan ที่ติดอยู่ภายใต้พื้นดินใกล้กับบริเวณทะเลสาบพิษ The Great Swamp และไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าไปยังนคร Izalith ได้ ทั้งสองจึงได้ตัดสินใจนำเหล่าอสูรที่เหลืออยู่บุกเข้ายึดป้อมปราการร้างแห่งหนึ่งซึ่งใจกลางสถานที่นี้มีระฆังใบใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ โดยมันเคยถูกใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนถึงการรุกรานจากเหล่าอสูร ( ภาพประกอบ : ภายหลังระฆังนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบ สำหรับผู้ถูกเลือกเเละจะถูกเรียกว่า Bell of Awakening ) หลังจากเข้ายึดป้อมปราการเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็ดำเนินการสะสมกองกำลังอสูรให้เพิ่มมากขึ้น แต่ทว่าวิธีการเดิมๆอย่างการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นอสูรนั่น กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ The Great Swamp แทบจะไม่มีมนุษย์เดินทางผ่านเข้ามาอีกแล้วเเละยิ่งหลังจากที่ Gwyn ถอนกำลังรบออกไป ทะเลสาบพิษแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไปโดยปริยาย ดังนั้น Quelaan จึงใช้วิธีแบ่งเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของตัวเองและแปลเปลี่ยนมันออกมาเป็นไข่อสูรหลายร้อยใบที่รอวันฟักตัวออกมาเป็นกองทัพอสูร เพื่อเตรียมตัวสำหรับการมาเยือนของเหล่าผู้ถูกเลือกที่หมายมั่นจะช่วงชิงดวงวิญญาณ Lord Soul ของผู้เป็นมารดา เเต่เมื่อเวลาผ่านไข่หลายฟองของนางกลับค่อยๆตายลงตาม Soul ในร่างที่ค่อยๆน้อยลง ทำให้ Quelaan เลือกใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อว่านางจะดูดซับพิษร้ายออกจากร่างของใครก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากพิษใน The Great Swamp เพื่อหลอกล่อให้คนเหล่านั้นเข้ามายังรังของนางเเละจะถูกนำตัวไปกระทำการบางอย่างที่วิปริตยิ่งกว่าการกลายสภาพเป็นอสูร... ( ภาพประกอบ : เส้นทางที่ถูกผนึกเอาไว้ของนคร Izalith คนที่จะผ่านไปได้จะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าเลือกมาเเล้วเท่านั้น )                      ในยุคสมัยนี้ดูเหมือนว่าสายลมแห่งความเงียบสงบได้กำลังพัดผ่านโลกทั้งใบที่เหน็ดเหนื่อยล้าจากการมาถึงของยุคมืดเเละกลายเป็นช่วงเวลาฟ้าหลังฝนที่สงบสุขยาวนานนับพันปี หลายอารยธรรมก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่จนยิ่งใหญ่เเเละรุ่งเรือง และหลายอารยธรรมก็ล่มสลายหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนเเปลงก็คือ  “วันหนึ่งแสงแห่งเพลิงจะมอดดับลง และโลกจะคงเหลือไว้เพียงความมืดมิดชั่วนิรันดร์”   คุยกันหลังเรื่องเล่า                      ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 6 “ กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย ” ผมต้องขอบอกเลยว่าในบทนี้ผมพยายามที่จะขมวดปมต่างๆในเรื่องให้มากที่สุด เพื่อที่จะเร่งนำท่านผู้ชมเข้าสู่ยุคสมัยที่เป็นเหตุการณ์ในเกมให้เร็วที่สุด โดยยังคงไว้ซึ่งสาระที่สำคัญที่จำเป็นต้องทราบ  เราทุกคนต่างก็เคยเห็นตัวละครนักวิทยาศาสตร์สติเฟืองใน Plot ของเกมยอดฮิตหลายๆเกม แต่รู้หรือไม่ว่ามันก็มีเค้าความเป็นจริงอยู่บ้างเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นพวกยารักษาหรือผลิตภัณฑ์ทางเคมีต่างๆก่อนที่จะนำไปใช้กับมนุษย์ก็จะถูกนำทดสอบเพื่อหาผลข้างเคียงในสัตว์เสียก่อน (หนูทดลอง) เเถมในช่วงเวลาสงครามก็เคยมีการทดลองที่วิปริตสุดๆกับมนุษย์เช่นกัน.... เอาเป็นว่าในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่าคำทำนายของผู้ถูกเลือกที่ Gwyn ทิ้งเอาไว้ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน ( ภาพประกอบ : เเผ่นหลังของผู้ถูกเลือกซึ่งจะเป็นผู้ที่เเบกรับคำโกหกของ Gwyn เอาไว้ )  
02 Jan 2020
บทสรุป Dark Souls ตำนานของเกมบทที่ 5 “อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า ความเดิมในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่ The First Flame ได้อ่อนกำลังลง อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายน้อยใหญ่ทั่วปฐพี ไม่ว่าจะเป็น Curse of Undead ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดศาสนาอย่าง Way of White ขึ้นมา, หรือการก่อกบฏที่เกือบจะทำให้ Gwyn ต้องสูญเสียอาญาจักรที่สุดรักสุดหวงของเขา โดยในบทนี้ผมจะมาเล่าตำนานของวีรบุรุษผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อเข้าต่อสู้กับ The Abyss อันเป็นขุมพลังเเห่งความมืดไร้จุดจบ.... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอต้อนรับท่านผู้ชมเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  1. บทที่หนึ่ง 2. บทที่สอง 3. บทที่สาม 4. บทที่สี่   มหานครแห่งการจองจำ Ringed City ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn  ( ภาพประกอบ : บรรยากาศของ Ringed City ภายในเกม ) เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้  ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Repair หนึ่งในของดีเมือง Oolacile )                 Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง ( ภาพประกอบ : Judicator มีพลังในการเรียกวิญาณของสมาชิก Spear of the Church มาเพื่อใช้ต่อสู้ได้ชั่วคราว ) แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น ( ภาพประกอบ : Ringed City ถูกออกเเบบมาให้สามารถเฝ้าดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords ได้จากทุกมุมเมือง ) เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว ) ( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Mad King ถูกตรึงเข้ากับอาวุธในขณะทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปเกิดใหม่ ) ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน ( ภาพประกอบ : Midir ต้องต่อสู้กับความมืดอยู่ตลอกเวลา จนได้รับฉายาว่า Darkeater หรือผู้ดื่มกินความมืด ) ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile   นครสีทอง Oolacile กับเมืองคนตาย New Londo เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น ( ภาพประกอบ : หน้าตาอันหล่อเหลาของ Kaathe อสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ ) เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะ;jkประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง ( ภาพประกอบ : Dark Hand เป็นอาวุธเดียวในเกมที่ให้เราสามารถขโมย Humanity จากผู้เล่นคนอื่นได้ )                 เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น ( ภาพประกอบ : วิวระยะไกลของลานประลองในเมือง Oolacile ) ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง ( ภาพประกอบ : Ciaran คือมือสังหารที่คอยทำงานสกปรกให้กับ Gwyn ) ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล… Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่ ( ภาพประกอบ : Darkwraith คือนักรบที่ยอมรับพลังเเห่งความมืด ) เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Humanity บริสุทธิ์ที่มีความคิดเเละสติปัญญาเป็นของตนเอง ) ( ภาพประกอบด้านขวา : ประชากรในเมือง Oolacile ที่กลายร่างเป็นปีศาจ ) ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา ( ภาพประกอบ : นคร Oolacile ที่ได้ถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้ว ) การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”   วีรบุรุษ Artorias… ก่อนหน้านี้ข่าวการจู่โจมของนักรบ Darkwraith เพื่อขโมย Humanity มันยังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะมันก็ไม่ต่างกับอาชญากรรมทั่วไปที่เกิดขึ้นในดินแดน Lordran แต่การปรากฏขึ้นของ The Abyss ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ Gwyn จึงต้องส่งอัศวิน Artorias พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามคนให้ออกเดินทางไปยังเมือง New Londo เเละนคร Oolacile เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ( ภาพประกอบ : Artorias มีอาวุธคู่กายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มือซ้าย และมีโล่คอยป้องกันการโจมตีที่มือขวา ) เมื่อ Artorias เดินทางมาถึงยังเมือง New Londo เขาก็ต้องพบว่า Darkwraith ได้แฝงตัวกลมกลืนไปกับเหล่าผู้คนในเมืองเเห่งนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่ากันแน่ที่เป็นผู้บูชาความมืด เเละเมื่อ Artorias ขอเข้าเฝ้าเหล่า Four Kings ก็ถูกบอกปัดจนปฏิเสธไปจนไม่ได้เข้าเฝ้าสักที นั่นทำให้อศวินหนุ่มผู้นี้เริ่มคิดว่า Four Kings ก็รู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ เมื่อไม่มีความคืบหน้าเหล่าผู้ติดตามของ Artorias ก็ได้แนะนำให้เขาออกเดินทางล่วงหน้าไปยังนคร Oolacile ก่อนเลย ส่วนทางนี้พวกตนจะคอยสืบหาต้นต่อของความมืดเอง ทำให้อัศวินหนุ่มผู้นี้ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่ง เเต่ตลอดการเดินทางครั้งนี้ Artorias จะต้องปะทะกับสัตว์ป่าที่ถูก The Abyss กลืนกินไปตลอดทาง และเขายังได้ช่วยชีวิตของลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งเอาไว้ เเต่เเทนที่มันจะวิ่งหนีกลับเข้าป่าไปตามสัญชาตญาณมันกลับเดินตามเขาไปทุกหนทุกเเห่ง แม้แต่ในเวลาที่ Artorias ต่อสู้มันก็จะคอยจ้องมองอยู่ห่างๆราวกับว่ากำลังเรียนรู้เพลงดาบของเขาก็ไม่ปาน Artorias จึงตั้งชื่อให้กับมันว่า “ เจ้าขนเงิน Sif ” ( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนึ่งในผู้ติดตามของ Artorias นามว่า Ingward ) ( ภาพประกอบด้านขวา : สัตว์ป่าในบริเวณเมือง Oolacile ที่ถูกความมืดกลืนกิน ) ยิ่ง Artorias เดินทางเข้าไปใกล้เมือง Oolacile ก็ยิ่งมีปีศาจโผล่หน้าออกมาไม่ขาดสาย ทำให้การเดินทางเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ในวันหนึ่งขณะที่ Artorias กับ Sif กำลังต่อสู่อยู่กับฝูงปีศาจเหมือนอย่างทุกวัน อยู่ๆก็มีลูกธนูขนาดยักษ์ลอยพุ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจเหล่านั้น Artorias รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นฝีมือของ Gough ยักษาผู้เป็นสหายเก่าของเขานั่นเอง Gough เป็นหนึ่งในขุนพลที่มีอายุมากที่สุดของ Gwyn เเละยังได้รับใช้เหล่าเทพเจ้ามาตั้งแต่ในยุคของสงครามมังกร โดยหน้าที่ของเขาก็คือการยิงธนูขนาดยักษ์ใส่พวกมังกรเพื่อให้มันตกจากฟากฟ้า เเต่หลังจากสงครามมังกรสิ้นสุดลงบทบาทเเละหน้าที่ของเขาก็ค่อยๆลดลงตามไปด้วย จนสุดท้าย Gough ได้ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากสนามรบเเต่ทว่า Gwyn ก็ยังรู้สึกเสียดายฝีมือของเจ้ายักษ์อยู่ จึงให้ Gough ไปประจำอยู่ที่เมือง Oolacile เเต่ทว่าผู้คนในเมืองกลับไม่ชอบใจเสียเท่าไร เพราะ Gough มีนิสัยบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกยักษ์มาเเต่เดิม ซึ่งก็คือการเป็นคนตรงไปตรงมา, คิดยังไงก็เเสดงออกมายังงั้น เเถมพวกยักษ์ยังมีสติปัญญาที่เชื่องช้าเข้าขั้นซื่อ(บื้อ) ทำให้เขามักจะมีปัญหากับคนบางจำพวกในเมือง Oolacile อยู่เป็นประจำโดยเฉพาะกับพวกนักเวทย์เเห่ง Oolacile ที่เเอบทำการทดลองความเเห่งมืด เเต่ด้วยพละกำลังที่มากกว่าของ Gough ทำให้คนพวกนั้นต้องจำยอมเขาอยู่ร่ำไป ( ภาพประกอบ : Hawkeye Gough นักล่ามังกรด้วยธนูที่เก่งที่สุดของ Gwyn เเละเขามีประสาทหูที่ดีสุดๆ ) จนกระทั่งในขณะที่ Gough กำลังหลับลึกอยู่ ก็ได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเเอบเอารากไม้ไปอุดรูที่ดวงตาในหมวกเหล็กของเขา เเละหลอกว่า Gough ป่วยจนมองไม่เห็น ( เเละพี่เเกก็บ้าจี้เชื่อตาม ) มิหน้ำซ้ำพวกมันยังหลอกว่าจะสร้างหอคอยให้กับเขาเพื่อความปลอดภัย เเต่ความเป็นจริงพวกมันได้สร้างคุกขึ้นมารอบๆตัว Gough เพื่อขังลืมเขาเอาไว้ นานๆทีถึงจะมีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนเขาเป็นครั้งคราว...เเต่เขาก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ Gough มีกิจกรรมในยามว่างก็คือ การใช้หิน Carving ที่เมื่อตกเเตกเเล้วจะส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ โยนใส่ผู้คนตามที่ต่างๆในเมืองเพื่อเเกล้งให้ตกใจ เเม้ต่อมาภายหลัง The Abyss จะเข้ากลืนกินนคร Oolacile ไปเเล้วก็ตาม เเต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเเหกคุกออกไปเเต่อย่างใด ว่ากันว่าเป็นเพราะตัวเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้ที่ปราศจากเหล่ามังกรนิรันดรอย่างในอดีต ( ภาพประกอบ : หิน Carving เป็นหินที่เมื่อเเตกออกจะส่งเสียงเป็นภาษาได้ เป็นของที่ผู้เล่น PVP ใช้เยาะเย้ยกัน )                 เมื่อ Artorias เดินทางไปถึงยังหอคอยที่คุมขัง Gough เอาไว้เขาก็ต้องพบว่าประตูทางเข้าถูกผนึกเอาไว้ด้วยเวทยมนต์ทำให้เปิดไม่ออก เเต่ Gough ก็บอกกับเขาว่านั่นไม่จำเป็นเพราะตนก็ไม่ได้อยากจะออกไปจากที่นี่อยู่เเล้ว เเต่ Gough ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนคร Oolacile ทั้งหมดให้ Artorias ฟังเเละยังเตือนสหายว่า The Abyss ที่อยู่ใต้ดินของนครเเห่งทรงพลังมาก เเม้เเต่มังกรดำ Kalameet ก็ยังถูกกลืนกินเเละออกอาละวาดไปทั่วดินเเดนนี้ ฉะนั้น Artorias จะเดินดุ่มๆลงไปยัง The Abyss ไม่ได้ ( ภาพประกอบ : Kalameet เป็นหนึ่งในมังกรนิรันดรที่เคยเเอบซ่อนอยู่ใต้ดินใกล้เมือง Oolacile ) หลังจากอัศวินหนุ่มทราบเรื่องนี้เขาก็ได้เเต่ครุ่นคิดหาหนทางทีจะลงไปยัง The Abyss ให้ได้ จนสุดท้าย Artorias ก็ได้พบกับ Kaathe ที่คอยจับจ้องเขามานานเเล้ว มันได้เข้ามาเสนอสิ้นค้าซึ่งเป็นแหวนที่จะช่วยให้ Artorias ลงไปยัง The Abyss ได้โดยไม่ถูกกลืนกิน...เเละแม้ว่า Artorias จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าอสรพิษตัวนี้เท่าไรแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องยินยอมสวมเเหวนของมัน ( บางครั้งหากเราอยากจะกำจัดความมืด เราอาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งของมันเสียก่อน ) ส่วนแรงจูงใจที่มันเลือกจะช่วย Artorias ก็เพราะกลัวว่าพลังความมืดของ Manus จะไปกระตุ้น The Abyss ในเมือง New Londo จนบ้าคลั่งตามไปด้วย เเละต่อให้ Artorias จะไม่สำเร็จมันก็ยังเป็นการตัดกำลังสำคัญของ Gwyn ไปในตัวอยู่ดี ( ภาพประกอบ : Covenant of Artorias เป็นเเหวนที่ต่อมาจะกลายเป็นเครื่องรางที่บอกเล่าวีรกรรมของ Artorias ) ในขณะที่ Artorias กำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปลุยกับ Manus เขาก็สังเดตว่า Sif ยังคงเดินตามเขาอยู่ไม่ห่าง เเม้จะไล่สักกี่ Sif ก็ไม่ยอมไปไหนราวกับว่ามันจะขอติดตาม Artorias ไปทุกหนทุกแห่งแม้จะต้องลุยผ่านความมืดไปด้วยก็ตาม เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น Artorias จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย เเละก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความมืดเพื่อกำราบ The Abyss... วีรกรรมที่ห้าวหาญของเขาถูกบอกเล่าส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น บางก็เเต่งเสริมเติมแต่งให้ฟังดูอลังการเหนือความเป็นจริง บางก็บอกว่าเป็นเพียงแค่นิทานปรัมปรา แต่ที่แน่ๆเรื่องราวของ Artorias ผู้พิชิตความมืดได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจเเก่คนรุ่นหลังที่อยากจะลุกขึ้นต่อสู้กับความมืด...ต่อสู้กับ The Abyss... ( ภาพประกอบ : รูปร่างของ Manus, ชื่อนี้ยังมีความหมายว่า”มือ” อีกทั้งยังเป็นชื่อเรียกกฏหมายโรมันโบราณที่เกี่ยวข้องกับสามีเเละภรรยา ) กลับมายังสถานการณ์ของ Gwyn เขาได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับไปยังนคร Anor Londo พร้อมกับสร้างเรื่องว่าตนได้มีชัยเหนือเหล่าอสูรเเห่ง Izalith ทั้งที่จริงเขาทำได้เเค่ตรึงกำลังของเหล่าอสูรเเห่ง Izalith เอาไว้เท่านั้น ส่วนข่าวเรื่องที่ว่า Artorias สามารถทำลาย The Abyss ใน Oolacile ลงได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน เเต่ก็ยังคงเหลือพวก Four Kings กับ Darkwraith ซึ่งยังลอยนวลอยู่ในเมือง New Londo โดยเรื่องนี้ได้ทำให้ Gwyn โกรธสุดๆเพราะว่าในอดีต Gwyn เคยเเบ่ง Soul ที่ทรงพลังของตนเองให้กับเหล่า Four Kings เพื่อเป็นสัญญาใจเเห่งความภักดี เเต่นี่พวกมันกลับมาหักหลังเขาเสียได้ Gwyn จึงได้รับสั่งให้ผู้ติดตามของ Artorias ที่อยู่ในเมือง New Londo ลักลอบเข้าไปปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไหลทะลักเข้าสู่เมือง New Londo ทำให้ทั้งเด็ก, ผู้หญิง, คนแก่ และอีกหลายพันชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมืดต้องจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนที่เหลือรอดเเละพยายามจะว่ายน้ำมายังริมฝั่งก็จะถูก Silver Knight สังหารไปเรื่อยๆ วนไปมาจนกว่าจะกลายเป็น Hollow และตายสนิท ( ในเมื่อเลี้ยงไม่เชื่องมันก็ต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นธรรมดา ) การสังเวยทั้งเมืองเพื่อยับยั้งความมืดในครั้งนี้ได้สร้างคำครหาให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ Gwyn ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องหยุมหยิมอีกเเล้ว เขาไม่เลือกวิธีการอีกต่อ...ไม่ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใดหรือจะทำให้ชื่อเสียงต้องเน่าเหม็นฉาวโฉ่แค่ไหน Gwyn จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักร Lordran ของเขาคงอยู่ต่อไป แม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองก็ตาม… ( ภาพประกอบ : สภาพของเมือง New Londo หลังจากถูกน้ำท่วม ) คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 5 “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” ในบทนี้ผมจำเป็นต้องนำเอาเนื้อหาของเกมภาคสามมาช่วยปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งความท้าทายมากที่สุดของบทนี้ก็คือการต้องเรียบเรียง Timeline ให้สอดคล้องกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ( ภาพประกอบ : Hidetaka Miyazaki หัวเรือใหญ่ของ Fromsoftware ผู้ชอบสร้างเนื้อเรื่องที่มึนงงให้กับผู้เล่น ) Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของค่ายเกม Fromsoftware ซึ่งผลิตเกมตระกูล Dark Souls ออกมา ได้เคยให้เคยสัมภาษณ์ว่าเกม Dark Souls ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Pop Culture หลายอย่าง โดยอันที่เราจะเห็นกันได้ชัดๆก็คืออัศวิน Artorias ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในการ์ตูน Berserk เป็นต้น เอาเป็นว่าเมื่อผมทำ Lore ของภาคหนึ่งจบลง ผมจะกลับมาทำเกร็ดความรู้ของเกมนี้ให้กับทุกท่านได้อ่านกัน แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวลาไปก่อน และพบกันใหม่ในครั้งหน้าสวัสดีครับ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Artorias จากเกม Dark Souls ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Berserker Armor จากการ์ตูน Berserk )
10 Dec 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Soul ตำนานบทที่ 4 “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกครั้งกับ บทที่สี่ของ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls จะว่าไปแล้วเราก็เดินทางกันมาไกลพอสมควรกับซีรี่ย์นี้ หากว่าใครอยากจะทบทวนเนื้อหา ก็มีลิงค์ด้านล่างสำหรับเข้าไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้เลย ส่วนคนที่เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของเกม Dark Souls บทที่สี่  “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “ - บทที่ 1 - บทที่ 2 - บทที่ 3 - คำสาปของผู้ไม่ตาย ( ภาพประกอบ : The First Flame ที่เคยให้เเสงสว่างกับโลกใบนี้กำลังจะดับลงในไม่ช้า  )              นับตั้งเเต่ The First Flame ได้มอบการมีชีวิตให้เเก่เหล่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโศกเศร้า ไม่ว่าจะเป็นสันติภาพหรือความวุ่นวาย ล้วนเเล้วเเต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นการย้ำเตือนว่าคนเรามีเวลาอยู่บนโลกอย่างจำกัดเเละต้องใช้ชีวิตนี้ให้มีค่ามากที่สุด เเต่เมื่อ The First Flame ได้อ่อนกำลังลงมันก็ทำให้โรคร้ายที่เรียกว่า Curse of Undead หรือคำสาปของผู้ไม่ตายปรากฏขึ้นมาบนโลก เเละเพื่อเป็นการทำความเข้าใจกับ Curse of Undead ผมจะขอยกตัวอย่างเป็นนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง              กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็กๆทางตอนเหนือของดินเเดน Lordran มีชายขี้เมาอยู่คนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนเพื่อที่จะกลับบ้านของเขา แต่ด้วยความไม่ระมัดระวัง ชายขี้เมาสะดุดล้มลงกลางถนนเเละเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะจังหวะนั้นมีรถม้าวิ่งผ่านมาพอดี ทำให้เขาถูกล้อเกวียนทับเข้ากลางลำตัวจนเสียชีวิต ผู้คนแถวนั้นต่างเข้ามามุงดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นด้วยความสลดใจ จนกระทั่งทหารประจำหมู่บ้านได้กำลังนำศพของชายขึ้เมาไปฝังยังสุสาน ทว่าเรื่องพิสดารก็เกิดขึ้น เพราะร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของชายขี้เมากลับสะดุ้งขึ้นมาใหม่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น เเต่ถึงเขาจะคืนชีพขึ้นมาใหม่ ทว่าร่างกายกลับเน่าเปื่อยราวกับเป็นศพ ชายคนนั้นได้แต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน! ช่วยฉันด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ” เขาวิ่งตรงเข้าไปหาผู้คนเพื่อขอความช่วยเหลือเเต่ด้วยรูปร่างที่เหมือนกับศพเดินได้ ทำให้ทุกคนก็ต่างวิ่งหนีแตกกระเจิง จนกระทั่งมีทหารกล้าคนหนึ่งได้นำเอาดาบเข้าไปตัดศีรษะของชายคนนั้นเสียจึงทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ แต่อยู่ดีๆชายคนนั้นก็ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้ง เเต่คราวนี้มีสภาพที่เน่าเฟะยิ่งกว่าเดิม แถมหัวที่ถูกตัดออกไปก็ยังสามารถร่ำร้องขอความช่วยเหลือได้ไม่หยุด ส่วนร่างที่ไร้หัวก็วิ่งวนไปมาทั่วหมู่บ้าน สร้างความควันผวาให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น...นิทานเรื่องนี้อาจจะฟังดูแปลกๆแต่มันก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกของ Dark Souls  ( ภาพประกอบ : เเม้ตายจนกลายเป็น Undead เเต่นิสัยก็ยังคงเหมือนกับตอนยังมีชีวิต  ) การมาของ Curse of Undead สร้างความโกลาหลให้กับทุกอาณาจักรบนโลกและมันยังมีแนวโน้มที่มันจะระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับดินแดน Lordran เเต่ Gwyn ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว เขาได้มอบหมายให้ยักษาตนหนึ่งนาม Allfather Lloyd จัดตั้งศาสนา Way of White ขึ้นมา โดยสาวกของศาสนานี้จะประกอบไปด้วยพระนักบวชที่ใช้เวทมนต์ Miracle และพวก Paladin ที่เป็นเหมือนนักรบ คำสอนของ Way of White มีอยู่ไม่กี่อย่างโดยสรุปเป็นใจความได้ว่า “ จงทำตามที่พระเจ้าประสงค์เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและถูกต้อง “ แม้มันจะเป็นคำสอนที่ฟังดูแปลกๆแต่ก็มีผู้คนมากมายที่ยอมรับ เพราะคิดว่า Way of White จะปกป้องให้ตนพ้นจาก Curse of Undead ได้ ( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์ของศาสนา Way of White  ) Way of White ได้ส่งคำเชื้อเชิญไปยังเหล่านักปราชญ์ทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้มาประชุมเเละเฟ้นหาวิธีในการจัดการกับมนุษย์ที่กลายเป็น Undead โดยหนึ่งในนักปราชญ์คนหนึ่งมีนามว่า Ludleth ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลง Soul หรือพลังวิญญาณให้กลายเป็นวัตถุต่างๆได้ ( ในเวลาต่อมา Ludleth จะได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกจากความมืด ) ซึ่งเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายได้วิเคราะห์ว่า Curse of Undead มีสาเหตุมาจาก Humanity  อันเป็นพลังงานมีอยู่ในตัวของมนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์สิ้นชีพ Humanity ในตัวก็จะค่อยๆหายไปเเละร่วมไปถึงร่างกายก็จะเน่าเปื่อยลงไปตาม ถ้าหากว่าเริ่มตายบ่อยครั้งเข้าก็จะสูญเสียความทรงจำไปทีละนิดๆจนท้ายที่สุดจะเข้าสู่ภาวะ Hollow อันเป็นภาวะที่ Undead ได้สูญเสียสติปัญญาไปโดยสมบูรณ์และจะมีพฤติกรรมที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา เเต่หากถูกรบกวนก็จะเข้าทำร้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที ทว่าก็ภาวะ Hollow นี่แหละที่ Undead จะสามารถตายได้จริงๆ  ( ภาพประกอบ : พฤติกรรมของ Hollow เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ เดียวก็หวาดกลัวเดียวก็เกรี้ยวกราด ) ปัญหาติดอยู่ตรงที่การจะฆ่า Undead ให้เข้าสู่ภาวะ Hollow ได้นั้น จะมีจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนเเตกต่างกัน บางตนก็ตาย 10 ครั้ง, บางตนก็เป็นร้อย, เเละโดยเฉพาะพวกที่มีแรงจูงใจให้อยู่ต่อที่แม้จะถูกฆ่าตายนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าสู่ภาวะ Hollow เสียที  ทำให้ Way of White ต้องเริ่มมองหาหนทางอื่น โดยในระหว่างที่การทดลองกำลังดำเนินไป ก็มีเหตุทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายของ Undead สองตน แต่คนที่ชนะกลับดูซับ Humanity ของคนที่ตายไปโดยบังเอิญ ทำให้ร่างกายกลับมามีสภาพดูดีเหมือนตอนยังมีชีวิต แต่ก็เป็นเเค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นไม่ใช่การรักษาที่เเท้จริงเพราะหากว่าตายอีกครั้งก็จะกลับไปเป็น Undead เหมือนเดิม มาถึงจุดนี้ Way of White ก็รู้แล้วว่าตราบใดที่ The First Flame ยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ Curse of Undead ก็จะเป็นชะตากรรมของมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการใช้ประโยชน์จากความเป็น Undead ให้มากที่สุด โดย Way of White ได้เผยแพร่คำสอนที่ว่า “ มันผู้ใดที่เป็น Undead มันผู้นั้นคือคนบาปเเละวิธีเดียวที่จะไถ่บาปได้ก็คือต้องถวายตัวรับใช้เทพเจ้าไปชั่วชีวิตจนกว่าจะ Hollow  ” ซึ่งมันเป็นการโกหกเพื่อหลอกใช้ Undead นั่นเอง... มินำซ้ำ Gwyn ยังได้ใช้เวทมนต์สร้าง Dark Sign ซึ่งเคยถูกใช้กับเหล่า Ringed Knight มาก่อน ตีตราใส่ Dark Soul ในตัวมนุษย์ของทุกผู้ทุกนางเเละผูกเข้ากับ Bonfire ที่เป็นเหมือนท่อส่งพลังงานของ The First Flame  ( ภาพประกอบ : Bonfire ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเหล่า Undead ) Bonfire ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดเกิดใหม่ของ Undead ซึ่งตายลงในบริเวณใกล้เคียง เเละไฟของมันสามารถรักษาบาดแผลให้กับเหล่า Undead ได้อีกด้วย โดย Bonfire แต่ละที่จะมี Fire Keeper คอยประจำการอยู่ เเละทำหน้าที่ยุยงให้พวก Undead ทำตามความประสงค์ของเทพเจ้า ( หลอกใช้มนุษย์อีกแล้ว! ) ซึ่ง Fire Keeper ทั้งหมดจะต้องเป็นเพศหญิงเเละมักจะมีร่างกายที่พิกลพิการหรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคร้าย ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Fire Keep นาม Anastacia ที่ถูกตัดลิ้นออกไป ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Fire Keep ที่ถูกเรียกว่า Lady of the Darkling นางสวมใส่ชุดเกราะเพื่อปิดบังโรคผิวหนังร้ายเเรง) Way of White สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ Curse of Undead ได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่ Gwyn ก็ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างสนิท เพราะ Fire Keeper คนแรกของโลกได้ทำว่า The First Flame จะต้องดับสนิทลงอย่างแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับ Gwyn มันเป็นการตอกย้ำความกลัวในจิตใจของเข้าไปอีก แต่ในขณะที่เขากำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องของ The First Flame ก็มีข่าวลือมาจากใต้พิภพ ว่าแม่มดแห่ง Izalith ได้ประดิษฐ์ Chaos Flame ที่สามารถใช้ทดแทน The First Flame ขึ้นมาได้! สงครามอสูรใต้พิภพ  นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ Lord ทั้งสามของโลกใบใหม่ อย่าง Gwyn, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือติดต่อกันเลย จะมีก็เเค่พวกพ่อค้ามนุษย์ที่นานๆจึงจะเดินทางเข้าไป ทว่าช่วงพักหลังมานี้ ณ บึงพิษ Great Swarm ที่เคยเป็นทางลัดเข้าสู่ใจกลางนคร Izalith กลับถูกเหล่าอสูรจำนวนมากปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านมาทางนี้อีกยกเว้นพวกผู้ใช้ไฟ Pyromancer ที่ยังอาศัยอยู่ในบึงพิษ Great Swarm ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวของนคร Izalith ให้กับบุคคลภายนอกได้รับรู้ ( ภาพประกอบ : บึงพิษ Great Swarm ที่อยู่ด้านล่างของ Blighttown  ) เรื่องราวที่ว่าแม่มดแห่ง Izalith สามารถสร้าง Chaos Flame ได้สำเร็จ ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ที่ในขณะนั้นพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้ยุคแห่งเพลิง ต้องถึงการอวสาน แต่มีหรือที่แม่มดแห่ง Izalith จะยอมมอบ Chaos Flame ให้ง่ายๆ เพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้นางก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปเหมือนกัน Gwyn จึงได้สั่งให้รวบรวมกำลังพล Silver Knight และขุนพลเกือบทั้งหมดที่มี ให้เตรียมพร้อมทำสงครามกับนคร Izalith โดยเหลือกองกำลังไว้ปกป้องเมือง Anor Londo เพียงเเค่หยิบมือ ส่วนในเรื่องของ Curse of Undead Gwyn ก็ได้มอบหมายให้ Way of White จัดได้ตามสมควร ในขณะที่กองทัพของเขากำลังจะเดินทางออกจากป้อมปราการ Sens Fortress Gwyn ก็สังเกตเห็นว่าโอรสคนแรกของเขาที่ปกติจะออกเดินนำหน้าเหล่ากองทหารเสมอกลับหายหน้าไป Gwyn จึงได้เรียกตัวโอรสคนแรกของเขา เข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ความว่าโอรสคนแรกของ Gwyn ทราบถึงคำทำนายที่ The First Flame ก็จะต้องดับลงอย่างเเน่นอน เขาจึงคิดว่าสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดไม่ใช่การหอบเอากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้าน แต่ควรเป็นการยอมรับและเรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่ในยุคที่ปราศจาก The First Flame ต่างหาก ( ภาพประกอบ : Sens Fortress ปราการหน้าด่านของเมือง Anor Londo ) เมื่อได้ยินดังนั้น Gwyn ก็ของขึ้นทันทีด่าเจ้าลูกชายคนโตยกใหญ่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งอบรมเเละเเก้ไขปัญหาในครอบครัวอีกเเล้ว Gwyn จึงได้ถามเจ้าลูกชายคนโตเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมไปรบให้กับเขาหรือไม่ แต่โอรสคนเเรกก็ยังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ไปแน่นอน เรื่องนี้ทำให้ Gwyn ไม่พอใจเอามากๆเเต่เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัย Gwyn จึงได้ออกแถลงการณ์ว่าตนจะเป็นคนนำทัพไปสู้รบด้วยตัวเอง เเละได้แต่งตั้งโอรสคนแรกให้กลายเป็นราชาคอยทำหน้าที่ดูแลเมืองหลวง Anor Londo ในยามที่เขาไม่อยู่ซึ่งก็เป็นหน้าที่ๆสำคัญไม่เเพ้กัน แต่นั่นมันก็เป็นเเค่การแต่งตั้งแค่ในนามเท่านั้น เป็นการกลบเกลื่อนเรื่องที่เจ้าโอรสตนโตไม่ยอมไปออกรบในสงคราม ส่วนคนที่ได้รับหน้าที่ดูแลเมืองจริงๆก็คือ  Gwyndolin ซึ่งเป็นโอรสคนสุดท้อง  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Taurus Demon อสูรตัวยักษ์ที่เอากระดูกของอสูรด้วยกันมาทำเป็นอาวุธ ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Capra Demon คืออสูรที่กลายร่างมาจากมนุษย์  ) ทางด้านแม่มดแห่ง Izalith นางเองก็มีกองทัพอสูรเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเหมือนกัน เเต่นางก็มีความได้เปรียบจากพลังอันร้อนแรงของ Chaos Flame เข้ามาช่วยเหลือในการต่อสู้ ทำให้แม้แต่ชุดเกราะของพวก Silver Knight ที่ทนทานต่อไฟของมังกรก็ยังถูกเพลิง Chaos เผาไหม้เสียจนกลายเป็นสีดำสนิทจนถูกเรียกว่า Black Knight เเทน แต่ก็ใช่ว่าอสูรทุกตนจะอยู่ข้างเดียวกับแม่มดแห่ง Izalith เพราะมีอสูรบางตนถูกบังคับหรือทำให้กลายร่างโดยไม่เต็มใจพวกมันจึงได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn เเทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กองทัพของ Gwyn ได้เปรียบขึ้นมาเลยสักนิด  จะว่าไปเเล้วกองทัพ Silver Knight ของ Gwyn อาจจะดูน่าเกรงขามในสายตาของมวลมนุษย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา Lord ด้วยกันเอง กองทัพของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากมาย เเถมที่ชนะสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรมาได้ ก็เพราะพึ่งพาพลังของคนอื่นทั้งนั้น... ( ภาพประกอบ :สงครามอสูรครั้งที่หนึ่งได้ให้กำเนิดเหล่า Black Knight ขึ้นมา  ) กบฏทมิฬ              ทางด้านเมือง Anor Londo ที่ตอนนี้ไม่มี Gwyn อยู่เเล้ว มันจึงเป็นโอกาสอันดีให้ Velka ผู้เป็นพระชายาได้ดำเนินเเผนการล้างเเค้น Gwyn ผู้เป็นพระสวามี โดย Velka ได้ส่ง Havel The Rock ซึ่งเป็นสหายเก่าของโอรสคนแรกตั้งเเต่ครั้งที่ยังสู้รบกับเหล่ามังกร แต่ปัจจุบัน Havelได้ดำรงตำเเหน่งเป็นพระนักรบระดับสูงอยู่ใน Way of White เมื่อทั้งสองเจอกันต่างก็ยินดีเป็นอย่างมากเเละได้นั่งคุยปรับทุกข์กันตามประสาเพื่อนเก่า จนกระทั้ง Havel ได้เริ่มถามถึงเรื่องการเมืองภายใน Anor Londo และสถานที่ลับภายในวังหลวงเช่นพวกประตูลับหรือห้องใต้ดิน โดยก่อนที่โอรสคนแรกจะเริ่มสงสัยในตัวสหายเก่าคนนี้ Havel ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที โดยเขาได้แนะนำว่าโอรสคนแรกควรจะออกเดินทางตามหาจุดมุ่งหมายของตนเอง ดีกว่าจะอยู่เป็นหัวโขนในเมืองหลวงแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าคำแนะนำของ Havel จะสัมฤทธิ์ผล... โดยเรื่องนี้มันคือแผนการของ Velka  ที่จะตัดกำลังป้องกันของเมือง Anor Londo ออกไป เพราะนางประสงค์จะให้เกิดการก่อกบฏของเหล่ามนุษย์ขึ้น เพื้อให้ Gwyn ได้เห็นอาณาจักรที่เขารักนักรักหนาแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ และอีกอย่างก็คือการสังหารเจ้ามังกรวิปลาส Seath! ส่วนบรรดาเทพเจ้าที่เป็นบุตรของ Velka ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง ด้วยเพราะว่าแต่ละพระองค์ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่ามนุษย์อยู่เเล้ว ( ภาพประกอบ : Dark Ember ที่ใช้เพิ่มพลังความมืดให้กับอาวุธเพื่อต่อกรกับเทพเจ้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เพื่อการกบฏ  ) นับตั้งแต่ Gwyndolin ได้ถือกำเนิดขึ้นมา Velka ก็ไม่ได้ทำตัวนิ่งเฉยอย่างที่ Gwyn คิด แต่นางได้ส่งลูกสมุนเเฝงตัวเข้าไปอยู่ตามองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Silver Knight, Way of White หรือเเม้เเต่หน่วยลับอย่าง Darkmoon Blade ที่จะคอยตามล่าบุคคลที่กระทำความผิดบาปต่อพระเจ้า เเละเท่านั้นยังพอ Velka ยังเผยแผ่แนวคิดในดินแดน Lordran อย่างลับๆ ว่า Gwyn นั้นหลอกใช้มนุษย์เพื่ออำนาจของตน โดยเมืองที่ตอบรับแนวคิดนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นเมือง New Londo เพราะว่าประชาชนของเมืองนี้รู้ถึงการทดลองประหลาดๆของ Seath เป็นอย่างดี  แต่ถึงจะวางแผนมาดียังไงจำนวนคนของ Velka ก็ยังเป็นรองกองทัพของ  Gwyn อยู่ดี จนกระทั่งการมาของ Curse of Undead ที่ช่างมาได้เวลาประจวบเหมาะเสียเหลื่อเกิน เพราะหากว่าลูกสมุนของนางกลายเป็น Undead การถูกฆ่าตายก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาสู้รบใหม่ได้เรื่อยๆ ประกอบกับการที่ Gwyn จะต้องแบ่งกองกำลังออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังพระนักรบที่ต้องออกเดินทางไปจัดการกับพวก Hollow ในต่างแดน และยังต้องแบ่งกองทัพไปสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith อีก มันทำให้การป้องกันของเมือง  Anor Londo หละหลวมยิ่งมากขึ้น ส่วนด้านยุทโธปกรณ์ Harvel ก็รับหน้าที่เป็นคนจัดหามาให้ ซึ่งสำหรับคนที่มีเส้นสายอยู่เยอะอย่างเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร เรียกได้ว่าถ้าไม่ก่อกบฏตอนนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะของกองกำลัง Havel The Rock  ) แต่เพื่อความไม่ประมาท Velka จึงได้ส่งมือดีหลายคนของนางเข้าไปขโมย Rite of Kindling จาก Nito ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการสร้างของเหลวที่เรียกว่า Estus ในปริมาณมาก เพื่อใช้สำหรับการรักษาบาดแผลของ Undead ในระหว่างการต่อสู้ ( เรียกง่ายๆก็คือไม่ต้องกลับจุดเซฟนั่นเอง ) โดยปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะกลุ่ม Way of White ก็ได้ส่งคนมาเฝ้าระวัง Nito อยู่เเล้วเหมือนกันเพราะก็ต้องการ Rite of Kindling ไปใช้กับ Undead ของฝ่ายตน  คณะเดินทางของ Velka ได้ลงไปยัง Tomb of Giants หรือสุสานของเหล่ายักษาที่แสนจะอันตราย เเละมืดมิด เเม้ว่า Nito จะไม่มีกองทัพเหมือนกับ Lord คนอื่น เเต่เขาก็สามารถปลุกซากศพที่มีอยู่มากมายให้ขึ้นมาสังหารเหล่าผู้บุกรุกได้ง่ายๆ แต่คนที่ Velka ส่งไปก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือเเถมยังใช้เล่ห์กลจนขโมย  Rite of Kindling จาก Nito มาได้ เหลืออุปสรรคเเค่อย่างเดียวนั่นก็คือต้องวิ่งหนีฝ่ากองทัพผีดิบออกมาให้ได้เท่านั้นเอง โดยในระหว่างที่ทำการหนีก็สูญเสียสมาชิกไปหลายคน ส่วนบรรดาคนที่วิ่งหนีมาถึงปากทางถ้ำก็ต้องพบกับลูกสมุนของ Nito นามว่า Pinwheel ที่ได้ทำการปิดตายถ้ำเอาไว้เเล้ว ( ภาพประกอบ : ซากศพของหนึ่งในลูกสมุนของ Velka ภายใน Tomb of Giants ) ในท้ายที่ภาระกิจของ Velka ก็ทำไม่สำเร็จ พวกเขาไม่สามารถที่จะนำ Rite of Kindling ออกมาได้ แต่ที่เเย่ไปกว่านั้นก็คือคนที่เหลือรอดกลับถูก Way of White จับตัวได้และถูกเค้นความจริงจนแผนการก่อกบฏความแตกจนได้  นำไปสู่การจับกุมครั้งใหญ่ใน Lordran พวกกองทหาร Silver Knight ออกลาดตระเวนตามเมืองต่างๆของมนุษย์เพื่อจับตัวผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมีส่วนร่วมในการกบฏครั้งนี้ เเต่ถึงแม้แผนการก่อกบฏจะได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกบางคนเลือกที่จะสวมเกราะออกไปสู้รบ จนกลายเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ในดินแดน Lordran ส่วนตัวการอย่าง Velka และ Havel ก็หายสาบสูญไปไร้ร่องลอย  ( ภาพประกอบ : หนึ่งในกบฏที่ถูกเพื่อนซึ่งเป็น Silver Knight ขังเอาไว้ไม่ให้ไปร่วมการจลาจล ) เมื่อ Gwyn ที่อยู่ในแนวหน้าได้ทราบถึงข่าวการกบฏก็ร้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังกลับไปไม่ได้เพราะยังติดพันการสู้รบกับเหล่าอสูรอยู่ เขาจึงได้ถ่ายทอดคำสั่งให้เนรเทศบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏทั้งหมดไปยัง Painted World of Ariamis ที่เป็นมิติคู่ขนาน โดยสร้างไว้เพื่อคุมขังเหล่าเทพเจ้านอกรีตโดยเฉพาะ เเละมีทางเข้าออกเป็นภาพวาดที่เป็นประตูมิติเชื่อมต่อสองโลกเอาไว้ด้วยกัน ( ภาพประกอบ : ภาพวาดที่เป็นประตูมิติสู่ Painted World of Ariamis ) แม้แผนการของ Velka จะล้มเหลวลงไป แต่ก็มี Primordial Serpent ตนหนึ่งที่จะสานต่อสิ่งที่นางเริ่มเอาไว้ นามของมันก็คือ ผู้เฝ้ามองจากความมืด Kaathe  คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สี่  “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “ เป็นบทที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยละ และเนื้อหาในบทนี้ก็มีเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกเเห่งความจริงอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น Way of White ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของยุโรป ที่มีการสร้างความเชื่อให้ผู้คนอาสาไปรบในสงครามครูเสด ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ส. 1095 – 1192 ซึ่งมีโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า หากใครอาสาไปรบเพื่อศาสนาก็จะช่วยล้างบาปที่เคยทำไว้ได้ ( ภาพประกอบ : ภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวในสงครามครูเสด โดย Domenico Paradisi ที่มีชีวิตระหว่าง ค.ส.1689–1721) ส่วน Painted World of Ariamis เดิมทีผู้พัฒนาเกมได้สร้างมาเพื่อนำเอาพวก Cut Content ที่ไม่ได้ใช้งานเเต่ยังรู้สึกว่าน่าสนใจ เอามาใส่ไว้ข้างในนี้ เราจึงจะเจอทั้งพวกศัตรูที่เเปลกๆและ Item ที่เหมือนจะมาจากหลายสถานที่อยู่เต็มไปหมด ในบทต่อไปเราจะมาพูดถึงวีรกรรมของอัศวินหมาป่าผู้ท่องไปในความมืด เเละนครสีทองที่จะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด... บทความเขียนโดย: thong baithong  
25 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับ Lore และ ตำนานภายในเกมบทที่ 3
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานของเกม Dark Souls ซึ่งเราก็เดินทางมาถึงบทที่สามกันเเล้ว สำหรับใครที่อยากจะทบทวนหรืออยากลองอ่านบทความก่อนหน้านี้ก็สามารถคลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลย ส่วนใครที่พอรู้เนื้อเรื่องอยู่เเล้วก็สามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลย - บทที่ 1 - บทที่ 2 - ในครั้งก่อนเราได้รู้เรื่องของ Nito กับแม่มดแห่ง Izalith กันไปแล้ว เเต่ในบทนี้เราจะพูดถึง Gwyn กับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ไปเริ่มกันเลยกับ บทที่สาม “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง”   ดินแดนอันเหลื่อมล้ำ Lordran Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito  และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น  ณ ใจกลางของดินแดน Lordran  เมือง Anor Londo เป็นเหมือนมหานครในอุดมคติ ทุกอย่างในเAvailable Toolsมืองนั้นดีเลิศเเละดูสวยงามไปหมด ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของทั้งโลก เหล่านักเดินทางทั้งหลายต่างหมายปองที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อเคารพสักการระเหล่าเทพเจ้า ,มาเพื่อการค้าขาย ,หรือแม้แต่มาด้วยเหตุผลทางการทูต เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญสุดๆกันไปเลย  แต่เมืองที่มันศิวิไลซ์เช่นนี้ก็มักจะซ่อนเอาความฟอนเฟะเอาไว้ใต้พรม ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่เป็นประชากรชั้นสองของดินเเดนเเห่งนี้นั่นเอง ( ภาพประกอบ : Blight Town หนึ่งในที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ) สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์  ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด ( ภาพประกอบ : หนึ่งในป้อมปราการที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า Undead Burg ) ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน ( ภาพประกอบ : The Dukes Archives ที่ภายในเก็บรักษาตำราเเละความรู้ต่างๆเอาไว้มากมาย ) แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง ( ภาพประกอบ : ผลการทดลองที่ใช้มนุษย์ของ Seath  )  โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า  Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก  ( ภาพประกอบ : รูปปั้นที่เเสดงหน้าตาอันหล่อเหลาของ Frampt เผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ) Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก  ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพเจ้า Gwyn ที่กำลังมอบมงกุฎให้กับ Pygmy Lord ภายใน Ringed City ) คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่  ( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์บนตัว Ringed Knight ที่ Gwyn มอบให้ ) เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย  พงศาวดารเเห่งเทพเจ้า ย้อนกลับไปในยุคที่ Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร การมีทายาทที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ และแน่นอนว่า Gwyn จะต้องมีพระชายาอยู่เคียงข้าง นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งความผิดบาป Velka แต่ประวัติศาสตร์กลับไม่ได้จารึกชื่อของนางเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า Gwyn ไม่อยากให้ Velka เข้ามามีบทบทบาทในการปกครองก็เป็นได้  สำหรับ Gwyn พระชายามีหน้าที่แค่ให้กำเนิดทายาทที่ทรงพลังเพียงเท่านั้น โดยโอรสคนเเรกของ Gwyn กับ Velka เป็นนักรบที่เเข็งเเกร่งเเละห้าวหาญ อาวุธคู่กายของเขาเป็นหอกยาวเล่มใหญ่ซึ่งมีพลังของสายฟ้าสถิตอยู่ข้างใน ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารทำให้เกิดลมพายุหมุนที่รุนเเรงได้ เขาได้ใช้มันปลิดชีพเหล่ามังกรมาแล้วนับไม่ถ้วนเพราะเขาถูกสอนว่าเหล่ามังกรคือรากเหง้าเเห่งชั่วร้ายเเละต้องถูกกำจัดทิ้ง  ( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่จะปรากฏตัวในอีกหลายพันปีต่อมา ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไมตรีจิตที่ดีทำให้เป็นที่รักและนับถือของเหล่านักรบมากมาย  Gwyn ปราบปลื้มในตัวลูกชายคนแรกของเขาอย่างมาก ถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็น God of War หรือเทพแห่งสงคราม ซึ่งต่อมาแม้สงครามมังกรจะได้จบลง เขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับ Gwyn เสมอ ไม่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดเขาจะเป็นคนแรกที่นำเหล่าทหารกล้าเข้าสู่สมรภูมิ เเละด้วยความสามารถที่รอบด้านเเบบนี้ เเน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่าง Gwyn จะต้องตักตวงผลประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด โดย Gwyn ได้จัดตั้ง Warrior of Sunlight  หรือกลุ่มนักรบแห่งเเสงตะวันขึ้นมา เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณให้กับเหล่านักรบทั้งหลายโดยเฉพาะพวกที่เป็นมนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีจิตใจใฝ่หา Dark Soul ในตัว  ( ภาพประกอบ : รูปปั้นโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่ถูกบูชาโดย Warrior of Sunlight ) บุตรของ Gwyn คนถัดมานั้นเป็นเพศหญิง ซึ่งมีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย(มาก)นามว่า Gwynevere อันเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีบุตร…ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดหรอก หน้าที่ของเธอคือการสร้างลูกหลานที่มีเชื้อสายเทพเจ้าให้คงอยู่สืบต่อไป ส่วนคนถัดมาก็เป็นเพศหญิงอีกเช่นกันนามของเธอก็คือ Filianore โดยเธอเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่เธอสามารถควบคุมกาลเวลาได้เลย แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นลูกของ Gwyn เธอก็เหมือนกับถูกขีดชะตากรรมเอาไว้อยู่เเล้ว Filianore ต้องออกเดินทางไปยังเมือง Ringed City เพื่อทำภารกิจบางอย่าง Gwyn มอบหมายให้กับเธอ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Gwyneveret ภายในเกม Dark Souls  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Filianore จากเกม Dark Souls 3  ) บุตรทุกคนของ Gwyn ต่างเกิดมาพร้อมกับพลังเฉพาะตัว ซึ่ง Gwyn ก็อยากให้บุตรคนต่อไปมีพลังที่เหล่าทวยเทพยังไม่เคยมี ซึ่งเรื่องมันเริ่มขึ้นในขณะที่ Velka กำลังตั้งครรภ์บุตรคนสุดท้าย Gwyn อยากให้เด็กที่จะเกิดมามีพลังของ Sorcery เพราะเป็นพลังที่ยังไม่มีเทพองค์ใดใช้มันได้อย่างชำนาญ เขาได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา Seath ซึ่งเป็นบิดาเเห่งศาสตร์ Sorcery  ( ภาพประกอบ : รูปร่างหน้าของ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด เเละบิดาเเห่ง Sorcery ) เมื่อ Gwyn  ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Seath ฟัง เจ้ามังกรเจ้าเล่ห์ก็ได้ยอมตกลงที่จะช่วยเเต่มีข้อเเม้หนึ่งประการ ว่าในอนาคต Seath จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเทพเจ้าเป็นรางวัลตอบเเทน ซึ่ง Gwyn ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไปตามนั้นเพราะคิดว่า Seath คงไม่กล้าขออะไรที่มันเกินตัว โดยเมื่อทั้งสองเห็นชอบดังนั้น Seath ก็ได้แอบร่ายเวทมนต์ใส่ครรภ์ของ Velka โดยเมื่อถึงเวลานางก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายนามว่า Gwyndolin  ขึ้นมา ซึ่งทารกก็มีพลัง Sorcery อย่างที่ Gwyn ต้องการแต่ทว่ากลับมีขาที่เป็นงู จึงทำให้ Velka รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของ Seath ด้วยความที่นางไม่ชอบหน้า Seath เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเลยยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมเเละได้นำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องยัง Gwyn เร่งให้เขาจัดการเจ้ามังกรวิปลาสตัวนี้เสียที แต่ Velka กลับต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่า Gwyn เป็นตัวการออกคนสั่งในเรื่องนี้เสียเอง เท่านั้นยังไม่พอ Gwyn ยังพรากเอาตัว Gwyndolin ผู้เป็นบุตรคนสุดท้องไปจากนางและสั่งไม่ให้ข้องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีก นั่นทำให้ Velka เคียดแค้นเป็นอย่างมาก นางจึงได้สาบานว่าจะชำระเเค้นกับ Gwyn ให้สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อ ( ภาพประกอบ : Gwyndolin เเละขาที่เป็นงูของเขา ) Gwyndolin นอกจากมีพลังของ Sorcery ที่เเข็งเเกร่ง เขายังเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังได้รับพลังจากพระจันทร์ โดยในความเชื่อของเทพเจ้าได้เปรียบเทียบสตรีเพศว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มันเลยทำให้ Gwyndolin ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกผู้หญิงทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านการใช้ชีวิต  โดยเมื่อมีงานราชพิธีที่เขาต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้คน Gwyndolin ก็จะซ่อนขาที่เป็นงูเอาไว้ใต้กระโปงยาว จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับพี่สาวอย่าง Gwynevere ที่เขาจะทำตัวได้อย่างตามสบาย ซึ่งทั้งสองก็สนิทกันมากชนิดที่ว่ารู้นิสัยใจขอกันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด  คุยกันหลังเรื่องเล่า              ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สาม  “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง” ท่านผู้ชมรู้สึกยังไงกันบ้าง คิดว่าการกระทำของ Gwyn เป็นสิ่งที่ผิดจนไม่น่าให้อภัย หรือคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันก็สมควรแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญเเละจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้ ผมพูดถูกไหมครับ…. แต่อย่าคิดมากกันไปเลย เนื้อเรื่องในเกมนี้มันจะเป็นซะแบบนี้ทุกภาค มันจะดูดาร์คๆหน่อย แถมมี plot หลายอย่างที่หยิบเอามาจากความเชื่อหรือตำนานในโลกเเห่งความจริง เช่น Primordial Serpent ก็ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย โดยมันจะคอยล่อลวงให้มนุษย์กระทำความชั่ว  ในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่า เทพเจ้าที่พยายามฝืนลิขิตโลกจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร เเละก็การมาถึงของคำสาปที่จะกัดกินดินเเดนเเห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์ ( ภาพประกอบ : Dark Sign ตราบาปที่จะอยู่บนร่างของมนุษย์ไปตลอดกาล ) บทความเขียนโดย Thong Baithong
18 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับตำนานบทที่ 2
สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเเล้วกับบทที่สองของ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls ที่ผมได้ทำการเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาที่สำคัญๆมาไว้ในบทความนี้เเล้ว ในครั้งก่อนเราได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของตำนานในเกมไปส่วนหนึ่ง แต่หากมีใครเข้ามาอ่านบทความนี้เป็นครั้งแรกล่ะก็ ผมเเนะนำให้ลองอ่านบทที่ 1 “ การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” กันเสียก่อน รับรองได้เลยว่าท่านผู้ชมจะเข้าใจบทความอย่างไม่ติดขัดแน่นอน เมื่อรับทราบพร้อมกันแล้ว พวกเราก็ไปลุยกันเลยกับบทที่สอง “อำนาจของเหล่าทวยเทพและยุคแห่งเพลิง” สุสานแห่งความสงบ หลังการสิ้นสุดลงของมหาสงครามมังกร โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งเพลิงซึ่งแน่นอนว่าบรรดา Lord ทั้งสามที่ชนะสงครามต่างกลายเป็นมหาอำนาจเเห่งโลกใบใหม่ โดย Lord ตนแรก Nito จ้าวแห่งความตายที่แม้จะเป็นผู้ชนะในสงครามก็ตาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก Nito ได้เดินทางกลับไปยังใต้พื้นดินที่ทั้งมืดมิด,ทั้งหนาวเหน็บ ซึ่งเป็นสถานที่ๆบุคคลผู้ล่วงลับไปเเล้วจะได้พบกับความสงบสุขและหลุดพ้นจากความวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิต เเละคนไม่น้อยเชื่อว่าหากได้นำศพไปฝังใกล้กับที่อยู่ของ Nito วิญญาณเหล่านั้นก็จะได้ไปสู่สุขคติ เมื่อนานวันเข้าศพที่ถูกฝังไว้ ก็เพิ่มพูนมากขึ้นจนบริเวณโดยรอบ กลายสภาพเป็นสุสานเรียกว่า The Catacombs แหล่งพักผ่อนของชีวิตหลังความตาย แต่ดูเหมือนว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตจะไม่ยอมให้ Nito ได้พักผ่อนง่ายๆเสียแล้ว เพราะมีมนุษย์บางคนที่เต็มไปความกล้าบวกกับความบ้า ! ออกเดินทางฝ่าสุสานที่น่าขนพองสยองเกล้า เพื่อไปหา Nito  และขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้โดยแลกกับการที่ได้เรียนรู้ศาสตร์ที่จะมอบอำนาจเหนือความตายให้ แต่พวกข้ารับใช้เหล่านี้ก็มักจะนำเอาความรู้ไปใช้ทำอะไรที่มันพิเรนๆ จนเวทมนต์ดำย้อนกลับเข้าตัวเอง นครแห่งเพลิง หลังสงครามมังกรจบลง แม่มดแห่ง Izalith ก็ได้แยกตัวไปสถาปนาอาณาจักรของตน นามว่านคร Izalith ขึ้นมาซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินลึกลงไป โดยมันลึกเสียยิ่งกว่าสุสานของ Nito เสียอีก และยิ่งไปกว่านั้นตัวเมืองยังมีลำธานลาวาเดือดอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นปราการป้องกันนคร Izalith จากภัยอันตรายภายนอก ส่วนสิ่งก่อสร้างก็มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกได้ถึงความเจริญของมหานครแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี การปรากฏขึ้นของ The Frist Flame และการเข้าสู่ยุคแห่งเพลิง มันส่งผลดีต่อ Gwyn ที่เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมไปถึงบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือบรรดา Lord ตนอื่นอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่า Nito จะไม่สนใจในเรื่องนี้แต่สำหรับตัวแม่มดแห่ง Izalith นางมีความคิดทะเยอทะยานอยากจะสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่  แม้ว่าจะเริ่มต้นช้ากว่า Gwyn เเต่นางก็ได้ลงมือทำหลายอย่างไปพร้อมๆกันเพื่อให้อาณาจักรเข้มแข็งขึ้นอย่างเร็วที่สุด ทั้งใช้ให้บรรดาลูกสาว Daughters of Chaos ของนางเผยแพร่ศาสตร์แห่งการใช้ไฟแก่บุคคลคนที่มีคุณสมบัติคู่ควร และวางตัวคนพวกนั้นไว้ในตำแหน่งสำคัญในนคร Izalith หรือจะเป็นการพยายามสร้างมังกรที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วในอดีต ให้กลับมาซึ่งมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เเต่ถึงจะทดลองล้มเหลว เเม่มดเเห่ง Izalith ก็ไม่ได้กำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทิ้งไปแต่อย่างใด มิหนำซ้ำมันกลับถูกเก็บไว้ใกล้กับใจกลางตัวเมือง สร้างความกระอักกระอวนใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่การกระทำที่ว่ามาข้างต้น ก็หาได้เทียบเคียงกับผลงานชิ้นโบว์แดงของนางไม่ ซึ่งก็คือการสร้าง Chaos Flame ! หาก The Frist Flame เป็นขุมพลังของ Gwyn แล้วละก็  Chaos Flame ก็ย่อมเป็นขุมพลังของแม่มดแห่ง Izalith เช่นกัน ต่างกันตรงที่  Chaos Flame ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่ตัวมันถูกสร้างมาจากเศษเสี้ยว Lord Soul จากตัวของแม่มดแห่ง Izalith นอกจากนี้ Chaos Flame มันยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้คนที่สัมผัสมันมีอารมณ์รุนเเรงเเละแปรปรวน ด้วยเหตุนี้พระสวามีของเเม่มดเเห่ง Izalith นาม King Jeremiah และบรรดาลูกๆบางคนเริ่มสะกิดใจในพลังของ Chaos Flame แต่ถึงอย่างนั้นแม่มดแห่ง Izalith ก็ยังคงทุ่มเทให้กับการทดลอง Chaos Flame อย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตอนที่นางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่เว้น ทำให้ส่งผลต่อลูกที่อยู่ในครรภ์ของนาง โดยเมื่อถึงคราวคลอดออกมา นางได้ให้กำเนิดทารกเพศชายที่มีรูปร่างประหลาด มีลาวาไหลออกมาจากตัวตลอดเวลา มันสร้างความเจ็บปวดให้กับทารกเป็นอย่างมาก และทำให้เขาถูกเรียกว่า Ceaseless Discharge เเต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรังเกียจ Ceaseless Discharge มีพี่สาวของเขาคนหนึ่งที่คอยปลอบประโลมเเละมอบแหวนซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่เด็กก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ โดยวันหนึ่งที่ Ceaseless Discharge กำลังวิ่งเล่นอยู่ริมหน้าผา เขาก็ได้เผลอทำแหวนตกหล่นหายไป ทำให้หลังจากนั้นเขาต้องทนเติบโตมากับความเจ็บปวดไปจนตาย ความพังพินาศของ Izalith การเกิดขึ้นมาของ Ceaseless Discharge สร้างข้อกังขาให้กับการทดลอง Chaos Flame เป็นอย่างมากโดยเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง แม่มดแห่ง Izalith ได้แสดงผลของการทดลองด้วยการสร้างเวทมนต์ Chaos ขึ้นมา เวทมนต์ Chaos นั้นทรงพลังยิ่งกว่าศาสตร์เเห่งการใช้ไฟทั่วๆไป แต่ในทางกลับกัน มันก็คือการหยิบยื่นพลังของ  Chaos Flame ที่ยังไม่เสถียรเเละไม่เสร็จสมบูรณ์ ไปยังเหล่าประชากรในนคร Izalith เเละหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องพิลึกพิลั่นที่น่าตกใจขึ้น นั้นก็คือมีประชากรบางส่วนกลายร่างเป็น Demon หรืออสูรกาย คนที่กลายร่างนั้นจะมีขนาดและพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น โดยคนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหนูน้อย Ceaseless Discharge นี่เอง ทำให้ร่างกายที่ผิดปกติอยู่เเล้วของเขา กลับยิ่งมีสภาพที่บิดเบี้ยวและอัปลักษณ์เป็นทวีคูณ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนูน้อย Ceaseless Discharge คือคนเเรกที่กลายเป็นอสูร ) ( ภาพประกอบด้านขวา : หนึ่งในประชากรระดับสูงของนคร Izalith ที่กลายเป็นอสูร ) แต่ทว่าคนที่กลายร่างเป็นอสูรกายเหล่านี้ไม่ได้สูญเสียสติปัญญาแต่อย่างใด อสูรกายหลายตนยังมีความทรงจำครั้งยังเป็นมนุษย์เหลืออยู่ครบถ้วน ซึ่งเรื่องพิสดารเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะการทดลอง  Chaos Flame ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว เเต่แม่มดแห่ง Izalith ยังไม่สามารถที่จะควบคุมพลังของมันได้ และเนื่องจาก Chaos Flame ถูกสร้างให้มีความคล้ายกับ The First Flame ทำให้มีพลังในการมอบชีวิตเหมือนกัน เช่น The First Flame ที่เปลี่ยนจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ยักษาและมนุษย์ แต่กรณีของ Chaos Flame คือการเปลี่ยนเเปลงให้กลายเป็นอสูรกาย นคร Izalith ในตอนนี้เกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายที่มองว่า Chaos Flame เป็นพลังที่ชั่วร้ายและต้องถูกทำลายนำโดย King Jeremiah  ส่วนอีกฝ่ายสนับสนุนแม่มดแห่ง Izalith เพราะเชื่อว่าการกลายสภาพเป็นอสูรกายไม่ได้ทำให้อ่อนแอ แต่มันคือการยกระดับวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ให้สูงขึ้น    สูงยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพอย่าง Gwyn ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนนั้นมีมากกว่า ทำให้ King Jeremiah ถูกขับไล่ออกจากนคร Izalith ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยก็ต่างลี้ภัยขึ้นไปอยู่บนพื้นผิวโลก แต่คนที่เคยใกล้ชิดกับเวทมนต์ Chaos ไปแล้ว ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่อาจเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องกลายสภาพเป็นอสูรกายอย่างช้าๆไปได้  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร ParasiticWall Hugger ซึ่งในตัวเกมมี Codename ว่า “PrinceIzalis” )  ( ภาพประกอบด้านขวา : Xanthous King, Jeremiah หมวกรูปทรงประหลาดที่มีไว้เพื่อปกปิดศรีษะที่กำลังกลายสภาพ ) แต่มีหญิงคนหนึ่งที่ไม่กลายร่าง และเธอยังเป็นลูกสาวคนหนึ่งของแม่มดแห่ง Izalith อีกด้วย นามของเธอคือ Quelana ตัวเธอไม่อาจรับสภาพการกลายร่างเป็นอสูรได้ จึงวางเเผนทำทีว่าตนเสียชีวิตเเละหนีขึ้นไปยังพื้นพิภพ  และก็เป็น Quelana นี่เองที่นำเอาศาสตร์แห่งการใช้ไฟแบบดั่งเดิมมาถ่ายทอดสู่มนุษย์บนพื้นผิวโลก ปราการลาวาที่ครั้งหนึงเคยปกป้องเมืองมาตอนนี้มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะสิ่งที่บ่อนทำลายนคร Izalith จริงๆ มาจากน้ำมือของผู้สถาปนานครนี้เสียเอง ตอนนี้นคร Izalith ได้กลายเป็นเเค่เศษซากไปแล้ว เเต่ไม่ว่า Chaos Flame มันจะสร้างปัญหาเพียงใดก็ตาม พลังของมันก็มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เเม่มดเเห่ง Izalith จะปล่อยให้หลุดมือไป ( มาถึงจุดนี้ก็ให้คิดซะว่า Chaos Flame ก็เหมือนกับพลังงานนิวเคลียร์ในโลกความจริงของเรานี่เอง ที่มีทั้งผลดีเเละผลเสียอยู่ที่ว่าใครจะใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร ) เพื่อที่จะควบคุม Chaos Flame แม่มดแห่ง Izalith และลูกสาวอีกสองคนยอมถูก Chaos Flame กลืนกินจนกลายสภาพเป็นอสูรอย่างเต็มตัว เเละได้สร้าง Bed of Chaos ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับรากต้นไม้ ชอนไชไปตามซากมหานครที่ว่างเปล่าซึ่งเคยเป็นมหานครอันรุ่งเรือง แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำไปเสียเเล้วและถูกเรียกขานต่อๆกันมาว่า Lost Izalith แต่ทว่าบนเศษซากเหล่านั้นก็ได้ถือกำเนิดอารยธรรมใหม่ อารยธรรมของเหล่าอสูรแห่ง Izalith  ที่ต่อมาจะเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับเหล่าทวยเทพไปจนถึงจนวาระสุดท้ายของโลกใบนี้   คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบลงไปแล้วนะครับกับบทที่สอง “อำนาจของเหล่าทวยเทพและยุคแห่งเพลิง” อันที่จริงเรื่องราวของเกม Dark Souls นี่มันสามารถจะเป็นบทเรียนสอนคนได้เลย เพราะมันมีข้อคิดที่แฝงอยู่ในการกระทำต่างๆของตัวละครเยอะมาก แล้วท่านผู้ชมละครับรู้สึกยังไงบ้าง ตัวผมบอกตรงๆเลยว่ากว่าจะเขียนบทนี้จบได้เล่นเอาปวดหัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องราวของแม่มดแห่ง Izalith ที่มีทฤษฎีให้คิดอยู่เต็มไปหมด ส่วนในเรื่องของ Nito เเม้จะมีอยู่เพียงนิดเดียวก็ตาม เเต่ผมก็อยากให้ท่านผู้ชมลองไปเล่นเองในตัวเกม Dark Souls ภาคเเรกเพื่อสัมพัทธ์ความน่ากลัวของมัน เเละอย่าเพิ่งเบื่อหน้ากันนะครับ เพราะผมมีเรื่องของเกม Dark Souls ให้เล่าต่อยาวเป็นหางว่าวเลย แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวไปก่อน เจอกันในบทที่สามซึ่งเราจะมาพูดถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า!
06 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls บทที่ 1 การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร
“Dark Souls” ชื่อนี้คงคุ้นหูใครหลายๆคนและแน่นอนว่าคนที่เคยเล่นเกมนี้จะต้องมีอาการหัวร้อนกันอย่างแน่นอน และอีกทั้งเนื้อเรื่องในเกมที่ชวนมึนงงชนิดที่ว่าต้องส่ายหัวกันเลยทีเดียว  หากเราเล่นแบบเพลินๆเผลอแป๊บเดียวอาจจะจบเกมไปแล้วโดยที่พลาดเนื้อหาสำคัญๆก็เป็นได้ เพราะพวกรายละเอียดเหล่านี้ถูกผู้สร้างซ่อนอยู่ในตลอดการเดินทางของผู้เล่น วันนี้ผมจึงจะมาเป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ที่จะช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวของจักรวาล Dark Souls ให้กับผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราก็มาลุยกับบทแรกกันเลยกับ! “การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” โลกของเหล่ามังกรและการมาถึงของไฟ เมื่อโลกถือกำเนิดขึ้น ทั้งผืนดิน,ท้องฟ้า, แหล่งน้ำ ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทาไม่มีทั้งค่ำคืนไม่มีทั้งรุ่งสาง ยุคนี้ได้ถูกเรียกว่า Age of Grey และพื้นพิภพได้ถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง นั้นก็คือ Everlasting Dragon หรือเรียกง่ายๆว่า “มังกรนิรันดร” ( ภาพประกอบ : โลกของ Dark Soul ในยุคเริ่มต้น ) ร่างกายของพวกมันมีเกล็ดที่แข็งแกร่งและทนทานต่อการโจมตีอีกทั้งยังไม่มีอายุขัย,ไม่แก่ชราเป็นร่างกายที่คงกระพัน มังกรเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า Arch Tree ยอดของมันสูงทะยานขึ้นไปจนเกือบจะแตะกับก้อนเมฆ บนพื้นพิภพไม่มีสิ่งใดกล้าต่อกรกับบรรดามังกรเหล่านี้ แต่ใต้ดินลึกลงไปเบื้องล่างได้เกิดปรากฏบางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดการ ( ภาพประกอบ : Everlasting Dragon หรือก็คือ “มังกรนิรันดร”  ) First Flame กองเพลิงกองแรกบนโลกได้ลุกโชนขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร มันลุกโชนขึ้นมาท่ามกลางความมืดและความหนาวเหน็บ แสงสว่างและความอบอุ่นได้ไปกระตุนความสนใจบรรดาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ใต้ดิน และมีสิ่งมีชีวิต 3 ตนได้ค้นพบ  “Lord Soul” หรือจิตวิญญาณอันทรงพลังจากข้างในกองเพลิง พวกมันจึงยึดครอง Lord Soulแต่ละดวงไว้กับตนเองเพื่อให้ได้พลังที่ยิ่งใหญ่ ( ภาพประกอบ : First Flame ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด  ) นามของตนแรกคือ “Gwyn เทพแห่งพระอาทิตย์” เป็นตัวแทนของแสง,และเป็นผู้นำของกองทัพ Silver Knight ( ภาพประกอบ : Gwyn และกองทัพ Silver Knight  ) ตนต่อมาคือ “Nito  จ้าวแห่งความตาย” มีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์และมีดาบคู่กายเล่มใหญ่เป็นอาวุธ ( ภาพประกอบ : Nito เทพเจ้าแห่งความตาย  ) และตนสุดท้าย “แม่มดแห่ง Izalith” ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งการใช้ไฟ และนางยังได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไปยังบรรดาลูกสาวซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า Daughters of Chaos  โดยต่อมาเผ่าพันธุ์ของLordทั้งสามได้ถูกเรียกว่า Giant (ยักษา) ( ภาพประกอบ : แม่มดแห่ง Izalith ) แต่ถ้าหาก Lord Soul เกิดขึ้นจากแสงสว่างของ First Flame เงาของมันก็ย่อมให้กำเนิด Soul ได้เช่นกัน นั้นก็คือ “The Dark Soul” มันถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวเล็กๆตนหนึ่งแต่แทนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จะเก็บเอา Dark Soul ไว้เพียงคนเดียวเหมือนกับบรรดา Lord ทั้งสามก่อนหน้านี้ มันกลับเลือกที่จะแยก Dark Soul ออกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนจากนั้นแจกจ่ายไปยังพวกพ้องสายพันธุ์เดียวกัน ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกนั้นเอง ( ภาพประกอบ : Pygmy Lord คนแรก ) โดยผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Pygmy Lord ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือตำแหน่งราชานั้นเอง ในตัวเกมไม่ได้บอกไว้ว่ามี Pygmy Lords กี่คนแต่อนุมานจากเนื้อเรื่องแล้วน่าจะมีเยอะมาก เพราะมันเป็นเหมือเชื้อสายกษัตริย์ที่มีการสืบราชวงศ์ต่อๆกันมา มหาสงครามครองพิภพ เมื่อถึงจุดที่อาณาจักรของ Gwyn นั้นเรืองอำนาจมากขึ้น Gwyn ได้นำกองทัพ Silver Knight ของตนเข้าทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงหรือบางทีมันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่อยากพิชิตจุดสูงสุดของห่วงโซ่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่างอย่าง Gwyn ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นดวงตะวันบนพื้นพิภพลอยสุขสว่างแทนที่โลกอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทา ทางด้านของพวกมังกรนิรันดรผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดดูว่าถ้าหากมีมดตัวเล็กๆกำลังกัดเราอยู่ ก็คงเดาไม่ยากเลยว่าเราจะทำอย่างไรกับมัน ถึง Gwyn จะมีกองทัพ Silver Knight และขุนพลมือฉมังในสังกัดจำนวนมาก แต่เห็นทีสงครามใต้ผืนฟ้าสีเทาครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งนานวัน Gwyn ค่อยๆถูกเหล่ามังกรนิรันดรเข้าบดขยี้กองทัพจนและเริ่มสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าทวยเทพที่เป็นวงศาคณาญาติหรือเผ่าพันธุ์เดียวกันกับ Gwyn จ่างก็เริ่มล้มตายจากการต่อสู้ ( ภาพประกอบ : เหล่าบรรดาขุนพลของ Gwyn ที่รบในสงครามมังกร ) บีบให้ Gwyn ต้องเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้...แม้หนทางนั้นจะต้องดำดิ่งสู่ความมืดก็ตาม เขาได้รวมมือกับ Nito และแม่มดแห่ง Izalith เพื่อที่จะเอาชนะในมหาสงคราม เอาจริงๆมันเหมือนตลกร้ายที่สิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าต้องขอความร่วมมือกับตัวแทนแห่งความตายและแม่มดนอกรีต แม้ตอนนี้ Gwyn จะได้พันธมิตรมาเพิ่มแต่เขาก็ยังคงแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากกว่านี้ เขาต้องการกองกำลังที่จะมาเป็นหมากใต้บังคับบัญชาหรืออย่างน้อยก็สนับสนุนตัวเขาเพียงคนเดียว โดยทางออกก็คือกองกำลังนักรบของ Pygmy Lord นั้นเอง นักรบพวกนี้ในภายหลังจะถูกเรียกขานว่า Ringed Knight ( ภาพประกอบ : Ringed Knight และศาสตราวุธอันทรงพลัง ) ซึ่งเป็นนักรบที่มีฝีมือช่ำชองในการรบระยะประชิดอย่างมากจึงได้รับหน้าที่เป็นหน่วยประจัญบานกับมังกร สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาขุนพลของ Gwyn ในแนวหน้า ทำให้  Silver Knight ส่วนมากต้องแปรเปลี่ยนเป็นกองหนุนระยะไกล คอยยิงธนูขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อยิงมังกรให้ตกจากท้องฟ้าโดยเฉพาะ ( ภาพประกอบ : ภาพภายในเกมของ Dragonslayer Greatbow หรือธนูสังหารมังกร ) ความลับในความเก่งกาจดุจปีศาจของ Ringed Knight พวกนี้มาจากอาวุธและชุดเกราะที่ตีขึ้นจากใน The Abyss  ซึ่งเป็นสถานที่ๆมีแต่ความมืดมิดไร้จุดจบ โดยชุดเกราะจะดึงเอาพลังจาก Dark Soul ในตัวของมนุษย์ออกมาเพิ่มพลังให้กับคนที่สวมใส่มันและที่สำคัญเลยก็คือคนพวกนี้เป็นอมตะ! จากท่าทีเสียเปรียบตั้งแต่ต้นของGwyn ในสงครามมาตอนนี้เขาพอที่จะมีกำลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสงครามกับเหล่ามังกรครั้งนี้เกือบจะต้องกินเวลาแสนนานไม่รู้จบเสียแล้ว หาก Gwyn ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ทรยศที่เป็นหนึ่งในบรรดามังกรนิรันดร นามของมังกรตัวนั้นคือ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด ( ภาพประกอบ : Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด)  Seath เกิดมาในฐานะของมังกรนิรันดรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่บนจุดสูงสุดเหนือเผ่าพันธุ์อื่น แต่ตัว Seath นั้นแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเพราะมีร่างกายที่พิกลพิการไม่มีขาและไร้ซึ่งเกล็ดทำให้มองเห็นเนื้อสีขาวที่บอบบาง และอีกสิ่งที่ไม่มีก็คือความคงกระพันที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกรนิรันดร ปราศจากมันเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ Seath ไม่ถูกยอมรับและถูกมองข้ามจากเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันเอง เป็นแค่ตัวภาระในสงครามที่ไม่สามารถออกรบได้ มันเป็นบาดแผลในใจผนวกกับความแค้นในโชคชะตาที่ต้องเกิดมาต้องพิกลพิการและถูกปฏิเสธจากเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่ใช่ว่า Seath จะยอมรับต่อชะตากรรมเช่นนี้ เขาทดแทนร่างกายที่อ่อนแอด้วยความพยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้ และแล้ว Seath สามารถสร้างศาสตร์แห่ง Sorcery หรือก็คือเวทย์มนต์ขึ้นมาได้ ( ภาพประกอบ : พลัง Sorcery ในเกม Dark Souls ) ด้วยความแค้นที่ฝังลึก Seath ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn และช่วยเหล่าเทพคิดค้นศาสตร์แห่ง Miracle ศาสตร์ที่ต้องอาศัยความศรัทธาเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ Gwyn จึงสามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังที่ทำลายเกล็ดอันแข็งแกร่งของเหล่ามังกรนิรันดรลงได้และแน่นอนว่า Gwyn ต้องติดอาวุธใหม่นี้ให้กับกองกำลัง Silver Knight ของเขาด้วยอย่างแน่นอน ( ภาพประกอบ : พลัง Miracle ที่ Gwyn ใช้สร้างสายฟ้าเพื่อสังหารมังกรนิรันดร) เมื่อเกล็ดหลุดหายไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า Nito จ้าวแห่งความตายก็รับไม้ต่อทันที เขาจัดการใช้พลังสร้างโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายที่ไร้การป้องกันของพวกมังกรทำให้เจ็บปวดทรมานจนตาย เมื่อเหล่ามังกรเห็นว่าความคงกระพันของพวกตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายล้วนต่างก็หวาดกลัวแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียแล้ว เพราะแม่มดแห่ง Izalith และลูกๆของนางได้ใช้พลังไฟเผาต้น  Arch Tree ที่เป็นบ้านของเหล่ามังกรจนหมดสิ้น ( ภาพประกอบ : การต่อสู้ในสงครามมังกรของ Nito และแม่มดแห่ง Izalith )  ชั่วพริบมหาสงครามอันยาวนานก็ได้จบลง นับจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเหล่ามังกร เมฆหมอกสีเทาที่เคยบดบังท้องฟ้าได้หายไปเผยให้เห็นรุ่งอรุณที่สดใส่บนฝากฟ้าและโลกก็ได้เข้าสู่  Age of Fire หรือยุคแห่งไฟ ยุคของ Gywn อย่างแท้จริง ( ภาพประกอบ : กองพะเนินศากศพของเหล่ามังกร ) จบลงไปแล้วกับ Lore บทที่หนึ่ง “การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” ในเกม Dark Souls ที่ผมได้รวบรวมและปะติดปะต่อเรื่องราวที่มีอยู่อันน้อยนิดมาให้กับท่านผู้อ่านได้รับชม ผมยินดีมากถ้าหลายๆคนอยากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับLoreที่แตกต่างออกไป เพราะตัวเกมเหมือนจะออกแบบให้เนื้อเรื่องมีความกำกวมอยู่ในตัว เช่น ตัวเกมอธิบาย 40% ที่เหลือต้องสังเกตเอาเอง จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกัน ส่วนบทต่อไปนั้นเราจะไปดูเหตุการณ์หลังสงครามกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดา Lord ทั้งสาม และการเผยโฉมศัตรูที่แท้จริงของ Gwyn… บทความนี้เขียนโดย thong baithong
28 Oct 2019
ผู้สร้าง Dark Soul ได้รับรางวัลสูงที่สุดในงาน Golden Joysticks
Hidetaka Miyazaki บิดาผู้สร้างเกมซีรีส์หัวร้อนชื่อดังอย่าง Dark Soul จากผลงานเกมสุดยอดเยี่ยมมาทุกๆ ภาค ล่าสุดเจ้าตัวได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award ในงาน Golden Joysticks ณ เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยรางวัลนี้จะให้แก่บุคลากรที่ประสบความสำเร็จในวงการเกม ซึ่งทาง Hidetaka Miyazaki ก็ได้ให้เครดิตไปถึงทีมพัฒนาของตนอย่าง From Software ทุกๆ คนที่ทำงานมาตลอดหลายปี "มันเซอร์ไพร์สและเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Golden Joystick Award อันทรงคุณค่านี้ ซึ่งตัวรางวัลนี้มันไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่มันเป็นของทุกๆ คนที่ร่วมทำงานกับผมมาหลายๆ ปีที่สร้างเกม เหล่าผู้คนที่แชร์ Passion กับผม และอยากจะขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่มาร่วมมือกันใน From Software หรือผู้จัดจำหน่ายของเรา ผมขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้ง ครอบครัวที่คอยช่วยเหลือ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากขอบคุณผู้เล่นทุกคน ที่สนุกและซาบซึ้งในเกมของผม ซึ่งผมเองมีแผนที่จะทำเกมไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ผมจะทำได้ และผมจะพยายามให้เต็มที่เพื่อทำให้แน่ใจว่าเกมเหล่านี้จะทำให้คุณสนุก ผมขอขอบคุณทุกการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในอนาคต" ชม Golden Joystick Awards 2018 จาก GoldenJoystickAwards ที่ www.twitch.tv โดยตอนนี้ทีม From Software พึ่งจะเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Sekiro: Shadows Die Twice ที่จะเป็นเกมคล้ายๆ Dark Soul แต่จะมีระบบการเล่นที่แตกต่างไปเข้าถึงผู้เล่นง่ายขึ้น รวมถึงเราจะได้เข้าสู่ยุคแห่งซามูไรอีกด้วย https://www.youtube.com/watch?v=37Rrmdw8DUs ซึ่งเกมนี้มีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงเดือนมีนาคมปี 2019 บนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ขอบคุณข้อมูลจาก VG247  
19 Nov 2018
กว่าจะมา! Bandai Namco ประกาศวันวางจำหน่าย Dark Souls: Remastered ใน Switch
หลังจากที่โดนโรคเลื่อนและเงียบหายกันไปให้ลุ้น ล่าสุด Bandai Namco และ From Software ได้ประกาศวันวางจำหน่ายเกม Dark Souls: Remastered และหุ่น Amiibo Solaire of Astora แล้ว คือวันที่ 19 ตุลาคมนี้! Praise The Sun! DARK SOULS: Remastered for #NintendoSwitch and the Solaire of Astora amiibo will launch on Oct. 19th! Journey to Lordran and experience the groundbreaking action-RPG on the go! An online Network Test will be scheduled prior to release. Stay tuned for more info. pic.twitter.com/WE1xNmLi0j — Bandai Namco US (@BandaiNamcoUS) August 14, 2018 สำหรับเกม Dark Souls: Remastered เคยวางจำหน่ายในคอนโซล PS4, Xbox One, PC ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในตอนแรกจะวางจำหน่ายเกมสำหรับเครื่อง Switch พร้อมๆ กัน ก่อนที่ Bandai Namco จะออกมาประกาศว่าเกมจะเลื่อนไปออกช่วงปลายปีแทนเพื่อให้ทีมพัฒนาได้มีโอกาสปรับแต่งเกมให้เหมาะสมกับ Switch ให้มากที่สุด นอกจากนี้ ผู้พัฒนายังประกาศด้วยว่าเกมจะทำการเปิดทดสอบระบบออนไลน์ก่อนวันวางจำหน่ายด้วย แต่ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัด
14 Aug 2018
ถึงเวลาสลับบทบาท! Dark Souls 3 จะมี Mod ใหม่ ให้ผู้เล่นสามารถเป็นบอสได้
เว็บ Kotaku เปิดเผยว่า Dark Souls 3 เกมแนว Action RPG แบบ Open World จากค่ายผู้พัฒนา FROM SOFTWARE กำลังจะมี Mod ใหม่ ชื่อ "The Forces of Annihilation Mod" เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นบอส โดย DATEHACKS กลุ่มผู้สร้าง Mod ได้เปิดเผยคลิปอธิบาย Mod ซึ่งใช้เวลาพัฒนานานร่วม 3 ปี และคลิปเกมเพลย์ผ่านทางเว็บ Reddit ด้วย นอกจากนี้ผู้สร้าง Mod ได้เตือนผ่านคลิปว่า การใช้ Mod ไม่ควรใช้ในเกมแบบออนไลน์เด็ดขาด เพราะว่าถึงแม้ว่าพอเราใช้ Mod แล้วเราจะสามารถเห็นหรือควบคุมบอสให้โจมตี NPC หรือมอนสเตอร์ได้ แต่ผู้เล่นคนอื่นจะยังคงเห็นเกมเป็นแบบปกติ นอกจากนี้เรายังไม่สามารถโจมตีผู้เล่นคนอื่นด้วยบอสที่เราครอบครองอยู่ได้ ฉะนั้นการใช้ Mod เล่นออนไลน์ก็มีแต่แค่จะทำให้ถูกแบนเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการในการปล่อย The Forces of Annihilation Mod ออกมาอย่างแน่ชัด แต่คาดว่าคงไม่นานเกินรอ และอาจมีการอัพเดทข่าวความคืบหน้าผ่านเว็บ Reddit ในอาทิตย์หน้าด้วย ทั้งนี้ Mod ที่อนุญาติให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทเป็นบอส ไม่ได้เพิ่งมีแค่ใน Dark Souls 3 แต่ผู้สร้าง Mod อย่าง DATEHACKS เคยปล่อย Mod "Age of Fire" ของ Dark Souls มาแล้วเหมือนกัน หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจสามารถเล่น Dark Souls 3 ได้ผ่านทาง  PS4, Xbox One และ PC ปล.ล่าสุดคลิปเกมเพลย์และคลิปอธิบายการใช้ Mod ได้สายลมแล้ว รวมถึงแหล่งที่มาจาก Reddit ก็ปลิวไปแล้วเช่นกัน
13 Aug 2018
Amazon Italy หลุดข้อมูลเกมเพียบ ทั้ง Sunset Overdrive 2, Bloodborne 2, Splinter Cell
คงต้องฟังหูไว้หูกันให้หนักๆ เลยกับข่าวนี้ เมื่อเกมเมอร์จากเว็บบอร์ด Resetera ขาประจำได้โพสต์รายงานถึง Amazon Italy ที่ล่าสุดได้เพิ่มหน้าสินค้าสำหรับเกมมากมาย ตั้งแต่ Bloodborne 2, Sunset Overdrive 2 และSpinter Cell ภาคใหม่ แถมยังเฉลยวันวางจำหน่ายเกม Dreams และ Dark Souls Remastered สำหรับ Switch อีกด้วย   สำหรับเกม Bloodborne 2 และ Sunset Overdrive 2 นั้นเรียกว่าเชื่อยากทั้งสองเกม เพราะทาง From Software ผู้พัฒนา Bloodborne ก็มีงานเต็มมือทั้ง Sekiro: Shadows Die Twice และเกม PSVR Deracine ส่วนผู้พัฒนาเกม Sunset Overdrive อย่าง Insomniac ก็เคยประกาศชัดเจนว่าไม่มีแผนจะสร้างภาคต่อ (เกมภาคแรกเวอร์ชั่น PC ที่รับปากมานานยังไม่ออกด้วยซ้ำ)   ส่วน Splinter Cell นั้นมีข่าวแว่วๆ มาว่าจะเปิดตัวในงาน E3 หลังจากที่ Ubisoft ได้ปล่อย DLC ที่พาพระเอก Sam Fisher ไปเป็นแขกรับเชิญในเกม Ghost Recon: Wildlands แม้ว่าสุดท้ายเกมจะไม่ได้เปิดตัวในงานอย่างที่คาดกัน แต่ในปีนี้ก็ยังมีงานเกมใหญ่ๆ อย่าง Gamescom อยู่ซึ่งเป็นงานใหญ่สำหรับค่ายฟังยุโรป จึงเป็นไปได้ว่า Ubisoft อาจจะกั๊กเกมไว้เปิดตัวในงานนั้น (เดือนสิงหาคม) ก็ได้   สำหรับเกม Dreams เกม Playstation Exclusive จากผู้สร้างเกม Little Big Planet นั้นเคยเปิดตัวกันไปแล้ว แต่ไม่เคยประกาศวันวางจำหน่ายมาก่อน ในเว็บ Amazon Italy บอกว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งจะชนกับเกมเรือธงของโซนี่อย่าง Days Gone และเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Anthem และ Metro: Exodus จึงดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ (แถมผู้พัฒนาเคยรับปากว่าจะวางจำหน่ายปีนี้)   เกม Dark Souls Remastered ดูจะเป็นเกมเดียวที่อาจจะมีความเป็นไปได้ โดยใน Amazon Italy ลงวันวางจำหน่ายไว้เป็นวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ Nintendo จะวางจำหน่าย Amiibo Solaire of Astora จึงดูจะสมเหตุสมผลที่สุดในเกมที่หลุดออกมา
02 Jul 2018
ขา PC ยิ้ม! Dark Souls: Remastered หลุดใน Steam ก่อนขายจริงหนึ่งวัน!
สำหรับเกมเมอร์สายโหดทั้งหลายที่รอจะสัมผัสเกมสุดฮิดอย่าง Dark Souls ในเวอร์ชันปรับปรุงใหม่อีกครั้ง สามารถเข้าไปโหลดเกมมาเล่นผ่าน Steam ได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน จากกำหนดการเดิมที่จะวางจำหน่ายพรุ่งนี้! โดยนอกจากกราฟิกแล้ว ในเวอร์ชันใหม่นี้ยังปรับปรุงการทำงานของเกมให้เป็น Full-HD 1080p (และซัพพอร์ต 4K) 60FPS อีกด้วย (ภาค Switch สุดแค่ 30FPS) และแก้บั๊กหลายๆ จุดทำให้เกมเป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ เวอร์ชันใหม่ยังปรับปรุงระบบอื่นๆ ในเกมขึ้นเล็กน้อย เช่นทำให้สามารถรองรับผู้เล่นในโหมดออนไลน์ได้ 6 คนจากเดิมได้ 4 คน เป็นต้น สำหรับผู้ที่เคยซื้อเกมเวอร์ชัน Dark Souls: Prepare to Die Edition มาก่อนแล้ว สามารถซื้อเกมเวอร์ชันใหม่นี้ได้ในราคา 50%! เพื่อนๆ ที่เคยเล่นแล้วคิดถึงบอสตัวไหนใน Dark Soul มากที่สุด คอมเมนต์เข้ามาคุยกันนะ!
24 May 2018
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "Dark Souls"
ผู้กำกับ Dark Souls เผย ที่เกมยาก เพราะเขาอยากโดนแบบในเกม!!
ในรายการ Game no Shokutaku ที่เป็นรายการ podcast ของทางฝั่งญี่ปุ่น ได้มีตอนหนึ่งที่ Hidetaka Miyazaki ผู้กำกับของเกม Dark Souls ไปออกรายการซึ่งบทสัมภาษณ์นี้ถูกนำไปพูดถึงอีกครั้งผ่านบัญชี Twitter ของ @_7albi โดยเขาทวิตบทสัมภาษณ์ฉบับภาษาอังกฤษ พร้อมข้อความว่า “บทสัมภาษณ์ของคนสร้าง Dark Souls ช่วยบอกพวกเราเป็นอย่างดีว่าทำไมเกมตระกูล Souls ถึงได้ยากมากถึงขนาดนั้น” โดยในบทสัมภาษณ์ ทางพิธีกรได้ถามถึงแรงบันดาลใจในการสร้างเกมสไตล์ยากสุดโหดหินเอาไว้ว่า “ระหว่างการพัฒนาตัวเกม ทีมของพวกคุณยิ้มไปพลางขณะที่คิดว่าผู้เล่นจะต้องตายยังไงบ้างไหม?”ด้าน Miyazaki ได้ปฏิเสธทันควัน พร้อมกับตอบกลับว่า “สำหรับผมมันไม่ใช่แบบนั้นนะ ผมเคยได้รับคำถามแบบนี้จากสื่อต่างประเทศเหมือนกัน คำตอบของผมคือ ไม่! ทำไมพวกคุณถึงทำตัวซาดิสต์กันจัง”Miyazaki ยังกล่าวอีกว่า “ผมไม่รู้เกี่ยวกับทีมงานคนอื่นหรอกนะ แต่ผมค่อนข้างจะเป็นมาโซคิสต์ (พวกที่ชอบถูกกระทำ) ตัวพ่อเลยล่ะ เพราะฉะนั้นในตอนที่ผมสร้างเกมนี้ ผมคิดเอาไว้ว่าผมอยากโดนแบบนี้กับตัวเองนั่นแหละ”ซึ่งทางพิธีกรอย่าง Isomura และ Moruhashi ยังได้ถามต่อ “จริงเหรอ? คุณอยากตายอยู่ในป่าลึก หรือถูกจู่โจมโดยเห็ดยักษ์เนี่ยนะ? คุณอยากโดนห่าฝนของลูกธนูยิงตายงั้นเหรอ?”แน่นอนว่าทาง Miyazaki ยังคงยืนยันคำเดิม “ใช่แล้ว มันต้องมีความสุขมากแน่เลย ผมอยากจะโดนแบบเน้น ๆ เลยล่ะ” ดูเหมือนว่ามาโซคิสต์ตัวพ่อคนนี้จะสร้างเกมออกมาสนองกิเลสตัวเองได้ตรงใจกับเกมเมอร์ทั่วโลกมากมายเลยล่ะครับ เพราะยอดขายของเกมตระกูล Souls ที่ทำได้ในตอนนี้นั้น ปาเข้าไปถึง 27 ล้านชุดแล้วแหล่งข้อมูล: thegamerscreenrant
16 Dec 2021
Elden Ring วิเคราะห์ข้อมูลจาก Trailer พร้อมสรุปสิ่งที่เราน่าจะได้เห็นในเกม!
ในงาน E3 2021 และ Summer Game Fest ได้มีการประกาศเปิดตัว รวมถึงเผยข้อมูลข่าวสารของเกมน่าสนใจมากมาย ทั้งที่มีกำหนดจะขายหลังจากนี้ชัดเจนแล้ว และที่มาเพียงแค่เปิดตัวให้โลกได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ แม้งานจะจบไปได้ 2 อาทิตย์แล้ว แต่ยังคงมีควันหลง หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลเกมที่มาโชว์ในงานอยู่ตาม Socia Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Twitter. Facebook หรือ Reddit ซึ่งหนึ่งในเกมที่ได้รับความสนใจสุดๆ ก็คือ Elden Ring เกม ARPG ใหม่จากทาง From Software อาจจะเพราะด้วยความกระหายข้อมูลใหม่ที่มีมานานของแฟนๆ จึงทำให้ตัวเกมยังคงถูกพูดถึงอยู่ แม้งานจะจบไปแล้ว บวกกับข้อมูลเกมชุดใหม่ที่คุณ Hidetaka Miyazaki เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ และการได้ทราบวันวางจำหน่ายหลังจากเฝ้ารอมานานด้วยที่ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับ Elden Ring ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่เกมเมอร์หลายคนให้ความสนใจกันอยู่ในตอนนี้ ตัวผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นเต้นกับผลงานใหม่จาก From Software นี้มากๆ วันนี้จึงอยากขอแสดงความคิดเห็น รวมถึงความคาดหวังเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะได้พบในผลงานใหม่ชินนี้ว่าด้วยคอนเซ็ปต์ ธีม และโทนสีที่ผ่านมาเกมที่คุณ Hidetaka Miyazaki เป็นผู้กำกับดูแลด้วยตัวเอง มักมีธีมหม่นๆ ให้เราผจญภัยในสถานที่ปิดอย่างคุกใต้ดิน, ปราสาทขนาดใหญ่, เมืองที่ล่มสลาย, หรือต่อให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เวลาของสถานที่นั้นก็มักจะเป็นตอนกลางคืน หรือไม่ก็มีท้องฟ้าที่อยู่โทนสีตอนเย็นไปจนก่อนรุ่งอรุณ ขนาดผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro ที่น่าจะเป็นเกมซึ่งผู้เล่นได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์มากที่สุด ก็ยังมีการใช้สีเทาในการแต่งแต้มท้องฟ้าให้ออกมาดูหม่นๆ อย่างไรก็ตาม Sekiro ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างจะแตกต่างจาก 5 ผลงานแรกของเราอย่าง Demon's Souls, Dark Souls 1 - 3 และ Bloodborne มากอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ถูกเล่าให้เข้าใจง่ายมากขึ้น เกมเพลย์ที่สามารถเคลื่อนที่แบบ 3 มิติได้ หรือกระทั้งความเร็วของการต่อสู้ กับรูปแบบการเล่น ที่เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการทดลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งมันก็ได้รับเสียบตอบรับที่ดีจากผู้เล่นที่นี่จากบทสัมภาษณ์ของ IGN ที่เคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึง Trailer ล่าสุดที่ปล่อยออกมาในงาน Summer Game Fest มันทำให้เรารู้ว่าธีมของเกมใหม่นี้ จะกลับไปใช้เซ็ตติ้งอาวุธ ชุดเกราะตะวันตกแบบเดียวกับตระกูล Souls แต่ไม่ได้เอาความมืดมิดอันเป็นเอกลักษณ์มาด้วย ซึ่งคุณ Miyazaki ได้เลือกที่จะใช้ธีมแสงออกไปทางสว่างมากขึ้นแบบเดียวกับ Sekiro (สังเกตได้จากแสงอาทิตย์และแสงจากต้นไม้ขนาดยักษ์ ซึ่งทำให้โลกของเกมดูสว่าง) จึงอาจกล่าวได้ว่า ผลงานใหม่นี้เป็นการรวมเอาเสน่ห์ของเกมตระกูล Souls กับ Sekiro เข้าไว้ด้วยกันทีนี้ว่าจากคำบอกเล่าของคุณ Miyazaki เราจะยังคงได้เห็น เวทมนต์ ความตาย กองทัพผีดิบ รวมถึงปีศาจขนาดยักษ์อยู่ในเกมนี้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้รับการยืนยันทั้งจากปากของผู้พัฒนาเอง และตัวอย่าง คือเหล่าปีศาจจาก Cthulhu Mythos (ปีศาจหัวปลาหมึก หรือปีศาจหนวดๆ) ที่มักจะเห็นได้ในทุกๆ เกมของเขา ซึ่งเอาจริงๆ ผู้เขียนอยากเห็นอะไรแบบนี้อีกในผลงานจาก From Software เพราะมันช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีจริงๆ โดยในผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro แทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับ Cthulhu Mythos อยู่เลย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าคาดหวังที่จะได้เห็นปีศาจเหล่านั้นอีกในเกมใหม่นี้ว่าด้วยเนื้อเรื่องประกาศออกมาพร้อมๆ กับเปิดตัวเกมเลยว่าเนื้อเรื่องของเกม Elden Ring จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Miyazaki และ George RR Martin ผู้แต่ง Game of Thrones แถมยังหน้าตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อเราได้รับการยืนยันว่า วืธีการเล่าเรื่องของเกมนี้จะเป็นแบบเดียวดั้งเดิม คือไม่เล่าตรงๆ แต่ให้ผู้เล่นไปทำความรู้จักกับโลกภายในเกมเอาเอง ผ่านการพูดคุยกับ NPC และคำอธิบายไอเทม ซึ่งล่าสุดหน้าเว็บไซต์ของเกมได้มีการเล่าเนื้อเรื่องคร่าวๆ ของเกมไว้ด้วยElden Ring จะกล่าวถึงอาณาจักรที่ชื่อว่า The Lands Between มี Erdtree ต้นไม้สีทอง ซึ่งเป็นแหล่งพลังของวงแหวน Elden Ring สูงตระหง่านอยู่ตรงใจกลาง อาณาจักรแห่งนี้ถูกปกครองโดย Queen Marika the Eternal โดยพลังของเธอคาดว่าเชื่อมโยงกับ Elden Ring ไม่มากก็น้อย ส่งผลให้ลูกๆ ของเธอถูกเรียกว่า Demigods หรือครึ่งเทพ แต่จุดสิ้นสุดของยุคที่รุ้งเรื่องได้มาถึงเมื่อ Elden Ring ถูกทำให้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ผลึกที่แตกออกมานี้ถูกเรียกว่า Elden Rune ซึ่งผู้ที่ครอบครองมันจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่มา จนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแย่งชิง Elden Rune ระหว่าง Demigod ขึ้น เกิดเป็นความบ้าคลั่งในตอนที่วงแหวน Elden Ring ถูกทำลายมันก็ได้ทำให้แสงสว่างของ Erdtree ส่องสว่างนำทางให้กับ Tarnished นักรบไร้ชื่อที่เคยถูกเนรเทศออกไปจาก The Lands Between ได้หวนคืนสู่อาณาจักร เพื่อรวบรวมเศษชิ้นส่วน Elden Rune จากเหล่า Demigod และเมื่อทำสำเร็จ The Tarnished จะได้กลายเป็น Elden Lord คนถัดไป ซึ่งอ่านๆ ดูแล้วจะสังเกตได้ว่ามีความใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 มากๆอีกหนึ่งคำถามที่เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนให้ความสนใจ คือประเด็นเรื่อง "ความเชื่อมโยง" ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยนำเสนอทฤษฎีความเป็นไปได้ของการที่ Demon's Soul, Dark Souls และ Bloodborne อยู่ในจักรวาลเดียวกัน และอยู่บน Timeline ที่ต่อเนื่องกัน ส่วนความเชื่อมโยงกับ Sekiro ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าอาจเป็นประเทศทางตะวันออก ซึ่งโผล่มาแค่จากคำบอกเล่าของ NPC ภายในเกมตระกูล Souls มาโดยตลอด ดังนั้นมันจึงน่าสนใจไม่น้อยเลยหาก Elden Ring เองจะเชื่อมโยงกับเกมอื่นๆ ของ From Software ด้วยแต่ไม่ว่าเนื้อเรื่องของเกมใหม่นี้จะเป็นยังไงสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม คือมันจะกล่าวถึงโลกที่กำลังล่มสลาย อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ IGN ในช่วงปี 2019 "Elden Ring ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ได้มีความหมายอะไรที่เกี่ยวกับแหวน แต่มันคือ 'วงกลม' อันเป็นองค์ประกอบที่ลึกลับและเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างโลก เป็นกฎเกณฑ์และจังหวะของโลก แต่อย่างที่เห็นในตัวอย่างแรก มันได้เริ่มพังทลายลงจากบางสิ่ง"เรื่องราวเกี่ยวกับการล่มสลาย หรือการพังทลายของอะไรบางอย่าง มักเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในเกมของ From Software เสมอ มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ Elden Ring เอง อาจเป็นโลกอีกหนึ่งใบที่มีความเกี่ยวข้องกับเกมที่ผ่านๆ มาของทางค่าย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่แน่ว่า Elden Ring อาจเป็นเรื่องราวก่อน / หลัง หรือโลกแห่งภาพวาดอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครสักคนในจักรวาลของ Darks Souls ซึ่งมันจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยหากมันเกี่ยวข้องกับผลงานก่อนหน้านี้ของพวกเขาจริงๆว่าด้วยเกมเพลย์เบื้องต้นขอทบทวนข้อมูลทั้งหมดที่เราได้รับการยืนยันแล้วจากปากผู้พัฒนาก่อน (สามารถอ่านเต็มได้ผ่านบนความก่อนหน้านี้ของเรา ลิงก์นี้ )ผู้เล่นจะสามารถเรียกวิญญาณของศัตรูขึ้นมาช่วยต่อสู้ได้ผู้เล่นจะสามารถร่วมมือกันผ่านระบบ Online Co-op ได้โลกของเกมจะแบ่งออกเป็น 6 เขต ซึ่งแต่ละเขตจะปกครองโดยบอสระดับเทพเกมจะมีระบบลอบเร้นแบบเดียวกับ Sekiroเกมจะมีระบบ “คล้ายกับ” การชุบชีวิตในเกม Sekiroนอกจากดันเจี้ยนหลักทั้ง 6 ยังมีอะไรให้สำรวจอีกเพียบเกมจะมีสกิลให้เลือกใช้ประมาณ 100 ชนิด ให้ปั้น Build ได้หลากหลายรวมถึงอยากให้ทุกคนดู Trailer ตัวล่าสุดกันอีกครั้งก่อนอื่นมาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันก่อน ประเด็นแรกคือเรื่องโลกของเกม ที่จะกว้างใหญ่มากกว่าที่ผ่านมาๆ และให้ใช้ม้าในการเดินทางไปในดินแดนต่างๆ ได้ แต่ความพิเศษไม่ได้จบแค่ตรงนั้น เนื่องจาก Trailer ล่าสุดได้โชว์ให้เราเห็นแล้วว่า ม้า ในที่นี้จะสามารถเรียกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สามารถเสริมพลังเวทย์แล้ววิ่งไต่หน้าผ่าได้ สามารถกระโดดได้ 2 จังหวะ รวมถึงสามารถขี่ม้าต่อสู้ได้ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าสังเกตกันหรือไม่ ฉากขี่ม้าทั้งหมดที่เอามาฉายใน Trailer เป็นพื้นที่แบบเปิดโล่งทั้งหมด ดังนั้นเชื่อว่าภายในเกมจะมีพื้นที่ 2 ประเภทคือ ที่สามารถเรียกม้าได้ กับไม่สามารถเรียกม้าได้ ผู้เขียนเชื่อว่าม้าจะสามารถใช้ได้เฉพาะในพื้นที่เปิดโล่ง และไม่สามารถใช้ได้ในขณะที่อยู่ในดันเจี้ยนทั้ง 6 กล่าวคือม้าคงจะสามารถใช้ได้ในการเดินทางไปมาระหว่างทั้ง 6 ดันเจี้ยนกับพื้นที่ตรงกลาง ซึ่งคุณ Miyazaki เคยกล่าวว่า "จะมีพื้นที่ตรงกลางสำหรับพักแบบ Firelink Shrine ใน Dark Souls 3 ด้วย" โดยในดินแดนตรงกลางที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่นี้จะมีพื้นที่อื่นนอกจาก 6 ดันเจี้ยน ให้เราได้สำรวจด้วย และบางที่ก็น่าจะมีบอส หรือไอเทมลับให้เราได้เก็บเช่นกัน บอสบางตัวอาจจำเป็นต้องขี่ม้าสู้เหมือนกับมังกรที่เราได้ดูในตัวอย่างข้างบน ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าโลกของ Elden Ring น่าจะมีขนาดที่ใหญ่มากกว่าเกมทั้งหมดที่ From Software เคยสร้างมาเลยก็เป็นได้ ส่งผลให้เวลาที่จำเป็นต้องใช้ คงมากกว่าเกมที่ผ่านๆ มาเช่นกันอีกหนึ่งระบบที่ถูกโชว์ผ่าน Trailer และน่าสนใจคือ "การกระโดด" ซึ่งถูกใส่มาครั้งแรกในเกม Sekiro ของ From Software ซึ่งการมีระบบกระโดดได้ทำให้ เกมเพลย์การสำรวจ กับต่อสู้แตกต่างออกไปจากผลงานก่อนหน้าเป็นอย่างมาก สำหรับ Elden Ring เท่าที่โชว์ออกมาในตัวอย่าง ยังไม่รู้ว่าการสำรวจจะแตกต่างออกไปจากเดิมมากขนาดไหน แต่สำหรับการต่อสู้คิดว่าอาจต่างกันแบบมากๆ เลยทีเดียวภายในตัวอย่างจะสังเกตได้ว่าผู้พัฒนาได้โชว์หลบหลีกการโจมตีทั้งหมด 3 แบบคือ กลิ้ง สไลด์ และกระโดด การกลิ้งเป็นน่าจะเป็นเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดีเพราะมักเห็นได้ในเกมส่วนใหญ่รวมถึงจากซีรีส์ Souls ของ From Software เอง ส่วนสไลด์เป็นสิ่งที่เราเห็นครั้งแรกใน Bloodborne และสุดท้ายการกระโดดจาก Sekiro โดยการใส่วิธีหลายเข้ามาหลากหลายขนาดนี้ หมายถึงตัวเลือกที่มีมากขึ้นในการต่อสู้ และอาจหมายถึงรูปแบบการหลบที่จำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้องสำหรับการโจมตีบางประเภทด้วย พอเอาไปรวมกับคำพูดของคุณ Miyazakiในเชิงความสนุกในการต่อสู้จะมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในเรื่องของความยากเอง ก็น่าจะมากกว่าเกมที่ผ่านมาเช่นกัน เนื่องจากยิ่งมีตัวเลือกในการต่อสู้มากขนาดไหน ยิ่งหมายความว่าท่าโจมตีของบอส และศัตรูที่ได้เจอก็ยิ่งหลากหลายมากขึ้นเท่านั้น เชื่อว่าประสบการณ์ที่เราจะได้เจอใน Elden Ring คงแตกต่างออกไปมากเลยทีเดียวการลอบเร้นอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบใหม่ที่น่าสนใจ เอาจริงๆ ในซีรีส์ Souls เองมีการใส่องค์ประกอบการลอบเร้นเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่เนื่องจากมันทำได้ยาก และไม่ได้มอบผลลัพธ์ที่ดีมากมายอะไร แต่ในผลงานล่าสุดอย่าง Sekiro การลอบเร้นเพื่อโจมตีก่อน 1 ครั้ง ช่วยสร้างความได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้แต่ละครั้ง ซึ่งจากองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ From Software ได้พยายามเอาระบบต่างๆ ที่เคยสร้างขึ้นมาในเกมก่อนหน้านี้ มารวมไว้ในเกมเดียวกัน ดังนั้นการลอบเร้นใน Elden Ring เชื่อว่าจะมีความหายมากกว่าที่เคยเห็นในเกมตระกูล Soul Borne ครับสุดท้ายคือระบบเรียกวิญญาณของศัตรูที่ฆ่าได้มาช่วยสู้ จาก Trailer ดูเหมือนจำเป็นต้องใช้ไอเทมบางอย่างเช่นกันถึงจะสามารถเรียกวิญญาณออกมาช่วยสู้ได้ ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าไอเทมดังกล่าวจะหายากขนาดไหน หรือวิญญาณที่ถูกเรียกออกมาจะมีความสามารถขนาดไหน คิดว่าถ้าเกิดเอาออกมาช่วยสู้ได้ง่ายๆ รวมถึงอยู่กับเราไปทั้งเกม ก็อาจจะทำให้เกมง่ายขึ้นมากพอสมควร อันนี้น่าจะต้องรอดูกันตอนที่เกมออกอีกทีครับข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากการเอาข้อมูลที่มีในตอนนี้มาวิเคราะห์ ซึ่งอาจผิด และถูก ดังนั้นขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งปักใจเชื่อทุกสิ่งที่ผมได้เขียนมาในบทความนี้ยกเว้นสิ่งที่ได้รับการยืนยันแล้ว Elden Ring มีกำหนดจะวางขายในวันที่ 21 มกราคม 2022 โดยลงให้กับ PS5, PS4, Xbox Series X / S, Xbox One และ PC ใครรู้สึกสนใจ ก็สามารถรอติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้เลยหลังจากนี้
29 Jun 2021
นึกว่าภาคใหม่!! กลุ่มแฟนคลับปล่อย Teaser เกม Dark Souls: Nightfall ภาคต่อของ Dark Souls Remastered
นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ของกลุ่มแฟนคลับ Dark Souls เลยก็ว่าได้กับ Dark Souls: Night Fall Mod ของเกม Dark Souls Remastered ที่เปรียบเป็นภาคต่ออย่างไม่เป็นทางการของ Dark Souls ภาคดั้งเดิมที่มาพร้อมด้วยเนื้อเรื่องใหม่ แผนที่ใหม่ ระบบการต่อสู้ใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยใน Mod มีกำหนดปล่อยให้โหลดในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ สามารถดูตัวอย่างได้ด้านล่างนี้Mod นี้จะเหมือนกับเกมต้นฉบับตรงที่เนื้อเรื่องจะเริ่มที่ Undead Asylum แต่จุดต่างจะอยู่ที่ไม่มีกามาคว้าตัวผู้เล่นเลย แต่จะตกลงไปที่ Kiln of the First Flame แทนซึ่งดูเหมือนว่าตัวเอกจะจัดการ Gwyn ไปเรียบร้อยแล้วเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทางแฟนคลับยังได้ปล่อยตัวอย่างเกมเพลย์ที่อยู่ในช่วงพัฒนานาน 18 นาทีออกมาด้วยสามารถรับชมได้ข้างล่างนี้เลย Credit : PC Gamer
28 Jun 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 16 มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอมตะ
         สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่สิบหก ซึ่งเนื้อหาภายในบทนี้ จะเป็นช่วงที่ผู้เล่นสามารถเลือกเส้นทางไปปราบเหล่าบอส Lord Soul อันประกอบไปด้วยจ้าวแห่งความตาย Nito, แม่มดแห่งนคร Izalith, สี่ราชันแห่ง New Londo, และมังกรไร้เกล็ด Seath ทว่าในส่วนเนื้อเรื่องเสริมของ DLC Artorias of the Abyss ผมก็ได้วางแผนแล้วว่าจะใส่มาในบทถัดไป(บทที่สิบเจ็ด)         เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบหก “มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอมตะ” ( ภาพประกอบ : ในโลกของ Dark Souls มีผู้โง่เขลาบางคนคิดว่าการเป็นอมตะคือทางออกของทุกสิ่ง... )< ลิงค์บทความก่อนหน้า > บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปดบทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสองบทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่ l บทที่สิบห้า เปิดประตูสู่ Lord Soul             หลังได้รับ Souls Vessel อันเป็นกุญแจของเหล่าทวยเทพ Undead นิรนามก็เดินทางกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อรับคำแนะนำจากอสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ Frampt ทว่าทางด้านอัศวิน Solaire ได้ขอตัวอยู่เยี่ยมชมเมืองหลวง Anor Londo ต่อไป ทั้งสองจึงตัดสินใจแยกทางกันในที่สุด         ระหว่างเดินทางกลับพระเอกของเราก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทาย Darkmoon Knightess ซึ่งนางก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง(ก็แน่ละ! เพราะแมงเมาบินเข้ากองไฟแล้วนิ) โดยก่อนจะจากกัน Darkmoon Knightess ก็ได้แนะนำให้เขาไปปราบเจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath เป็นอันดับแรก เนื่องจากมันอาศัยอยู่ในหอจดหมายเหตุ Duke's Archives ซึ่งอยู่ไม่ห่างจาก Anor Londo มากนัก ( ภาพประกอบ : ภาพ Duke's Archives ในมุมสูงที่ได้มาจากการเเฮค )         เวลาผ่านไปจนกระทั่ง Undead นิรนามกลับมาถึงยัง Firelink Shrien เขาก็ได้รับการต้อนรับจากบรรดาคนที่ยังเหลืออยู่ โดยจะขาดก็แต่พ่อมดเพลิง Laurentius ซึ่งเดินทางลงไปยัง Blighttown และเจ้า Crestfallen Warrior ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ...         Undead นิรนามไม่ได้จนใจถ้อยคำสรรเสริญเยินยอถึงวีรกรรมของเขาแต่อย่างใด หากแต่ได้รีบปลีกตัวเดินไปยังห้องขังของ Anastacia และวางวิญญาณของนางลงยังจุดเดิมที่เคยถูกคร่าชีวิต ตอนนี้เขาได้ลงมือทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้แล้ว ต่อไปคงได้แต่สวดภาวนาขอให้ Anastacia กลับมาเกิดใหม่โดยเร็ว…( ภาพประกอบ : หลัง Anastacia กลับมาเกิดใหม่ ผู้เล่นจะสามารถพูดคุยกับนางได้ ทว่านางกลับไม่ค่อยอยากพูดกับเรา )         นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปี ที่สายลมเย็น ๆ ได้พัดเอาความหวังกลับคืนสู่ดินแดน Lordran อีกครั้ง และมันก็ทำให้ Frampt เจ้างูยักษ์บรรพกาลรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมาก โดยได้มันกล่าวกับ Undead นิรนามว่า Soul Vessel จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อถูกนำไปวางไว้บนแท่นบูชาภายใน Firelink Altar เท่านั้น ซึ่งวิธีการเดินทางไปที่นั่น Undead นิรนามจะต้องยอมเข้าไปอยู่ในปากเน่า ๆ ของ Frampt เสียก่อน เเล้วมันจึงจะพาเขาไปส่งที่  Firelink Altar ได้( ภาพประกอบ : บรรยากาศใน Firelink Altar )          Frampt ขย้อน Undead นิรนามซึ่งกำลังอารมณ์เสียจากกลิ่นเหม็นลงสู่พื้นของสถานที่ปริศนาแห่งนี้   อันดูมีสภาพเป็นเหมือนกับวิหารร้างยุคโบราณ รอบด้านเต็มไปด้วยรากไม้ยักษ์ใหญ่ประหลาดชอนไชไต่ตามผนังทั่วไปหมด เเละหากจะให้สันนิษฐานตัวเขาก็คงคิดว่ากำลังอยู่ในใต้ดิน         Frampt กล่าวว่าการวาง Lord Vessel ลงบนแท่นบูชา จะเป็นการปลดปล่อยพลังงานของ The First Flame เข้าสู่ Bonfire ทั่วทั้งโลกให้เชื่อมต่อถึงกัน อีกทั้งยังปลดผนึกม่านพลังที่ป้องกันดินเเดนของเหล่าบรรดาผู้ถือครอง Lord Soul อีกด้วย  ฉะนั่น Undead นิรนามควรจะรีบทำภารกิจให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากตอนนี้อาจจะมีคนที่ไม่หวังดี ริอาจอยากช่วงชิง Lord Soul ตัดหน้าเขาก็เป็นได้( ภาพประกอบ : การปลดผนึก Lord Vessel จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถวาปไปมาระหว่าง bonfire ได้ )         หลังกลับมาจาก Firelink Altar พระเอกของเราก็ตัดสินใจค้างแรมสักหนึ่งคืนเพื่อเอาเเรง และได้ใช้ช่วงเวลายามราตรีเสวนากับผู้คนที่ยังอยู่ที่นั้น เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบพานรวมไปถึงการเลือกตัดสินใจว่าจะไปปราบ Lord Soul ตนไหนก่อนดี…         เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าปราชญ์พ่อมด Big Hat Logan ก็มองเห็นโอกาสในการเข้าไปยัง Duke's Archives มันได้คะยั้นคะยอหาเหตุผลสารพัดสารเพมาจูงใจพระเอกของเรา อย่างเช่นการเอ่ยถึงนักบวชสาวที่มีชื่อว่า Rhea... เจ้า Logan เชื่อว่านางอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ อีกทั้ง Duke's Archives ยังเป็นป้อมปราการอันเเสนสำคัญของบิดาแห่งเวทมนตร์ Seath ดังนั้นการที่มีเขาติดตัวไปด้วย ย่อมจะมีประโยชน์มากกว่าไปคนเดียวเป็นไหน ๆ… ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามก็ไม่ปฏิเสธ( ภาพประกอบ : ภาพ concept art ของ Duke's Archives )  สวนสัตว์นรก         หอจดหมายเหตุ คือสถานที่อันเป็นแหล่งเก็บเอกสารและข้อมูลความรู้มากมาย ตลอดรวมไปถึงบันทึกเเห่งประวัติศาสตร์(ประวัติศาสตร์ที่ Gwyn เขียน) Duke's Archives เคยถือกำเนิดมาด้วยแนวคิดข้างต้นมาก่อน... มันควรจะเป็นสถานที่ที่เหล่าบัณฑิตสมองเปรื่องทั่วล่าใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยือน ด้วยหวังจะได้รับการศึกษาร่ำเรียนเวทมนตร์จากบิดาแห่ง Sorcerer ตัวต่อตัวนับวัน Duke's Archives ก็ยิ่งเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อย ๆ มันพัฒนาซะจนมีกองทัพส่วนตัวที่รับใช้เฉพาะกับ Seath เท่านั้น แถมยังมีการสร้างโรงเรียนเวทมนตร์สาขาลูกตามอาณาจักรต่าง ๆ อีกมากมาย โดยที่เห็นจะมีชื่อมากที่สุดก็คงไม่พ้นโรงเรียนมังกรขาว Vinheim ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับมหานครทั้งเมืองกันเลยทีเดียว         ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จู่ ๆ Duke's Archives ก็หยุดรับผู้คนจากภายนอกอย่างไม่เเจ้งสาเหตุ นานนาน~ถึงจะมีพวกข้ารับใช้ Channeler ออกมาทำธุระให้กับ Seath อย่างเช่นการนำพิมพ์เขียวอาวุธเวทมนตร์ไปให้แก่ช่างตีเหล็กยักษ์แห่ง Anor Londo สร้างภาพลักษณ์ของ Duke's Archives กลับยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก เมื่อเริ่มมีข่าวแพร่สะพัดถึงการจับมนุษย์ไปทดลอง (ช่วงเวลาก่อน Curse of Undead จะปรากฏตัวครั้งแรก และกลุ่มกบฏทมิฬกำลังวางแผน) ทำให้เหล่าบรรดาเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ไม่สามารถไว้ใจ Seath ได้อีกต่อไป เเละหาข้ออ้างเพื่อปิดผนึก Seath เอาไว้ใน Duke's Archives… ทว่าพวกทวยเทพหารู้ไม่ว่านี่แหละคือสิ่งที่เจ้ามังกรวิปริตต้องการ มันอยากจะใช้ช่วงเวลาหลายพันปีเพื่อการทดลองอะไรบางอย่าง( ภาพประกอบ : ใน comic เนื้อเรื่องเสริมของเกม Dark Souls ได้มีการบอกไว้ว่า Channeler เป็นพวกมีสติปัญญา เเละเที่ยวตระเวนจับผู้หญิงไปให้ Seath )         กลับมายังปัจจุบัน Undead นิรนามและจอมเวทย์ Logan ต่างร่วมมือกันฝ่าฟันเหล่าทหารยาม Royal Sentinel กับหมูโลหะ Fang Boar พวกเขาพยายามดั้นด้นดิ้นรนจนเข้ามาถึงยังห้องโถงด้านหน้าของ Duke's Archives ได้สำเร็จ ซึ่งแม้สถานที่แห่งนี้จะไม่เปิดรับผู้คนมานานแล้ว เเต่ทว่าข้าวของภายในกลับยังคงสะอาดเอี่ยมอ่อง โดยเฉพาะกับชั้นหนังสือที่ถูกเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทุกตารางนิ้ว ประหนึ่งกับว่ามีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูมันอยู่ทุกวัน         Logan สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์อันมหาศาลลอยตลบอบอวลไปทั่วอากาศ เขาเริ่มมีท่าทีกระสันไม่อยู่กับร่องกับลอยวิ่งเข้าหาชั้นหนังสือ พร้อมกับเปิดมันอ่านด้วยดวงตาอันแวววาวราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ Undead นิรนามพยามขานเรียกพร้อมกับวิ่งตามหลังเจ้าพ่อมดไปเเต่ก็หาวิ่งทันไม่ เขาค้นหาเจ้าพ่อมดตามมหาสมุทรชั้นหนังสืออยู่สักพัก ทว่าเขากลับบังเอิญได้พบกับยักษ์ Crystal Golem ซึ่งมันก็วิ่งจู่โจมใส่เขาทันทีตามสัญชาตญาณดุร้าย...ซึ่งแน่นอนว่าหาได้ระคายปลายดาบของ Undead นิรนามไม่ เขาสามารถจัดการมันลงได้ภายในดาบเดียว( ภาพประกอบ : ห้องสมุดที่ควรจะผู้คนมากมาย บัดนี้กลับเหลือเพียงเเต่ความเงียบ )         Crystal Golem ร่างระเบิดแตกสะลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยท่ามกลางกองเศษสากเรืองแสงนับพัน ๆ ชิ้น พระเอกของเราก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังบางสิ่งที่มองไม่เห็น พลังที่มอบความรู้สึกหอมหวนอันดูคุ้นเคยเมื่อนานมาเเล้ว... ใช่แล้วความรู้สึกเช่นนี้ก็คือตอนที่เขาได้พบกับกุลสตรี Dusk เป็นครั้งเเรก         Undead นิรนามนั่งลงคุ้ยกองเศษซากคริสตัลชิ้นเเล้วชิ้นเล่า จนได้พบกับเครื่องรางปริศนา Broken Pendant เครื่องรางที่ทำให้เข้ามองเห็นภาพนิมิตใบหน้าของกุลสตรี Dusk ที่ตนเองเกือบจะลืมไปนานแล้ว         พระเอกของเราเลิกสนใจตามหาเจ้าพ่อมด Logan ตัวยุ่ง เเละหันเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับ Broken Pendant ภายในมือ พร้อมกับมุ่งหมายว่าหลังจากปราบ Seath เสร็จ ตัวคงจะเเวะเวียนไปทักทายเเม่นาง Dusk สักหน่อย ( ภาพประกอบ : Crystal Golem ตัวนี้จะโผล่ออกมาก็ต่อเมื่อผู้เล่นครอบครอง DLC Artorias of the Abyss เท่านั้น )         Undead นิรนามมุ่งหน้าขึ้นลิฟต์สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  โดยระหว่างทางเขาก็ได้จัดการเหล่าลูกกระจ๊อก Undead Crystal ไปมากมาย จนกระทั่งมาถึงยังห้องซึ่งเต็มไปด้วยผลึกเเก้ว Crystal มากมาย ที่งอกเงยออกมาทั่วทั้งพื้น, กำแพง, และเพดาน พวกมันต่างเปล่งความสว่างไสวราวกับว่าเป็นทางช้างเผือกสีขาวนม เเต่กระนั้น ก็หาได้ขาวสว่างไปมากกว่าผิวสีเผือกของเจ้ามังกรที่อยู่ตรงไม่ เจ้ามังกรจอมวิปลาสซึ่งกำลังเฝ้ารอพระเองของเรา... Seath( ภาพประกอบ : Undead Crystal ก็คือมนุษย์ที่ถูก Seath จับมาทดลองด้วยการยัดผลึก Crystal เข้าไปควบคุมร่างกาย )         Seath หนึ่งในมังกรนิรันดรสายเลือดแท้ตนสุดท้าย ยืดคอสยายปีกสีรุ่งระยิบระยับชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าบดบังเเสง Crystal ตามด้วยการขยับรยางค์หางสามเส้นอันพิกลพิการไปมา ประหนึ่งราวกับว่ามันกำลังดีใจที่จะได้หนูทดลองเป็น Undead ผู้ถูกเลือก… มันอยากจะคว้านตับไตไส้พุงของ Undead คนนี้เพื่อดูว่าสิ่งใดกันที่ทำให้เขาพิเศษกว่า Undead คนอื่น ๆ         ศึกต่อสู้ เริ่มต้นขึ้นด้วยพลังลมหายใจเวทมนต์จากฝั่งเจ้ามังกรวิปลาส อันมีฤทธิ์สามารถเปลี่ยนให้กายเนื้อกลายเป็นก้อนหินได้(สถานะ Curse) แต่ว่าพระเอกของเราก็ได้อาศัยความพลิ้วส่วนตัวหลบเลี่ยงไปอย่างสบาย ๆ โดยที่เขาไม่รู้ไม่ว่านี่อยู่ในการคำนวนของ Seath... ลมหายใจที่ Seath พ่นออกไปหาได้เป็นการโจมตีอันไร้ทิศไร้ทางไม่ มันค่อย ๆ สร้างผลึก Crystal งอกขึ้นมาตามพื้นที่ดังกล่าว เพื่อต้อนให้ Undead นิรนามจนมุมทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งพลาดท่าถูกอาบด้วยลำแสงเวทมนต์เเละตายลงในที่สุด( ภาพประกอบ : ภายในเกม ผลึกเเก้วที่เกิดจาก Seath จะขว้างทางเดินผู้เล่นเอาไว้ชั่วคราว )( ภาพประกอบ : Concept Art ดั่งเดิมของห้องโถงบนสุดใน Duke's Archives  )         ช่วงเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ Undead นิรนามตื่นขึ้นมา และพบว่าตนเองจะกลับเกิดมาอยู่ในห้องขังแปลกประหลาดซึ่งทำจากชั้นหนังสือ เเทนที่จะไปเกิดใหม่ยัง Bonfire ล่าสุดพระเอกของเราพอจะทราบมาก่อนว่าเจ้ามังกรขาวนั้นปราดเปรื่อง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเก่งจนสามารถแซกแทรงกระแสวิญญาณภายใน Bonfire ได้เพียงนี้… เห็นทีเขาคงดูถูก Seath มากไปดูเหมือนว่า Seath จะเข้าใจถึงจุดแข็งของพวก Undead ในเรื่องตายแล้วสามารถเกิดใหม่ ตัวมันจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้สร้างกับดักจับหนูทดลองขึ้นมาซะเลย เเถมยังเป็นการกีดกันไม่ให้ Undead กลับมาพยายามฆ่าตนซ้ำเเล้วซ้ำเล่า นับว่านี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็คงไม่ผิดนัก ( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถข้ามฉากการต่อสู้กับ Seath ในครั้งเเรกได้ โดยการกระโดดลงจากระเบียงลิฟต์ในตำเเหน่งดังภาพ  )          สถานที่ซึ่ง Undead นิรนามถูกนำมาคุมขังก็คือคุกลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากห้องสมุดอันเเสนสวยงาม มันคือคุกซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยชั้นตำราหนังสือที่ไม่มีประโยชน์ วางทับซ้อนกันชั้นเเล้วชั้นเล่าก่อตัวขึ้นเป็นหลุมวงกลมที่มีขนาดสูงกว่าร้อยเมตร ซึ่งจะมีเหล่า Man Serpent คอยเดินตรวจตราความสงบอยู่เป็นระยะ ๆ( ภาพประกอบ : คุกที่ถูกาสร้างขึ้นจากชั้นหนังสือ )         เมื่อได้สติพระเอกของเราก็ไม่รอช้ารีบหาทางหนีทันที เขาใช้เวลาสังเกตดู Man Serpent ตนหนึ่งซึ่งคอยทำหน้าที่เฝ้าระวังเขาเป็นพิเศษ เจ้า Man Serpent ตนนี้มันจะไม่ค่อยเดินห่างไปไหนมาไหนไกลจากห้องขังเขาเท่าไรนัก และมักจะวิ่งหน้าตั้งมาดูเสมอเมื่อเขาหายตัวลับหลบเข้ามุมห้อง ดังนั้นพระเอกของเราจึงได้อาศัยประโยชน์จากจุดนี้ ล่อให้มันเดินเข้ามาใกล้ลูกกรง จากนั้นก็จัดการยื่นมือออกบีบกระดูกคอมันจนเเหลกตายภายในเสี้ยววินาที         กุญเเจห้องขังที่มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ถูกล่วงออกมาจากศพเพื่อเปิดประตูลูกกรงหนี แต่ทว่าโชคร้ายเหล่าเวรยามเเถวนั้นดันพานพบเห็นพอดิบพอดี พวกมันจึงส่งสัญญาณลั่นแตรเตือนเหล่า Man Serpent ตนอื่น ๆ ร่วมไปถึงการปล่อยพวกสัตว์ทดลอง Pisaca ให้ออกมารุมไล่ล่านักโทษเหมือนกับหมาล่าเนื้อ( ภาพประกอบ : เเตรสัญญาณภายในคุกห้องสมุด  )( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Pisaca… โดยมีคนตั้งทฤษฎีว่าพวกมันถูกฝึกให้เชื่อฟังเสียงเเตรสัญญาณ เพราะถ้าหากผู้ปิดมัน Pisaca โจมตีผู้เล่นก่อน  )         แม้ว่าระดับพลังของ Undead นิรนามจะก้าวไกลไปกว่าพวกลูกสมุนของ Seath แต่ถ้าหากเสียงแตรสัญญายังคงร้องดังไม่หยุดเช่นนี้ เห็นทีอีกไม่นานจำนวนของศัตรูก็คงจะมากจนเกินรับมือ และถ้าหากพลาดท่าขึ้นมาครั้งต่อไปคงจะเเหกคุกได้ไม่ง่ายอีกเเล้ว Undead นิรนามจำต้องเสี่ยงลงไปยังก้นเหวของคุกเพื่อปิดแตรสัญญาเสียก่อน เเต่นั่นก็ทำให้เขาได้พบกับตาพ่อมด Logan อีกครั้ง เจ้าพ่อมดขอร้องให้ Undead นิรนามปล่อยตนเองจากที่คุมขัง ทว่าคร่านี้พระเอกของเรากลับปฏิเสธ โดยกล่าวว่าตราบใดที่ Logan ยังคงทำตัวปลิ้นปลอนตลบตะเเลงเเบบนี้ ตัวเขาก็คงมิอาจเชื่อใจได้หลังได้ยินเช่นนั้นเจ้าพ่อมดก็คอตกด้วยความจนมุม มันจึงสารภาพว่าเหตุผลที่มาที่นี่ก็เพื่อศึกษาตำราความรู้เวทมนตร์ หาได้มาเพราะต้องการช่วย Undead นิรนามไม่… อย่างไรก็ตาม Logan ได้บอกอีกว่าตอนที่ตนถูกนำตัวมาคุมขัง บังเอิญสายตาดันไปมองเห็นผู้หญิงในชุดนักบวชสีขาวคนหนึ่ง ซึ่งนั่นอาจจะ Rhea ที่ Undead นิรนามกำลังตามหาอยู่ก็ได้ โดยถ้าหากยอมปล่อยเขาออกไป Logan ก็จะช่วยบอกทางให้เพื่อเป็นการเเลกเปลี่ยน( ภาพประกอบ : ในคุกที่ Logan อาศัยอยู่ไม่มี Bonfire ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูง ว่ามันจงใจยอมให้จับเอง )         Rhea คือชื่อนักบวชสาวเเสนอับโชคคนหนึ่ง เธอนั้นถูกลอบสังหารจนกลายเป็น Undead ด้วยเหตุผลทางการเมือง จากนั้นก็ถูกขับไล่มายังดินแดน Lordran เพื่อทำภารกิจซึ่งไม่มีวันสำเร็จ มิหนำซ้ำยังถูกหลอกลวงให้สิ้นหวังในความมืดอันโดดเดี่ยวจากพวกพ้อง นี่ถ้าหากไม่ได้ตัวของ Undead  นิรนามช่วยเอาไว้ เห็นที Rhea คงจะต้องกลายเป็น Hollow ไปแล้ว         พระเอกของเรารีบวิ่งตรงปรี่ไปยังห้องขังตามที่เจ้า Logan บอกทันที โดยที่นั่นเขาก็ได้พบกับผู้หญิงในชุดสีขาวสกปรกคนหนึ่ง นั่งคดตัวกอดเขาหันหน้าเข้ามุมห้องขัง กลิ่นกายที่เคยหอมหวนบริสุทธิ์บัดนี้กลับเหม็นเน่าเปื่อยประหนึ่งซากสัตว์ ผิวพรรณอันเคยนิ่มนวลไร้รอยด่าง ปัจจุบันพลันเหือดแห้งเหี่ยวไร้หยดเลือดคอยหล่อเลี้ยง… แม้แต่คู่ดวงตาที่เคยส่องประกายบนใบหน้าตอนนี้ก็พาลเลือนลับดับหายไป เหลือเอาไว้ความดำมืดคล้ายกับรูโหว่จากนรก         Rhea… คือคำพูดเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ซากศพร่างนี้หันหน้ากลับมามอง ศีรษะใต้ผ้าคลุมของมันสั่นเครือเหมือนกับคนที่กำลังร้องแต่ไม่มีน้ำตาไหลริน มันพยายามยกฝ่ามือที่มองเห็นเเต่กระดูกออกไปหาชายคนเดียวที่เคยช่วยมันเอาไว้( ภาพประกอบ : ภาพด้านซ้ายก็คือ Rhea ตอนยังมีชีวิต ส่วนภาพด้านขวาเป็นเเค่ร่างไร้สติที่ปราศจากวิญญาณของเธอ... )         Undead นิรนามโอบกอดร่างกายอันซีดเสียวของหญิงสาวไว้ใต้อ้อมอก ตัวเขาต้องการจะให้นางจดจำรอยยิ้มทั้งน้ำตาเเละความอบอุ่นนี้ไว้เป็นครั้งสุดท้ายตราบนานเท่านาน เเม้ว่ารยางค์แขนขาเธอจะเริ่มไขว่คว้าไปมาเหมือนกับคนบ้า เเม้ว่าใบหน้าจะเริ่มบิดเบี้ยวร้องตะโกนไม่เป็นภาษา Undead นิรนามก็ยังคงไม่ปล่อยมือจากร่างของ Rhea ตัวเขาจะเป็นคนปลดปล่อยวิญญาณของเธอจากโลกอันโสมม... ( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นช่วยเธอออกมาจาก Tomb of Giants เเละได้ไว้ชีวิตพระนักรบ Petrus เธอจะถูกฆ่าตายตั้งเเต่อยู่ในโบสถ์ที่ Undead Burg )         ความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ติดตาม Undead นิรนามออกมาจากห้องขัง การตายของ Rhea  ทำให้เขากล่าวโทษตนเองที่มัวแต่ทำตามคำทำนาย เเละเกลียดชัง Seath ที่บังอาจจับตัวคนสำคัญต่อเขามาทรมาน Undead นิรนามสาบานด้วยเลือดว่าเจ้ามังกรไร้เกล็ดจะต้องรับรู้ถึงความสูญเสียนี่เป็นสองเท่า!เมื่อพลังโทสะเข้าครอบงำพวกลูกกระจ๊อกก็มิอาจต่อกรกับพระเอกของเราได้ เเม้เเต่เวทมนตร์ของพวก Channeler ที่อุตสาห์ขายวิญญาณความเป็นคนเพื่อร่ำเรียนมา ก็ถูกปัดป้องโดยง่ายราวกับเป็นแค่เศษใบไม้( ภาพประกอบ : ไม่มีการยืนยันว่า Seath อ่านหนังสือได้ยังไงทั้งที่ตาบอด เเต่ทฤษฎีที่นิยมมากที่สุดก็คือพวก Channeler เป็นคนอ่านให้ฟัง )         พระเอกของเราบุกเข้าไปห้องสมุดยักษ์ซึ่งบรรจุหนังสือเวทมนตร์ล่ำค่าไว้มากมาย...หลายเล่มเป็นคัมภีร์หายากที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลก แต่ทว่า Undead นิรนามก็หาได้ลังไม่ที่จะทำลายพวกมัน! ศาสตร์ความรู้อันได้มาจากการทรมานผู้คนบริสุทธิ์แบบนี้ เป็นสิ่งที่ Undead นิรนามไม่สามารถยอมรับได้ นี่ถ้าหากว่าเขามีขบเพลิงอยู่ในมือก็คงจะเผาห้องสมุดแห่งนี้ไปแล้ว         พระเอกของเราไล่ทำลายข้าวของเรื่อยมาจนเข้ามาถึงยังห้องลับแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเขาก็พบเจอเจ้าพ่อมด Logan อีกครั้ง โดยมันกำลังนั่งอ่านตำราปริศนาในมุมมืดของห้อง         เจ้าพ่อมดกล่าวกับ Undead นิรนามอย่างดีใจว่าในที่สุด ตนก็ได้ค้นพบความลับของ Seath ถึงแก่นแท้แห่งความเป็นอมตะ เจ้ามังกรมิใช่เพียงเเค่มีร่างซึ่งปราศจากอายุขัย หากเเต่ผิวหนังยงคงเเข็งเเกร่งเเละสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้ในพริบตา เรียกง่าย ๆ ว่า Seath ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมังกรนิรันดรไปเเล้ว( ภาพประกอบ :  Logan หลงใหลมัวเมาในเวทมนตร์เป็นอย่างมาก จนถึงกับกล่าวชม Seath ว่านี่แหละคือ Undead ของจริง... Undead ที่แปลว่าไม่มีทางตาย )         หลังความลับของเจ้ามังกรถูกเปิดเผย Undead นิรนามก็ลงมือถาม Logan ต่อทันที ถึงวิธีในการคลายเวทมนตร์อมตะนี่ออก ทว่าเจ้า Logan กลับทำท่าทางลุกลี้ลุกลนและปฏิเสธว่าไม่มีทาง ทำให้ Undead นิรนามเลือดขึ้นหน้าเพราะเหลืออดต่อความหลงใหลวิชาของเจ้าพ่อมด เขาทราบดีว่า Seath กลายเป็นอมตะเพราะการทดลอง ฉะนั้นมันจะต้องมีวิธีทำให้เวทมนตร์เสื่อมหรือมีเครื่องรางอะไรสักอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่         พระเอกของเรากับเจ้าพ่อมดไม่สามารถตกลงกันได้เเละหวิดเกือบจะวางมวยกัน เเต่โชคดีที่ Undead นิรนามพลันนึกคิดวิธีเกลี้ยกล่อมเจ้าพ่อได้เสียก่อน เขาจึงงัดเอาเล่ห์กลปลายลิ้นออกมาเป่าหู Logan เเทน         Undead นิรนามกล่าวว่าหากสิ่งที่ Logan ต้องการก็คือความรู้ในศาสตร์เวทมนตร์ แล้วเขาคิดจริง ๆ เหรอว่ามังกรนิสัยอย่าง Seath จะย่อมแบ่งปันความรู้ง่าย ๆ ลองดูพวก Channeler ซึ่งอยู่รายรอบสถานที่แห่งนี้เป็นตัวอย่างก็ได้... Logan คงไม่มีวันเป็นไปได้มากกว่ากว่านั่นหรอก! Seath น่ะขึ้นชื่อในหลายเรื่องก็จริงแต่ความเอื้อเฟื้อไม่ใช่หนึ่งในนั้น หาก Logan อยากจะเรียนรู้เวทมนตร์จริง ๆ เขาก็ต้องถือไพ่เหนือกว่าหรือมีอะไรมาบีบบังคับให้ Seath ยอมทำตาม( ภาพประกอบ : ภารกิจเสริมของ Big Hat Logan จะทำให้ผู้เล่นสามารถใช้เวทมนตร์ White Dragon Breath ได้...เเม้ว่ามันจะโจมตีเเรงเเต่ถ้าหากว่ากันตามตรง เวทมนตร์นี้ค่อนข้างห่วยในเรื่องการเล็งเป้าหมายเเบบสุด ๆ )         หลังได้ยินดังนั้น Logan ก็เริ่มสงบจิตสงบใจลง เขาเงียบไปสักครู่ก่อนจะตัดสินใจบอกว่า Seath มีจุดอ่อนเป็น Primordial Crystal ผลึกวิเศษที่เก็บงำพลังอมตะของเจ้ามังกรเอาไว้ แต่แน่นอนว่าของล้ำค่าแบบนี้ไม่มีวันถูกเก็บไว้ในสถานที่ธรรมดา ๆ ตัวมันเองก็เคยลองพยายามเดินทางเข้าไปแล้วแต่ก็ล้มเหลว... นามของสถานที่นั้นก็คือ Crystal Cave หรือ ถ้ำผลึกแก้ว( ภาพประกอบ : ภาพถ่ายที่อยู่ด้านซ้ายคือถ้ำคริสตัลของจริง ซึ่งเป็นเเรงบันดาลใจให้ภาพทางด้านขวาภายในเกม )         หลังได้รับสิ่งที่ต้องการ Undead นิรนามก็เลิกสนใจอดีตสหายคนนี้ และมุ่งหน้าตรงไปยัง Crystal Cave  โดยระหว่างทางเขาก็บังเอิญไปพบกับ Crystal Golem สีทองตนหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ผนึกกุลสตรี Dusk เอาไว้ไม่มีผิด         พระเอกของเราจัดการช่วยคนที่ติดอยู่ภายในออกมา ทว่าชุดเกราะของบุคคลนั้นกลับทำให้เขาคิดคำนึงถึงเจ้าอัศวินหัวหอม Siegmeyer เสียเหลือเกิน จะต่างกันก็แค่คนที่อยู่ข้างในชุดกลับเป็นผู้หญิงนามว่า Sieglinde โดยนางได้อธิบายว่าตนกำลังตามผู้เป็นพ่ออยู่ (ก็ลูกสาวของ Siegmeyer นั่นแหละ)         Undead นิรนามแปลกใจนิดหน่อยว่าคนอย่าง Siegmeyer เนี่ยนะมีลูก?... แถมยังเป็นลูกสาวใจเด็ดเกินชายเสียอีก! เพราะคงมีไม่กี่คนนักที่เดินทางมายังดินแดน Lordran ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นคนเป็นเป็น(ยังไม่ตายกลายเป็น Undead) การสนทนาระหว่างสองชายหญิง จบลงด้วยการที่ Sieglinde เดินทางกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อตามรอยพ่อของเธอ และปล่อยให้พระเอกของเราลุยต่อเข้าไปใน Crystal Cave เพียงคนเดียว( ภาพประกอบ : ในภาพนั่นก็คือ Sieglinde… ถ้าไม่มีเสียงพากย์ เราก็คงจะนึกไปเเล้วว่านี่คือ Siegmeyer )         แสงอันวาววับราวกับพระอาทิตย์สีฟ้านับล้านดวง สาดส่องความสว่างใส่พระเอกของเราทันทีที่เขาเข้ามาถึง Crystal Cave ภายในนั้นมีสภาพเหมือนกับหุบที่ลึกมาก ๆ ทอดตัวยาวเข้าไปในถ้ำ ทว่าอย่าให้ความสวยงามของมันหลอกตาเอาได้ ก้อนผลึกเปล่งประกายพวกนี้ได้แผ่พลังงานเวทมนตร์มหาศาลออกมาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ฝูงผีเสื้อ Moonlight Butterfly  ที่เคยดักจู่โจมพระเอกของเรา มารวมตัวดูดกินพลังจากถ้ำนี้( ภาพประกอบ : Moonlight Butterfly ที่ผู้เล่นเจอใน Darkroot Garden ก็หลุดมาจากที่นี่เนี่ยละ )         Undead นิรนามนึกถึงคำพูดของเจ้า Logan ที่เคยกล่าวว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาก็เพิ่งจะเข้าใจความหมายเอาตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้วิธีห้องปิดตายเช่นนี้ หากบังเอิญมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับ Primordial Crystal อย่างฉับพลัน Seath เเละเหล่าบรรดาลูกน้องก็จะเข้าไปแก้ไขไม่ทันการ... ว่าง่าย ๆ คนที่ฉลาดอย่าง Seath น่าจะต้องสร้างกลไกหรือเครื่องมืออะไรสักอย่างในการข้ามไป         พระเอกของเราหยิบก้อนผลึกเเก้วขึ้นมา เเล้วก็ปามันออกไปท่ามกลางหุบเหวอันอ้างว้าง เสียงผลึกที่แตกกระจายเมื่อตกกระทบกับก้นเหว ดังก้องขึ้นมาเหมือนกับการเคาะกำแพงเพื่อหาโพรง เขาโยนมันต่อไปซ้ำเเล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งบังเกิดเสียงหนึ่งที่ดังชัดถนัดหู!ใช่แล้ว! Undead นิรนามอุทานพร้อมกับโยนหินอีกก้อนใส่ที่เดิมเพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ปรากฎว่าหินก้อนนั้นกลับลอยนิ่งอยู่ท่ามกลางอากาศราวกับมันลอยได้ โดยมันก็ทำให้เขารู้ว่าทีว่าที่นี่มีสะพานล่องหนถูกซ่อนเอาไว้( ภาพประกอบ : ภายในเกมผู้เล่นสามารถทิ้งของไว้เป็นเครื่องบอกทางได้ หรือเดินตามข้อความที่ผู้เล่นใจดีคนอื่นทิ้งไว้ให้ หากเราอยู่ในโหมด Online )         หลังความจริงเปิดเผย Undead นิรนามก็ไม่รอช้า รีบคลำทางข้ามไปเหมือนกับคนตาบอด เขาค่อย ๆ ข้ามสะพานล่องหนไปทีละนิด ทีละนิด จนเขาสามารถมองเห็นอุโมงค์ที่ส่องแสงแวววับอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีอยู่เเล้วเชียว หากมิใช่จู่ ๆ ก็บังเกิดเสียงคำรามปริศนาดังสนั่นไล่มาจากข้างหลัง… Undead นิรนามแทบจะไม่ต้องหันกลับไปมองเลย จิตสำนึกของเขารับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของตัวอะไร พระเอกของเราตัดสินใจเสี่ยงตายกระข้ามหุบเหวลึก เเล้ววิ่งตรงตัดผ่านพวกปีศาจ Man Eater Shell ที่อยู่รอบ ๆ ทางเข้าอุโมงค์ไป         ภายในนั้น Undead นิรนามได้พบผลึกแก้ว  Primordial Crystal อันเป็นเเหล่งพลังอมตะของ Seath เเต่ทว่าแทนที่เขาจะทุบทำลายมันในทันที พระเอกของเรากลับยืนรอให้เจ้าของเสียงคำรามพุ่งตัวเข้ามาในอุโมงค์เสียก่อน... แต่ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าเขาต้องการให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด ได้เป็นสักขีพยานในช่วงเวลาต่อจากนี้( ภาพประกอบ : สูญเสียไปเท่าไรเพื่อให้ได้พลังมา... )              ความเป็นอมตะคือสิ่งที่ Seath โหยหามาแต่ยุคสมัยยุคสมัยบรรพกาล สิ่งนี้คือปมด้อยที่คอยผลักดันให้เจ้ามังกรลงมือกระทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง หรือยอมทำสิ่งผิดศีลธรรม Seath ยอมเเลกทุกอย่างเพื่อที่จะทดแทนปมด้อยภายในใจจนสุดท้ายก็ได้มันมาครอบครอง...         Undead นิรนามตะโกนเรียกชื่อเจ้ามังกรวิปลาสอย่างสุดเสียง เขารอให้มันหันใบหน้าสีซีดเสียวมาตรง ๆ แล้วจึงถีบผลึกแก้ว Primordial Crystal จนแตกกระจายต่อหน้า Seath         เพียงเเค่เสียง… เเค่เสียงที่ดังเเสบหูคล้ายกับเเก้วเเตกลงพื้น เจ้ามังกรรู้สึกเจ็บปวดทันทีเหมือนกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มหัวใจ ทั้งความเศร้าเเละความโกรธเกรี้ยวที่มิอาจบรรยายได้ คือสิ่งที่ Undead นิรนามต้องการให้ Seath รับรู้เช่นเดียวกับในยามที่เขาต้องมอง Rhea ตายลง( ภาพประกอบ : ความจริง Seath จะหนีไปเพื่อตั้งหลักใหม่ก็ได้...เเต่ด้วยความโกรธทำให้มันบ้าจนลืมความรอบคอบ )Seath เริ่มคำรามอย่างบ้าคลั่ง มันเหวี่ยงหางที่พิกลพิการทั้งสามไปมั่วซั่ว คล้ายกับเด็กน้อยที่ร้องงอแงเมื่อของเล่นชิ้นโปรดถูกทำลาย เเต่ทว่านี่กลับทำให้พระเอกของเรารู้สึกซะใจมากยิ่งขึ้น เขาได้ลงมือวิ่งเข้าไปหั่นหางของเจ้ามังกรออกทีละชิ้น ทีละชิ้น เพื่อให้ Seath ซึมซับความเจ็บทุกอณูรูขุมขนเฉกเช่นเดียวกับเหล่าหนูทดลองที่เคยผ่านมือมัน         เจ้ามังกรวิปลาสร้องลั่นเเละบิดตัวหมุนไปมา มันพยายามพ่นลมหายใจมังกรเข้าใส่ Undead นิรนาม ทว่าพระเอกของเราก็หลบได้ ประสบการณ์ได้สั่งให้เขาปีนขึ้นบนหลังเจ้ามังกร และจัดการเลื่อยปีกสีรุ้งของมันออกจนไม่เหลือ!          ความทรมานปิดฉากลงด้วยการที่ Undead นิรนามปักดาบเข้าใส่ท้องของเจ้ามังกร ตัวเขาไม่ลังเลเลยที่จะคว้านดาบไปรอบ ๆ ซี่โครงเพื่อค้นหา Lord Soul ในตับไตไส้พุง… เขาทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกับพ่อครัวที่กำลังคนเเกง แม้ว่าร่างเจ้ามังกรจะหยุดดิ้นไปแล้วก็ตาม( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นตัดหางของ Seath ในระหว่างการต่อสู้ เราก็จะได้ Moonlight Greatsword มาใช้งาน)         ในท้ายที่สุด Undead นิรนามก็ดีใจเมื่อได้ค้นพบชิ้นส่วน Lord Soul จนได้! ทว่าความรู้สึกปลื้มปริ่มก็คงอยู่ได้แค่แป๊ปเดียว เพราะเมื่อเลือดแห่งความแค้นได้เลือนลับหายไปจากดวงตา ความเป็นจริงที่ว่านักบวชสาว Rhea จะไม่มีวันย้อนคืนกลับมาก็พลันเเล่นเข้ามาในหัวโปรดอย่าเข้าใจผิด Seath มันสมควรตาย! แค่ทว่าดวงใจของ Undead นิรนามกลับมิได้รู้สึกหายจากอาการเศร้าสร้อยเลยเเม้เเต่น้อย... พลังอันมหาศาลจาก Lord Soul ภายในอุ้งมือ มีหรือจะสู้ความอบอุ่นจากปรายนิ้วของแม่นาง Rhea คนดีของเขาได้  ความอมตะที่แท้จริง         หลังจาก Seath ได้ตายลงหอจดหมายเหตุ Duke's Archives ก็ถูกทิ้งร้างและไร้ซึ่งกฎระเบียบ เหล่า Channeler ทั้งหลายต่างเลิกรา เเละกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันได้นำตำรับตำราติดตัวไปด้วย ห้องสมุดอันสุดแสนอลังการที่ผู้คนมากมายเคยใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยือน บัดนี้กลับเหลือเพียงแค่ชั้นวางหนังสือเปล่า ๆ กับใยเเมงมุม         กระนั้น ก็ยังมีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยังคงปักหลักอยู่ใน Duke's Archives เขาคนนั้นพร่ำเพ้อร้องพูดไม่ได้ศัพท์ แถมยังเปลือยกายล่อนจ้อนเดินโทงเทงไปมาอยู่ในห้องโถงคริสตัล อันครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของ Seath… นามของเขาก็คือ Big Hat Logan( ภาพประกอบ : Big Hat Logan ถอดเสื้อผ้าออกเพราะต้องการจะกลายร่างเป็นมังกร อันเป็นวิธีเดียวกับที่ Path of the Dragon ทำ )         Logan บุคคลที่เคยเป็นถึงปรมาจารย์ระดับสูงของศาสตร์เวทมนตร์ เขาเคยมีลูกศิษย์ลูกหาเก่ง ๆ มากมายนับไม่ทวน แต่ว่าอะไรกันละ? อะไรเป็นสาเหตุทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้? คำตอบก็คงต้องย้อนกลับไปดูยังจุดเริ่มต้น         อย่างที่รู้ ๆ กัน ว่าเจ้ามังกรวิปลาส Seath เป็นนักทดลองวิทยาศาสตร์ตัวยง เเละแน่นอนว่ามันต้องเผชิญกับความล้มเหลวหลายครั้งก่อนจะค้นพบ Primordial Crystal  โดยหนึ่งในบรรดาการทดลองที่ล้มเหลวนั้น ก็มีอยู่เวทมนตร์หนึ่งที่ให้ผลลัพธ์คล้ายครึ่งกับการเป็นอมตะ.... มันคือศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า “การย้ายจิต”( ภาพประกอบ : ตำนานของ Logan ได้เเพร่กระจายออกไปสู่คนรุ่นเเล้วรุ่นเล่า เเละสร้างคนที่นับถือวิถีเฉกเช่นเขาไว้มากมาย )         เวทมนต์ย้ายจิต ก็คือท่าไม้ตายก้นหีบที่ Seath ตระเตรียมไว้ก่อนที่จะได้ค้นพบ Primordial Crystal โดยมันได้แอบสอดไส้คำสาปนี้ลงไปในตำราเวทมนตร์ชั้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่าใครก็ตามที่หลงไปอ่านมันจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถอยู่พอสมควร หรืออย่างน้อยขอแค่มีพลังมากพอที่ Seath จะควบควบร่างไปใช้ทำอย่างอื่นได้ตามประสงค์         Big Hat Logan ก็คือเหยื่อคนเเรกแห่งความทะเยอทะยานนี้ เขาได้ถูกคำสาปเข้าครอบงำสมองจนหลงคิดว่าตนเองเป็น Seath และได้กำลังเตรียมการย้ายถิ่นฐานไปสู่ดินแดนอันห่างไกล ดินเเดนที่ติดกับชายฝั่งทะเลซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า Drangleic( ภาพประกอบ : วันหนึ่งในอนาคตผู้เล่นจะได้หวนกลับมาเจอกับ Seath อีกครั้ง... )  คุยกันหลังเรื่องเล่า         ก็จบลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบหก “มังกรขาวจอมวิปลาส กับพลังอัมตะ” สำหรับผม บทนี้เป็นบทที่ค่อนข้างจะสนุกในการเขียนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับเรื่องของเจ้า Logan และการตายของ Rhea... ซึ่งถ้าหากเรามาคิดกันดูดี ๆ NPC ทั้งสองต่างก็เป็นตัวละครที่ถูกเราช่วยเอาไว้ทั้งนั้น แต่สุดท้ายทั้งสองก็ต้องจบลงด้วยความเศร้าอย่างช่วยไม่ได้ (เหมือนว่าทางผู้พัฒนาต้องการจะสื่อว่าทุกคนถึงเวลาก็ต้องตาย)         ในส่วนตอนท้ายบทความ ผมได้มีการทิ้งเชื้อไว้สำหรับ Dark Souls 2 นิดหน่อย…แต่คงอาจจะใช้เวลาอีกนานกว่าตัวผมจะเขียนไปถึงจุดนั้น อย่างไรก็ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่ยังร่วมเดินทางไปด้วยกัน แม้หลายคนอาจจะรู้ตอนจบอยู่แล้วก็ตาม เอาละตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาตัวผมต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ   
01 Apr 2021
ชวนนั่งคิด เป็นไปได้หรือไม่ที่จักรวาล Soulsborne ทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน?
ประเด็นที่ว่าจักวาล SoulBorne ทั้งหมด (Demons Souls, Dark Souls 1 - 3, และ BloodBorne) ซึ่งบ้างก็บอกว่าทั้งสามไม่น่าเป็นเกมที่อยู่ในจักรวาล หรือ Timeline เดียวกับ แต่ก็ยังมี Youtuber และนักเขียนหลายคนที่นำเสนอทิศดีที่ชื้ให้เห็นว่า ทั้ง 3 เกมอยู่ในจักรวาล และ Timeline เดียวกัน ซึ่งทาง From Software ก็ไม่เคยออกมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงพูดคุยในหมู่แฟนเกม โดยส่วนตัวผมเองแล้ว เชื่ออย่างยิ่ง ว่าทั้ง 3 เกม อยู่ในจักวาลเดียวกัน โดยมี Demons Souls เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล ต่อมาด้วยประเด็นความขัดแย้งเรื่องว่า โลกควรจะมีพลังของไฟอยู่หรือไม่ใน Dark Souls ก็เป็นจุดเริ่นต้นของเรื่องราวในโลกของ Bloodborne ซึ่งวันนี้ผมจะขออธิบายทฤษฎีของผมให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ ป.ล "บทความนี้มีการสรุปเนื้อเรื่องของตัวเกม SoulBorn ทั้งหมดเอาไว้แบบพอสังเขป และมีการสปอยเนื้อเรื่องบางส่วนด้วย" เรื่องราวของ Demon’s Souls เกี่ยวกับอะไร ? บทเริ่มต้นของ Demons Souls ได้กล่าวว่า   "ในวันแรกมนุษย์ได้รับดวงวิญญาณ / สติความนึกคิดมา และในวันที่สองแผนดินของถูกปลูกด้วยพิษร้ายแรง ปิศาจที่กัดกินดวงวิญญาณทั้งปวง" เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ) การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า   "ฉันยินดีที่จะยกไอเทมเหล่านี้ให้กับเธอ เพื่อแลกกับ Souls จำนวนที่เท่าเทียม เธอก็รู้ว่าฉันต้องการ Souls เพื่อให้ตัวเองยังคงมีสติอยู่"  เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder, Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง เมื่อพลังแห่งความมืดเข้มแข็งกว่า การตายของมนุษย์จึงไม่ทำให้พวกเขาตาย แต่ได้รับ Dark Sign มา โดยแลกกับ Humanity ที่ตัวเองมี และทำให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะ Undead และยิ่ง Undead ต้นนั้นตายซ้ำตายซากมากขึ้นเท่าไหร่ พวกมันก็จะสูญเสียความนึกคิดกับสติปัญญาไปมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง เหล่า Undead จะกลายเป็น Hollow ที่ไม่มีความนึกคิด ไม่มีจุดหมาย ลืมกระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร Hollow บางตัวก็อยู่นิ่งเฉยๆ แต่ Hollow บางตัวก็โจมตีผู้อื่นไปทั่ว (ซึ่งนี่อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของ Lore ช่วงแรกจากเกม Demons Soul ที่กล่าวว่าถึงพิษที่ถูกปลูกลงมายกพื้นโลก เพราะถ้าหากเข้าใจว่า Souls และ ไฟ คือพลังของมนุษย์ Deep Fog กับพลังแห่งความมืด ก็คือสิ่งที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามครับ) เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One) เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel  เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน) โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen One ที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ Father Ariandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ  Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ อีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เลือด มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าไฟ คือในฉากที่เลือดของเหล่า The Abyss Watcher ไปรวมกันที่ร่างเดียว และหลอมรวม Soul ของพวกเขาทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง ก่อให้กำเนิดร่างที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา หรือตอนจบของ DLC The Ringed City ที่ Slave Knight Gael ดื่มเลือดของราชาแห่ง Pygmy เข้าไป และได้รับพลังแห่งความมืดมา รวมถึงประโยคที่เขาพูดว่าหลังเลือดลดไปได้ครึ่งหลอดที่บอกว่า "นี้คือเลือด เลือดที่มีพลังของ Dark Souls" กล่าวคือนอกจาก เลือด จะเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ใช้ส่งต่อพลังให้กับคนอื่นได้ด้วย ในขณะเดียวกัน เลือด ก็เป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกันสามารถสังเกตได้ในตอนที่ Father Ariandel ใช้ ถ้วยทองขนาดใหญ่ ทุบลงไปที่เลือดของ Elfriede ที่นองอยู่บนพื้นจนทำเกิดเปลวไฟขึ้นมา (ให้ไปนาทีที่ 3.19 ในคลิปด้านบน) ในจุดนี้ผมจึงคิดว่า เลือด เปรียบเสมือนภาชนะที่ใช้ในการกักเก็บพลังของแสงสว่าง หรือความมืดก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ใน DLC Ashes of Ariandel เราจะได้พบกับหญิงสาวผมขาวที่ต้องการจะวาดภาพโลกที่ มืดมิด หนาวเหน็บ และอ่อนโยน และเธอหวังว่ามันจะเป็นบ้านที่แสนสุขให้กับใครสักคน ซึ่งภาพวาดของเธอถูกวาดขึ้นมาด้วย "เลือด" เพื่อที่จะวาดภาพนี้ให้สำเร็จเธอกล่าวว่าเธอต้องการที่จะเห็น ไฟ (ซึ่งผมเข้าใจว่า เพื่อเธอจะไม่เผลอวาดพลังของ ไฟ เข้าไปในโลกใบนี้ด้วย) ในตอนจบหลังจากเอาชนะ Father Ariandel กับ Friede ได้ ไฟจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่ง Ariandel ถ้าหากกลับไปคุยกับเธอ เธอจะขอบคุณเรา และเริ่มวาดภาพต่อ โดยถ้าหากอ้างอิงว่าภาพที่ถูกวาดด้วยเลือดคือโลกหนึ่งใบ ภาพที่หญิงสาวผมขาววาดขึ้นมาด้วยเลือด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นโลกของ BloodBorne ครับ โลกของ BloodBorne เรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลา ซึ่งต้องการจะวิวัฒนาการ BloodBorne จะกล่าวถึงโลกที่มนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็น Hunter ได้ เพียงแค่รับเลือด "PaleBlood" เข้าไป โดยโลกของเกมไม่มีการกล่าวถึงคอนเซ็ปต์เรื่อง Souls หรือ ไฟ และความมืดอีกเลย ราวกับว่าเป็นโลกที่มนุษย์ลืมพลังเหล่านั้นและหันมาพึ่งพาเพียงแค่พลังของ เลือด อย่างเดียว แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด ไ ปแล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป) เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้ ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ " โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)   อีกหนึ่งหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของผม คือบทพูดของ NPC ที่ชื่อว่า Marvellous Chester ที่เมือง Oolacile ในภาคแรกที่มีใจความว่า   "อืม ขอฉันเดานะ เดินเข้าไปในความมืด แล้วรู้ตัวอีกที่ก็มาโผล่อยู่ในอดีตสินะ? เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน เราทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น ที่มาอยู่ในแดนประหลาด" บวกกับแต่งตัวเหมือนมาจากเมือง Yharnam มากกว่า Oolacile แถมยังถือมีดที่โจมตีติดเลือดไหล กับหน้าไม้ในมืออีกข้าง (ดูยังไงก็เป็นรูปแบบการใช้อาวุธของ Hunter ในเกม BloodBorne) ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเรื่องราวของ BloodBorne คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตอันห่างไกลจาก Dark Souls ซึ่งมันยิ่งทำให้คิดแบบนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพบว่า ใต้เมืองของ Yharnam มีซากชุดเกราะจากยุคอดีตที่เหมือนกับตัวละครของเราใน Dark Souls ดังนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของ Oolacile ความเป็นไปได้ของ Elden Ring ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ เป็นอย่างไรกันบ้างกับทฤษฎีเนื้อเรื่องของผม? ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่เพื่อนๆ ได้อ่านมา เป็นการคิด วิเคราะห์ และสรุปจากหลักฐานที่ผมมี หมายความว่า มันอาจจะไม่ถึงต้องเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้ แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องที่ทั้ง 3 เกม อาจอยู่บนจักรวาล และ Timeline เดียวกัน? คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่? คอมเม้นต์พูดคุยกันได้ครับ
03 Mar 2021
ชวนนั่งคิด Soudtrack และ BGM สำคัญมากน้อยขนาดไหนในวิดีโอเกม?
ทุกวันนี้ผลงานเกมที่ยอดเยี่ยมถูกวัดค่าจากสิ่งใด? เป็นความยอดเยี่ยมของเนื้อเรื่องที่แต่งมาได้ซึ้งกินใจจนห้ามน้ำตาของผู้เล่นไว้ไม่อยู่? บางครั้งอาจเป็นเกมเพลย์สุดมันส์ที่บังคับดึงอารมณ์ความสนุกของผู้เล่นออกมาได้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบชั่วโมง? บางคนอาจบอกว่าเป็นวิธีการนำเสนอที่ผู้พัฒนาสร้างสรรค์ได้แปลกตาไม่เหมือนใคร ความอลังการ / สวยงามของกราฟิกก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น หรือจริงๆ แล้วอาจเป็นการผสมผสานทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาเข้าด้วยกันอย่างลงตัวรึเปล่า เราถึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า "เกมนี้คือผลงานที่ยอดเยี่ยม" ? แม้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกต้อง และอาจถูกใช้เป็นเกณฑ์ที่สื่อ หรือผู้เล่นจะมอบคะแนนให้กับเกมหนึ่งเกมจริง แต่จริงๆ เรากำลังมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป บางสิ่งที่คอยผลักดันให้ทั้ง 4 ได้อยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ของเวทีแห่งการชื่นชม สิ่งที่ถูกเรียกว่า "Soudtrack และ BGM"   งานวิจัยเรื่อง "Does Music Induce Emotion?" ของนักจิตวิทยาชาว Serbia คุณ Vladimir J. Konečni ในปี 1982 ได้แสดงให้เห็นว่าท่วงทำนองที่ซับซ้อน และดังจะสร้างอารมณ์โกรธให้ผู้ชม ในขณะที่ดนตรีที่นุ่มนวล ผ่อนคลาย และเรียบง่าย จะมอบความสบายให้กับผู้ชม นอกจากนี้ในฉากเดียวกันหากเราเลือกใช้ดนตรีประกอบที่ต่างกันไป ก็จะทำให้ความรู้สึก ความสงสัย และอารมณ์ที่มีต่อฉากนั้นแตกต่างกันไป วิดีโอข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนซึ่งผมอยากให้เพื่อนๆ สละเวลาเล็กน้อยสัก 2 นาทีเพื่อดูมันครับ (ไม่ต้องดูจนจบก็คิดว่าคงเห็นภาพกันแล้ว) มาถึงจุดนี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า "แล้วมันเกี่ยวกับเกมตรงไหน" ผมจะอธิบายว่า ก่อนอื่นเลยคือทั้ง 2 เป็นมัลติมีเดียเหมือนกัน และเป็นสื่อที่ให้ความบันเทิงเช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีสร้างของทั้งสองจึงแตกต่างกันแค่กระบวนการผลิตเท่านั้น (ซึ่งจากคำพูดของผู้กำกับชื่อดัง Christopher Nolan แล้ว จริงๆ เกมอาจสร้างยากกว่าหนังด้วยซ้ำ) ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าองค์ประกอบ หรือวิธีการใดๆ ที่ทำให้หนังเรื่องหนึ่งเป็นหนังที่ดีได้ วิธีการเหล่านั้นก็น่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างวิดีโอเกมให้ดีได้เช่นกัน แบบนั้นแล้ว เมื่อสำหรับหนังเพลงประกอบเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ฉันใด เกมเองก็ไม่สามารถขาดเพลงประกอบได้ฉันนั้น เนื่องจากการสร้างอารมณ์ร่วมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากเพียงผ่านตัวหนังสือ หรือสีหน้าของตัวละครอย่างเดียว ยิ่งเป็นฉากที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งความหวัง และความสิ้นหวังอยู่ด้วยดังเพลง Answer ฉาก Realm Is Reborn จาก Final Fantasy XIV ด้วยแล้ว การไม่มีบทเพลงใดๆ ประกอบเลย ฉากนี้ก็คงไม่ทำให้ผู้เล่นหลายหมื่นคนนั่งร้องไห้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองหลังได้เห็นโลกของเกมที่พวกเขารัก NPC ที่พวกเขาชื่นชอบ ตายไปพร้อมกับโลกที่พังทลาย ดั่งคนบ้าในยามราตรี ในคืนที่ชมเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก อีกหนึ่งตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของบทเพลงแห่งความหวัง และความสิ้นหวัง คงจะไม่พ้น Weight of The World ในตอนที่ผู้เล่นกำลังพยายามจะเก็บฉากจบสุดท้ายที่ชื่อว่า The [E]nd of Yorha เราจะต้องพบกับการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะได้ ตัวเกมจะถามทุกครั้งที่เราล้มเหลวว่า "จะยอมแพ้หรือไม่" ซึ่งในขณะเดียวกันเราจะต้องฟังบทเพลงที่มอบความสิ้นหวัง และความหวังให้ในเวลาเดียวกันไปด้วย โดยในทุกครั้งที่พ่ายแพ้ จะมีคำพูดให้กำลังใจจากผู้เล่นทั่วทุกมุมโลกค่อยๆ ขึ้นมาให้กำลังใจเรา พวกเขาจะบอกอยู่เสมอว่า "อย่ายอมแพ้", "นายทำได้", "เชื่อมันในตัวเองสิ" นำไปสู่ช่วงเวลาที่ตื้นตันจนไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ เมื่อได้ฉากจบสุดท้ายมา ตัวเกมจะถามว่า "คุณเอง ก็ต้องการส่งมอบความหวังให้กับคนอื่นรึเปล่า?" ถ้าหากใช่สิ่งที่ต้องแลกไปก็คือเซฟทั้งหมดของเกมที่เล่นมาจนถึงตอนนี้ ราวกับเป็นข้อความจากผู้พัฒนาว่า "ช่วงเวลาที่คุณเพิ่งได้สัมผัสไป จะมีได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น" บางครั้งดนตรีประกอบเบาๆ ที่มีเสียงร้องขับขานไม่เป็นภาษาในช่วง End Credit ก็อาจเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนการจากลาจากผู้พัฒนา เหมือนดังเช่น The Nameless Song จาก Dark Souls เมื่อเพลงดังกล่าวถูกขับขานผู้เล่นจะได้รับรู้ว่า "อา.. การเดินทางที่แสนยาวนานใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว" ปลายทางที่ไขว่คว้ามานานอยู่ห่างเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทั้งความสนุก, ความทรมาน, ความขื่นขม, ความเศร้า, ความตื่นเต้น ความรู้สึกทุกอย่างค่อยๆ จมหายไปพร้อมกับ ตัวอักษร End Credit ที่ขึ้นมาแทนที่ ในช่วงเวลานี้บางคนอาจรู้สึกเศร้า บางคนอาจร้องไห้อย่างเงียบๆ และบางคนอาจหลับตาเพื่อเงียบหูฟังบทเพลงแห่งการจากลานี้ด้วยรอบยิ้ม และความคิดที่จะไม่ลืมท่วงทํานองตราบนานเท่านาน บทเพลงที่น่าจดจำบางครั้งอาจเป็น BGM เล็กๆ สั้นๆ ที่เราฟังจนคุ้นเคยโดยที่ไม่รู้ตัวได้เช่นกัน ซึ่งถ้าหากให้ยกตัวอย่างเพลงที่คนไทยส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก และเมื่อฟังจะเกิดการคิดคำนึงถึง ก็คงไม่พ้นเพลง Theme หน้า Log In และเพลงบรรเลงของเมืองต่างๆ จากเกม Ragnarok ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ได้ยินก็ยังคงทำให้หวนรําลึกถึงความรู้สึกในวันวาน เมือง Prontera ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก, เมือง Morroc ที่มีพ่อค้าอยู่มากมาย, บางครั้งเราอาจได้เห็นห้องสนทนาที่มีหัวข้อแสนสนุก บางที่หัวมุมถนนตรงหน้าอาจผู้เล่นจำนวนมากกำลังหนีเอาตัวรอดจากบอสที่ออกมาจากไม้ผีอยู่ เมื่อเดินทางมาถึงหน้าดันเจี้ยนอาจได้พบกับสมาชิกเพื่อนร่วมกิลที่นัดหมายกันไว้ เมื่อได้ฟังเพลงข้างล่างนี้ทุกคนคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นกันบ้างรึเปล่า? เพียงแค่เสียงจากกีตาร์โปร่งหนึ่งตัว กับถ้อยคำขับร้องที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ในสถานการณ์ และฉากที่ถูกต้อง บางครั้งอาจน่าจดจำยิ่งกว่าดนตรีที่ถูกบรรเลงมาอย่างประณีต ดังเช่น Future Days ของ Joel ในช่วงเริ่มต้นของ The Last of Us Part 2 แม้เพลงนี้จะความยาวจะมีเพียงแค่ 3 นาที แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เชื่อว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจได้เลยว่า Ellie มีความสำคัญต่อชายแก่คนนี้ยังไง ทำไมเขาถึงหวงแหนเธอขนาดนี้ และมันจึงทำให้เราเสียใจ รวมถึงโกรธมากเมื่อได้ทราบถึงโชคชะตาของเขาในเนื้อเรื่องของเกมหลังจากนี้ โดยที่หลายคนอาจไม่ได้ตระหนักเลยว่า ตัวเองได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่อง รวมถึงเหตุการณ์ในเกมนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่านี้ไม่ใช้บทเพลงทั้งหมดที่ล่วนแล้วแต่งดงามในแบบของตัวเอง น่าจดจำในแบบของตัวเอง แต่หากจะให้ยกตัวอย่างทุกเพลงจากทุกเกมในโลกนี้แล้ว คิดว่าบทความนี้คงยาวแบบไม่มีวันจบสิ้นกันเลยทีเดียว ตัวอย่างที่ผ่านมาเพียงแค่อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพถึงพลัง และความสำคัญของบทเพลง ที่มักไม่ค้อยถูกพูดถึง หรือได้รับความสนใจจากเหล่าผู้เล่นเท่าไหร่นัก และน่าเสียดายเหมือนกันที่มิอาจยกตัวอย่างเพลงที่ดี แต่ไม่ถูกจดจำในโลกวิดีโอเกมให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพได้ เนื่องจากตัวผมเองก็เพิ่งหันมาให้ความสนใจ บทเพลงที่สวยงามจากเกมเหล่านี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม "เกม" ก็ยังถือว่าเป็น Multimedia ชนิดหนึ่ง ที่สุดท้ายแล้วก็ยังคงจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ตัวเองเป็นสิ่งที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ,การดำเนินของเนื้อเรื่อง, ภาษาที่ใช้, การเรียบเรียงคำพูดของตัวละคร, ฉาก, กราฟิก, ธีม, เกมเพลย์, ระบบ และปัจจัยสําคัญอีกมากมายที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เพลงที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นจะมีดนตรีที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน พรรณนาได้งดงามเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผลงานมีคุณค่า ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักเพียงหนึ่งเดียวที่จำเป็นต้องสร้างออกมาอย่างประณีตจนไม่จำเป็นต้องทำสิ่งอื่นได้ เช่นนั้นแล้วก็คงมิอาจเข้าถึงจิตใจของผู้เล่น หรือทำให้ถูกจดจำได้ หากขาดองค์ประกอบอื่นๆ ไปแม้จะเป็นบทเพลงที่สวยงาม และน่าฟังเพียงใด เมื่อไม่มีคุณค่าในการจดจำ เพลงนั้นก็คงถูกลืมเลื่อนหายไปตามกาลเวลา
28 Jan 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 15 มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ
            สวัสดีครับ! กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายเกม Dark Souls บทที่สิบห้า โดยเนื้อหาในบทนี้จะเน้นหนักไปยังแผนที่ Anor Londo ซึ่งจะมีเนื้อเรื่องเเยกย่อยมากมายให้กับตัวเอกของเราจะได้เผชิญหน้า อีกทั้งยังจะได้รับรู้ความจริงอันชั่วร้ายที่หมักหมมเอาไว้ใต้พรมโดยเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า Painted World of Ariamis โลกแห่งการจองจำ ณ อีกฟากของมิติ          พลังความศรัทธาของ Undead นิรนามจะถูกทดสอบด้วยคำถามที่จะสั่นคลอนคำทำนายแห่ง The First Flame เเละเปลี่ยนถึงมุมมองใหม่ต่อพลังความมืด... พลังซึ่งเดิมทีคือรากเหง้าของมนุษย์ เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบห้า “มหามลทินแห่งเหล่าทวยเทพ” ( ภาพประกอบ : ที่ใดมีเเสงสว่างที่นั่นก็ย่อมมีเงา...เหล่าเทพเจ้าต่างตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ )  < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง บทที่สิบสาม l บทที่สิบสี่   คุกนรกเยือกแข็ง          Undead นิรนามสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนพื้นหิมะสีขาวที่หนาวเหน็บเเละกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่ทราบเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ก็เพียงเเต่เขากำลังล่วงตกลงสู่พื้นภายในวิหารของ Anor Londo จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป Undead นิรนามเดินเท้าลุยหิมะอย่างไร้จุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบกับปราสาทสีดำทมิฬแห่งหนึ่งที่มีสภาพเก่าพุพังคล้ายกับเพิ่งผ่านสงครามมามาด ๆ สภาพทางด้านหน้าได้มีการปักป้ายเตือนสุดพิสดารด้วยการนำศพของมนุษย์มาตั้งเรียงรายปักเด่นเป็นสง่า คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าได้ริอาจก้าวเท้าเข้ามาเชียว          แต่ทว่ามีหรือกลจิตวิทยาแค่นี้จะสั่นคลอนจิตใจของคนอย่าง Undead นิรนามได้ เขาเดินผ่านป้ายเตือนที่ทำจากซากศพราวกับว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง พระเอกของเราไม่ทราบหรอกว่าที่นี่มันจะอันตรายมากแค่ไหน แต่ถ้าหากยังยืนเก ๆ กัง ๆ อยู่ข้างนอกแบบนี้ละก็มีหวังคงได้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทั้งยืนกันพอดี ( ภาพประกอบ : ทางเข้าสู่ปราสาทเเห่งความสิ้นหวังใน Painted World of Ariamis )          บรรยากาศภายในปราสาทดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองของมนุษย์ซึ่งเกิดเหตุนองเลือดและล่มสลายเพราะ Curse of Undead โดยจะแปลกใหม่ก็เเค่ตรงที่มีกองหิมะสีขาวนวลคอยปกคลุมสุกซ่อนลอยเลือดสาดกับเศษภูเขาโครงกระดูกทั่วผืนดิน          ในระหว่างที่ Undead นิรนามกำลังเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น เขาก็ได้พบกับบุรุษปริศนาคนหนึ่งที่สวมหมวกสีเหลืองทองรูปทรงประหลาด ยืนตัวนิ่งอยู่ท่ามกลางลานหิมะซึ่งเต็มไปด้วยไม้เสียบลูกชิ้น(ซากศพ)มากมายนับไม่ถ้วน… ด้วยว่ารูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอกัน พระเอกเราตัดสินใจทันทีว่านั่นต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนเเละกระโจนเข้าห้ำหั่นอย่างไม่รีรอ ( ภาพประกอบ : Xanthous King, Jeremiah ในสภาพของ Red Phantom )          เจ้าบุรุษปริศนาเข้าต่อสู้กับพระเอกของเราด้วยการใช้เวทย์เพลิงขั้นสูง Pyromancy ซึ่งมันก็ค่อนข้างมีฝีมืออยู่พอตัวจนสามารถต่อกรกับพระเอกของเราได้อย่างสูสี พวกเขาประลองฝีมืออยู่นานเเต่ก็ไม่มีผู้เเพ้ผู้ชนะสักทีจน Undead นิรนามเริ่มเหนื่อยหน่าย จึงได้ลดอาวุธลงพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้วาจาเพื่อคุยตอบโต้กับอีกฝ่าย          เจ้าพ่อมดแนะนำตนเองว่ามันคือราชันทองคำ Jeremiah ส่วนสถานที่แห่งนี้ก็คือ Painted World of Ariamis คุกต่างโลกอันหนาวเหน็บซึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ใช้กักขังสิ่งต่าง ๆ ที่พวกมันหวาดกลัว (สถานที่ซุกขยะใต้พรมดี ๆ นี่เอง)   ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Chaos Storm ที่เจ้า Jeremiah ใช้เป็นเวทมนต์ขั้นสูงซึ่งมีเเต่คนตระกูลของเเม่มด Izalith เท่านั้นที่รู้  ) หลังได้ยินเช่นนั้นพระเอกของเราก็ถึงกับสงสัย เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนว่าเหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังนักทรงพลังหนา จะกวาดกลัวสิ่งใดเป็นด้วยน่ะเหรอ?... เจ้า Jeremiah หัวเราะเสียงดังลั่นใส่ Undead นิรนามถึงความไม่ประสีประสา จากนั้นก็เริ่มสาธยายวีรกรรมของเทพเจ้าให้กับพระเอกของเราได้รับฟัง… Gwyn คือเทพชั่วร้ายผู้หลงมัวเมาในอำนาจ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้โดยไม่เกียงวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดต่ออดีตพระชายา Velka และคนในครอบครัวของตนเอง, การอนุญาตให้เจ้ามังกรไร้เกล็ด Seath กระทำการทดลองอันโหดร้ายต่างต่างนานาต่อเหล่ามวลมนุษย์,  การอุปโลกน์ศาสนา Way of White เพื่อหลอกใช้ประโยชน์จาก Undead ให้มากทีสุด, ฯลฯ          Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในคำพูดของเจ้าพ่อมดตัวเหลือง เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสอนว่าเทพเจ้าคือสิ่งดีงาม Jeremiah จึงได้ถามพระเอกของเราว่ารู้จักกบฏทมิฬหรือไม่ ( Occult Rebellion ) ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องส่ายหัว ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพี Velka ใน Painted World of Ariamis )          Jeremiah เล่าว่าในครั้งอดีตเมื่อตอนที่ Curse of Undead เพิ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ทั้งโลกต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวและหันหน้าไปพึ่งเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo... ทว่าพวกโง่เขลานั่นหารู้ไม่ว่าเทพเจ้าเองก็กำลังระส่ำระสายไม่เเพ้กัน กบฏทมิฬซึ่งตอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลิงสีดำ Hexes โดยเทพี Velka ต่างก็ลงมติเห็นว่านี่นิมิตหมายอันดีที่จะโค่นล้ม Gwyn พวกเขาจึงเรียกรวบกำลังพลที่เคยส่งไปแทรกซึมตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อวางเเผนรอวันรอบสังหารที่เหมาะสม ( ภาพประกอบ : Vow of Silence เป็นหนึ่งในเวทมนต์สาย Hex ของ Velka โดยมันจะทำการผิดผนึกเวทมนต์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงพลัง Miracle ของเหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน )          ทว่าก็โชคร้ายแผนการดังได้เกิดรั่วไหลขึ้นเสียก่อน เหล่ามนุษย์ผู้ต้องสงสัยมากมายต่างถูกจับกุมเเละสังหารทิ้ง ณ ตรงนั้นโดยเหล่า Silver Knight อย่างโหดเหี้ยม จนเหตุการณ์บานปลายเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่ง          ผลลัพธ์จบลงด้วยการที่เหล่ากบฏทมิฬรังเเตก! พวกบรรดาสายลับเเละผู้มีส่วนเกี้ยวข้องกับ Velka ต่างถูกจับมาสืบสวนเพื่อสาวไส้หาต้นต่อ ซึ่งปรากฏว่ามีทั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูง ไปจนถึงวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เป็นนับหน้าถือตาในสังคม  Gwyn จึงมิอาจตัดสินลงโทษคนเหล่านี้เเบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และมันอาจจะกลายเป็นน้ำผึ่งหยดเดียวอันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นได้          Gwyn จึงออกอุบายหลอกให้คนเหล่านั้นเข้ามาอาศัยอยู่ใน Painted World of Ariamis โดยอ้างว่าเป็นสถานกักบริเวณชั่วคราวเพื่อรอวันที่ทุกคนจะได้เเก่ต่างให้ตนเองในชั้นศาล **ต้องชี้แจงก่อนว่ามิใช่ทุกคนที่นับถือเทพี Velka แล้วจะเป็นพวกกบฏทมิฬไปซะหมด หลายคนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่บูชา Velka แต่ก็ถูกจับตัวมาด้วย** ( ภาพประกอบ : The bloodshield หรือโล่โลหิต โดยมันเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ระดับตำนานที่สามารถพบเห็นได้เฉพาะใน  Painted World of Ariamis เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยมีบุคคลระดับตำนานอยู่ในนี้จริง ๆ )          เเต่ทว่าคนบ้าอำนาจอย่าง Gwyn มีหรือจะเชื่อใจได้ สาวกของ Velka ถูกหลอกให้เฝ้ารอวันพิพากษาที่ไม่มีวันมาถึง เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาจึงได้พากันละทิ้งความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก และหันมาสร้างอารยธรรมใหม่ของตนเองขึ้นบนดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้          เหล่าผู้ถูกทิ้งเริ่มสร้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ทางร่วมจิตใจอย่างโบสถ์บูชาเทพี Velka, โรงตีเหล็กที่เอาไว้ใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ซึกกร่อนเสียหาย, โรงเหล้าสำหรับดื่มย้อมใจเพื่อให้ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในความทรงจำ... ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งเหนือผืนหิมะที่หนาวเหน็บ ( ภาพประกอบ : Black Set คือชุดเครื่องเเบบของนักบวชที่นับถือ Velka ซึ่งหาพบได้เฉพาะใน Painted World of Ariamis เท่านั้น ) ( ภาพประกอบ : Dark Ember เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างอาวุธธาตุมืด...เเละก็เช่นเคยมันอยู่ใน Painted World of Ariamis เท่านั้น )          เเต่ทว่าโปรดอย่าลืม!ว่านี่คือเกม Dark Soul ฉะนั้นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจึงไม่มีอยู่จริง... หากโลกภายนอกมีความมืดที่คอยกัดกินแสงสว่างอยู่แล้วละก็ ในโลกของ Painted World of Ariamis ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความเน่าเปื่อยซึ่งมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน!          เหล่าผู้คนเริ่มก็สังเกตถึงเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดลอกจากร่างกาย บางก็มีตุ่มน้ำหนองน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาตามผิวหนัง มันเป็นโรคร้ายที่สร้างความทรมานให้แก่ร่างต้นพาหะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย เเต่โชคร้าย Curse of Undead ทำความตายมิอาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้ เศษเสี้ยวของ Dark Soul ที่ยังคงหลงเหลือในวิญญาณ ได้บังคับให้พวกเขาเกิดและตายวนเวียนไปมาไม่รู้จบ โดยต้องทนทุกข์เป็นสองเท่าจากการกลายเป็น Hollow(เสียสติ) และการเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน          สังคมสงบสุขที่อุตสาห์บากบันสร้างมาด้วยความฝัน บัดนี้กลับล้มครืนไม่เป็นท่าราวกับปราสาททรายที่ไม่เคยมีอยู่จริง ( ภาพประกอบ : Engorged Hollow หรือ Hollow ที่เน่าเปื่อย พวกนี้จะระเบิดร่างปล่อยควันพิษออกมาเมื่อตายลง )          พวกมนุษย์ที่สิ้นหวังเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี Velka ทุกวี่ทุกวันขอนางให้ช่วยนำพาความทุกข์ทรมานออกไปจากร่างกายนี้เสียที แต่ด้วย Painted World of Ariamis คือโลกต่างมิติดังนั้นจึงมีเพียงเเค่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพระนางอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น จึงได้รับพรให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ซึ่งเรียกว่า Crow Demon หรือปีศาจอีกา ครึ่งคนครึ่งที่สามารถโบยบินเพื่อหนีจากคำสาปเน่าเปื่อยบนพื้นดินได้ ( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวก Crow Demon )          ปาฏิหาริย์พลังแห่ง Velka เป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนเชื่อว่าจะช่วยพวกเขาได้ ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไปเสียหมด พวกคนที่สวดอ้อนวอนแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยเพราะกลัวความตาย ร่างกายของคนพวกเขาก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน ทำให้กลายร่างเป็นก้อนเนื้อพิลึกพิลั่นที่ตามจำนวนพลังศรัทธา ( ภาพประกอบ : เหล่าสาวกของ Velka ที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยจนกลายเป็นก้อนเนื้อ เเต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงปกป้องเเละภาวนาต่อนาง )         เมื่อสนทนามาจนถึงจุดนี้พระเอกของเราก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า Jeremiah ว่ามันอยู่ในช่วงเวลาไหนของเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งเจ้า Jeremiah ก็อ้างเเบบข้าง ๆ คู ๆว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งจึงมีภูมิต้านทานต่อคำสาป(โกหก) และมักจะใช้เวลาว่างในการสังหารพวก Hollow เพื่อสร้างสรรค์ป้ายบอกทางก่อนหน้านี้          Undead นิรนามเเกล้งพยักหน้ารับเหมือนกับว่าเชื่อลมปากดังกล่าว ทว่าความจริงเขาก็ทราบดีว่าใครก็ตามที่ใช้เวทมนตร์ Pyromancy จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกจอมเวทย์เพลิงใน Great Swamp หรือไม่ก็อสูรแห่ง Izalith ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงยังคงระวังตัวต่อไป... ( ภาพประกอบ : คนที่ทำเรื่องเเบบนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าได้ลงคอ คงจะต้องเป็นคนมีสันดานดิบเป็นเเน่เเท้ )          หลังได้แลกเปลี่ยนวาทะกันพอสมควร Undead นิรนามก็ถามถึงวิธีในการออกไปสู่โลกภายนอก เพราะว่าตนเองยังมีภารกิจที่ยังต้องไปสานต่อ เจ้า Jeremiah จึงบอกว่าวิธีจะออกไปน่ะมันไม่รู้หรอกเพราะตนเองก็ติดอยู่ที่นี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวเพราะยังมีหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งมันยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ โดยทางเข้าจะถูกเเบ่งออกเป็นสองทางด้วยกัน คือทางด้านบนเเละทางด้านล่าง ( ภาพประกอบ : เส้นทางที่จะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยว )          ทางด้านบน ได้ถูกปกปักรักษาไว้โดยมังกรยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยยักษ์ ส่วนทางด้านล่างก็หินไม่แพ้กันเพราะต้องลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบกรงล้อ Wheel Skeleton (แบบเดียวกับใน Catacomb) เพื่อกดสวิตช์เปิดประตูลับ          เจ้า Jeremiah หลงคิดว่าพระเอกของเรานั้นจะเป็นพวกสิ้นหวังเหมือนกับคนอื่น ๆ ทว่าหารู้ไม่ว่าพระเอกของเราเคยทำอะไรมาบ้าง(สังหารมังกรตัวเป็น ๆ ก็เคยทำมาแล้วฉะนั้นเรื่องแค่นี้ถือว่าง่ายมาก) Undead นิรนามได้พาเจ้า Jeremiah บุกไปสังหารมังกรเน่าเปื่อยจนสำเร็จ แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอเขายังได้สำแดงฝีมือด้วยการลงไปเปิดสวิตช์ประตูในชั้นใต้ดิน เเล้วกลับออกมาโดยไร้ซึ่งรอยขีดขวน ซึ่งวีรกรรมพวกนี้ก็ค่อย ๆ สร้างความเคารพนับถือภายในใจของมันทีละเล็กทีละน้อย ( ภาพประกอบ : ประตูลับที่จะเปิดก็ต่อเมื่อลงไปเสี่ยงยังใต้ดินอันสุดเเสนอันตราย ) ( ภาพประกอบ : มังกรผู้พิทักษ์ที่ร่างกายเน่าเปื่อยเเต่ก็ไม่สามารถตายได้สักที ) ( ภาพประกอบ : ลำตัวท่อนล่างที่ขาดลงชองมังกรเน่าเปื่อย )          เผลอเเป๊บเดียวจ้า Jeremiah ก็มายืนอยู่ต่อหน้าประตูหอคอยซึ่งมันไม่เคยมาถึง ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกระอายที่ปราศจากความกล้าในแบบ Undead นิรนามมี อันตัวมันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงกษัตริย์ย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่ไม่น้อย          ผู้กล้าทั้งสองเดินเข้าไปในหอคอยโดดเดี่ยวและได้พบสาวน้อย(ร่างใหญ่)ปริศนาคนหนึ่ง นามว่า Priscilla เธอมีหน้าซะสวยประดุจเทพีนางฟ้า ทว่าร่างกายกลับมีขนสีขาวขึ้นตามตัวเหมือนกับสัตว์...ซึ่งดูร่วม ๆ ก็งดงามสะดุดตาดี... *เรื่องต้นกำเนิดของ Priscilla มันค่อนข้างจะยืดยาวและเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ ตัวผมได้เคยอธิบายไว้แล้วในบทแรก ๆ แต่ถ้าหากจะให้สรุปง่าย ๆ นางก็คือลูกผสมข้ามสายพันธุ์ของเทพเจ้า Gwynevere และมังกรวิปลาส Seath * ( ภาพประกอบ : Priscilla สาวน้อยผู้ไร้เดียงเเละโดดเดี่ยวที่สุดในเกม Dark Souls )           Priscilla กล่าวทักทายผู้กล้าทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ในมือของนางกลับง้างเคียวเล่มยักษ์ขึ้นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ ( เพราะตอนเด็ก ๆ นางเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง ) Priscilla กล่าวว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองต้องการจะออกไปจากโลกอันหนาวเหน็บแห่งนี้ ก็เชิญกระโดดลงไปในเหวลึกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นางจะไม่ขัดขวางหรือทำอะไรทั้งสิ้น ( ภาพประกอบ : หน้าผาที่ Priscilla บอกให้กระโดดขึ้นไปเลย )          ในตอนแรก Undead นิรนามไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ Priscilla พูดเลยสักคำ เพราะนางเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ จะมาบอกให้เขากระโดดลงหน้าผาได้ยังไง? คง0tมีแต่พวกบ้าจี้ไม่ก็มือใหม่เท่านั้นแหละหลงกล... ซึ่งแตกต่างกับทางฝั่งของเจ้า Jeremiah มันคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กสาว(ตัวใหญ่)ผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คนแบบนี้ไม่มีทางโกหกใครได้หรอก          หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และหยิบยกเอาประเด็นข้อกังขาเรื่องเวทมนตร์ Pyromancy ออกมาซักถามเจ้าพ่อมดเหลือง เพราะ Pyromancy เป็นศาสตร์ที่ต้องหาเรียนจากผู้เท่านั้นซึ่งอาศัยอยู่ Great Swarm แถมเพลิงที่มันใช้ยังมีความคล้ายคลึงกับเหล่าอสูรนรกแห่ง Izalith อีกต่างหาก! Undead นิรนามจะไม่ยอมร่วมทางกับคนที่เขาไม่รู้ตัวตนที่เเท้จริงอีกเด็ดขาด... เพราะเขาอาจจะโดนหักหลังได้ทุกเมื่อ ( ภาพประกอบ : ในเเผนที่ Lost Izalith ได้มีศัตรูตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Daughter of Chaos ซึ่งใช้เวทมนต์เเบบเดียวกับ Jeremiah )          เมื่อหลักฐานเห็นตำตาเจ้า Jeremiah ก็ยอมจำนนในที่สุด มันรับสารภาพว่าตนเองเคยเป็นถึงอดีตพระสวามีของแม่มดแห่ง Izalith ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเพราะนางหมกมุ่นอยู่กับพลังของเพลิง Chaos จึงกลายเป็นบ้าในที่สุด ตัวเขากับลูก ๆ และประชาชนอีกบางส่วนได้หลบลี้หนีภัยออกมาจากนคร Izalith          อันตัวเขามิอาจยอมรับชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้ จึงไปขอพึ่งใบบุญของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ทว่าก็ถูกจับโยนเข้ามาในมิตินรกเยือกแข็งแห่งนี้แทน แต่กระนั้นในส่วนเรื่องที่มันอ้างว่าตนเองมีภูมิคุมกันต่อพลังเน่าเปื่อยนั้นเป็นจริงทุกถ้อยคำ          Jeremiah เตรียมใจเฝ้ารอให้ร่างกายของตนเองเน่าเปื่อยมานานแล้ว ทว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเสียที ซึ่งถ้าหากจะให้สันนิษฐานดูเหมือนว่าพลังเน่าเปื่อยใน Painted World of Ariamis อาจจะพ่ายแพ้ต่อความร้อนจากเพลิงเวทมนตร์ Pyromancy ของมัน (เหมือนกับ Curse of Undead ที่แพ้ต่อแสงของ The First Flame) ( ภาพประกอบ : Painted World of Ariamis ก็เหมือนกับโลกภายนอก มันสามารถถูกชุบชีวิตได้ด้วยไฟ... จะต่างกันก็เเค่ไม่คนคอยสืบทอดอำนาจเเบบ Gwyn ดังนั้นโลกใบนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ทุก ๆ ครั้งที่มันเกิด )           เมื่อกล่าวความจริงออกมาหมดสิ้นเจ้า Jeremiah ก็เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราถึงโลกภายนอก ว่าเหล่าประชาชนแห่ง Izalith นั้นมีความเป็นอยู่เช่นไร? เเล้วพระชายาของเขา(แม่มดแห่ง Izalith)นางควบคุมเพลิง Chaos ได้ดั่งใจรึยัง?           พระเอกของเราลังเลนิดหน่อยที่จะตอบคำถาม(ก็เเน่ละ...พี่เเกเล่นฆ่าลูกสาวเจ้า Jeremiah ไปถึงสองคน) ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าความจริงจนได้ ประชากรแห่งนคร Izalith ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นอสูรน่าเกลียดน่ากลัวกันไปหมดแล้ว แถมลูกสาวสองคนของเเม่มดเเห่ง Izalith ยังเป็นปีศาจร้ายจับผู้คนไปทรมานเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์อสูร ส่วนโลกภายนอกน่ะเหรอ? มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่นี่นักหรอก Hollow เดินเตร่ ๆ เต็มท้องถนน, ซากศพมากมายที่กองทับกันเป็นภูเขา, มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง Humanity… พูดง่าย ๆ ว่ากองหิมะคือสิ่งเดียวที่เเตกต่างจากตลกภายนอก ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Painted World of Ariamis / เดิมทีสถานนี้เคยถูกผู้พัฒนากำหนดให้เป็นสถานที่เริ่มต้นเกม เเต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ Northern Undead Asylum เเทน )           ความจริงเป็นสิ่งที่มิอาจจะวิ่งนี้ได้ Jeremiah เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวเขาที่เคยสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วครั้งหนึ่ง(นคร Izalith) มาบัดนี้กลับต้องเห็นภาพเดิมเกิดขึ้นซ้ำกับ Painted World of Ariamis... พอแล้ว พอกันที บุรุษผู้นี้มิอาจจะยอมรับความปวดร้าวได้อีกต่อไป ความหวังเป็นเพียงเเค่ภาพหลวงตาบนอากาศเมื่อถูกลมพัดก็อันตรธานหายไปในบัดดล          Jeremiah เริ่มสำผัสได้ว่าสติของตนเองกำลังเลือนลางเเละตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณแรกสู่ภาวะ Hollow เจ้าพ่อมดเหลืองจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยอมจบชีวิตตนเสียที่นี่ ดีกว่าจะกลายเป็น Hollow และต้องมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเหยื่อหลายคนที่มันฆ่า เพลิง Chaos ซึ่งร้อนดั่งไฟนรกถูกร่ายขึ้นมาล้อมรอบร่างกายของเจ้า Jeremiah เพื่อเผาเศษดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายในกายให้มอดไหม้ แต่ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะดับลง Jeremiah ก็ได้หันกล่าวเตือนพระเอกของเราเอาไว้เรื่องหนึ่ง “เหล่าเทพเจ้านั้นปลิ้นปล้อน จงอย่าเชื่อใจพวกมัน” ( ภาพประกอบ : ศพของราชันทองคำ Jeremiah )          คำพูดสุดท้ายของคนตายมันมักจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ...  Undead นิรนามเริ่มเอะใจกับคำพูดดังกล่าวเเละค่อย ๆ ตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่เขาเคยมองข้าม หากการต่ออายุของ The First Flame เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจริง ๆ ละก็ เหตุไฉนจึงใช้ให้มนุษย์ตัวจ้อยไปกระทำมันด้วยเล่า? ทำไมเทพเจ้าถึงไม่ทำมันซะเองละ Gwyn ก็เเสดงให้ดูเเล้วนี่ว่าทำได้? และถ้าหากว่ามาคิดดูดี ๆ ขนาดเทพเจ้า Gwyn ได้เผาตนเองตายไปแล้วหนึ่งครั้งแต่ไฟก็ยังคงดับอยู่ดี นี่ก็หมายความว่าวิธีนี่มันไม่ยั่งยืนน่ะสิ? หรือมันยังคงมีหนทางอื่นในการเอาชนะ Curse of Undead...หนทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ร่วมกับมืดได้อย่างสงบสุข ( ภาพประกอบ : ในอนาคตอันแสนไกลจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เฟ้นหาการหลุดพ้นจากวงจรเเห่ง The First Flame พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า Church of London )          Undead นิรนามนั่งขบคิดถึงคำถามมากมายที่อยู่ในหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า Priscilla กำลังย่องเข้ามาจากข้างหลัง ซึ่งถ้าหากว่านางตัดสินใจฟาดเคียวลงใส่เขาลงตอนนี้ Undead นิรนามก็คงไม่รอดชีวิต เผลอ ๆ อาจจะถูกนางดูดกินวิญญาณเสียด้วยซ้ำ… แต่ทว่ารางสังหรของเจ้า Jeremiah นั้นแม่นยำ สาวน้อยในร่างใหญ่ทำเพียงแค่เขย่าหลังของ Undead นิรนามเบา ๆ ด้วยสงสัยตามประสาเด็ก ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอได้เตือนสติเขาถึง Bonfire อันโชติช่วงของ Anastacia          พระเอกของเราจึงได้หันไปถาม Priscilla อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการกระโดดหน้าผาคือออกไปจาก Painted World of Ariamis จริง ๆ โดยนางก็ผงกหัวและส่งยิ้มตอบกลับมา(ประมาณว่ายืนยันคำพูด) เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีก Undead นิรนามก็กลั้นใจทำตามที่นางบอก เขากระโดดโถมร่างกายลงสู่ความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ ถูกลบเลือนหายไปในความมืดอย่างช้า ๆ ( ภาพประกอบ : ภาพ Cutscene ในตอนที่ออกมาจาก Painted World of Ariamis  )   สหายผู้ทรยศ          Undead นิรนามข้ามมิติกลับมายังวิหารหลังใหญ่ใน Anor Londo วิหารซึ่งเดิมทีเขากับเจ้า Tarkus เคยล่วงตกลงมาพร้อมกันแต่ก็มีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ เกร็ดหิมะที่กำลังละลายบนชุดเกราะของเขาคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่า Painted World of Ariamis นั้นไม่ใช่ความฝัน ไม่รู้ทำไมพระเอกของเรารู้สึกว่าเเสงสว่างอันอบอุ่นในเมืองหลวง Anor Londo มันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้ว… สิ่งที่ได้รับรู้มามันได้สั่นคลอนความเชื่อในทุก ๆ ที่เขาเดินไปข้างหน้า  ( ภาพประกอบ : ศพของเจ้า Tarkus ที่ตกลงมาตาย ) Undead นิรนามมองดูเหล่า Silver Knight ที่ตั้งเเถวประจันหน้าเตรียมยิงมหาคันธนู(Great Bow) เข้ามาใส่ ชุดเกราะอันส่องสว่างดุจดวงดาวใต้พระอาทิตย์ของพวกมัน ไม่ได้มอบความรู้สึกภาคภูมิเเละเกียรติยศเเก่หัวใจของ Undead นิรนามอีกต่อไป เขาเริ่มค่อย ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงเเค่คนโง่เคราที่เต็มใจยอมทำตามคำสั่งราวกับเป็นหุ่นเชิดไร้วิญญาณ ( ภาพประกอบ : Silver Knight ภายใน Anor Londo ถือเป็นศัตรูที่น่ารำคาญมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยเพราะว่ามันมักจะอยู่ในที่ ๆ เราสามารถพลาดพลังได้ง่าย )          ส่วนพวกยักษ์ Sentinel ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่หลอกด้วยคำสัญญากลวง ๆ พวกมันเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขนาดสามารถร่ายเวทมนต์ Miracle ขั้นสูงอย่าง Wrath of the Gods และ Healing อันเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้แรงศรัทธาได้ (Faith) เผลอ ๆ พวกมันอาจจะมีเเรงศรัทธามากกว่าเหล่า Silver Knight หรือนักบวชของ Way of White บางคนเสียอีก! ( ภาพประกอบ : Royal Sentinel ที่กำลังร่ายเวทมนตร์ Miracle )         
20 Jan 2021
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 14 ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ โดยในบทนี้พวกเราจะมาดูกันว่าหลังจาก Bells of Awakening ทั้งสองใบถูกลั่นระฆัง เพื่อให้ประตูของ Sens Fortress อันเป็นด่านหน้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออก… เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่บทความ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ “ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์” ( ภาพประกอบ : ปากทางสู่เมืองหลวง Anor Londo เเห่งเหล่าเทพเจ้า เเต่มันช่างดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง เสียจนเเม้เเต่เเสงสว่าง ก็มิอาจส่องเข้าไปถึงข้างในได้ ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง บทที่สิบสาม เริ่มบททดสอบ Undead นิรนามลุกพรวดตื่นขึ้นจากการสลบไสล และได้พบว่าตนเองเดินทางมาถึงยัง Firelink Shrine ตั้งเเต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ เขาจำได้เเต่เพียงความฝันประหลาดว่าตนได้สังหารเหล่าอสูรแห่ง Izalith ไปนับถ้วนอย่างโหดเหี้ยม... แต่ทันก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก จู่ ๆ ก็มีเสียงของเจ้าจอมเวทย์น้อย Griggs  และพ่อมดเพลิง Laurentius กล่าวทักทายขึ้น เหล่าคนจรทั้งสองต่างกล่าวว่าเมื่อหลายวันก่อนได้มีเสียงระฆังดังขึ้นมาจากหุบเหวลึกเบื้องล่าง พวกตนจึงสามารถอนุมานได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นพระเอกของเราอย่างแน่นอน Undead นิรนามเริ่มออกมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่า Bonfire ที่เคยสุกสว่างโชติอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับดับสนิทลงอย่างน่าประหลาดใจ เจ้า Griggs จึงได้เล่าว่าหลังจากเสียงระฆังใบที่สองเริ่มดังขึ้น บนโลกเบื้องบนก็ได้เกิดเรื่องปั่นป่วนต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นมากมาย โดยเรื่องแรกก็คือเจ้า Lautrec ที่จู่ ๆ มันก็ดันลงมือฆ่าแม่นาง Anastacia และเก็บเอาดวงจิตเเห่ง Fire Keeper ติดตัวมุ่งหน้าเข้าไปยัง Sens Fortress เหลือทิ้งเอาไว้แต่เครื่องรางปริศนาอย่าง Black Eye Orb ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่ามันใช้ทำอะไรกันเเน่ ( ภาพประกอบ : Bonfire ภายใน Firelink Shrine ที่ดับลง ) ( ภาพประกอบ : Black eyes orbs เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเควสของเจ้า Lautrec   ) เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็แทบไม่อยากจะเชื่อหู เขากล่าวโต้เถียงหัวชนฝากับสองพ่อมดอยู่นานจนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงได้หันไปพูดคุยเจ้า Crestfallen Warrior ชายผู้ซึ่งเคยปรามาสเขาไว้ในอดีตว่าไม่มีทางลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบได้อย่างเเน่นอน เจ้า Crestfallen Warrior เริ่มกล่าวโทษว่าคนที่ทำให้ผืนปฐพีลุกเป็นไฟก็คือ Undead นิรนาม (พูดด้วยความอิจฉา) การลั่นระฆังได้ทำให้มี Undead มากมายเดินผ่านที่แห่งนี้เป็นพัลวันจนวุ่นวาย และไหนจะปีศาจคอยาวซึ่งส่งกลิ่นอายความเหม็นโชยออกมาโบสถ์ร้าง จนผู้คนแทบจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ ( ภาพประกอบ : โฉมหน้า Primordial Serpent ที่ชื่อว่า Frampt ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของเทพเจ้า Gwyn คอยทำหน้าที่เป่าหู Undead ให้ทำตามคำทำนาย ) Undead นิรนามรู้สะกิดใจกับคำว่า “ปีศาจคอยาว” เขาจึงลุกขึ้นเดินไปดูให้เห็นกับตาตนเอง และก็ได้พบกับสัตว์ประหลาดรูปร่างผิดธรรมชาติ ผิวสีดำของมันดูแข็งหยาบกระด้างราวกับหนังควาย หัวและคอมีรูปร่างดูคล้ายกับค้อนปอนด์ที่สามารถโยกเยกไปมาได้อย่างผิดรูป ริมฝีปากอันไร้ซึ่งหนังปกคลุมได้เผยให้เห็นแถวฟันบนและล่างอันน่าเกลียดที่ส่งเสียงคบเคี้ยวกันไปมาอยู่ตลอดเวลา… เเต่ถึงรูปร่างจะไม่ได้ดูน่าพิสมัย เจ้าประหลาดก็แนะนำตัวเองอย่างสุภาพ มันบอกว่าตนเองคือเผ่าพันธุ์งูดึกดำบรรพ์ Primordial Serpent ซึ่งมันมีชื่อว่า Frampt ข้ารับใช้คนสนิทของเทพเจ้า Gwyn Frampt เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราว่าเขาเป็นคนที่ลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบหรือไม่ ซึ่งเมื่อพระเอกตอบว่าใช่ ท่าทีของมันก็ดูเหนื่อยหน่ายราวกับว่าได้ยินคำตอบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน Frampt ได้แนะนำให้ Undead นิรนามเดินทางต่อไปยัง Sens Fortress เพื่อเข้ารับการทดสอบขั้นต่อไป เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้… ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Sens Fortress ที่พบใน Anor Londo ) หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามตกใจอย่างมาก! เพราะถ้าหากว่า Frampt พูดจริง ก็แสดงว่าตอนนี้เขากำลังถูกคนอื่นช่วงชิงผลงานอันยากลำบากไปต่อหน้าต่อตา พระเอกของเรารีบตระเตรียมเสบียงและข้าวของจำเป็นทันทีเพื่อออกเดินทาง เเต่ก่อนจะจากไปเขาได้บอกกับเจ้า Laurentius ว่าตนได้พบแม่มดเพลิงคนหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ใน Blighttown ซึ่งนางอาจจะเป็นคนที่เจ้าพ่อมดเพลิงกำลังตามหาอยู่ก็ได้ เมื่อร่ำลากันเสร็จ Undead นิรนามก็ออกเดินทางต่อไป โดยไม่ลืมที่จะพก Black Eye Orb ติดตัวมาด้วย เพราะว่าเขาต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้เค้นเอาความจริงจากปากของสหายร่วมรบให้ได้ ว่าเหตุใดกันถึงได้ลงมือฆ่า Fire Keeper Anastacia อย่างโหดเหี้ยม ( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากผู่เล่นฆ่าเจ้า Lautrec ก่อนลั่นระฆัง Bells of Awakening เเล้วละก็ Anastacia ก็จะไม่ถูกฆ่า… เเต่ก็จะอดได้ชุดเกราะของมันตามไปด้วย ) พระเอกของเราขึ้นลิฟต์ต่อไปยังโบสถ์ร้างภายใน Undead Burg ซึ่งเป็นทางผ่านอันนำไปสู่ Sens Fortress และเเน่นอนเขาไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมเยือนเเม่นักบวชสาว Rhea เเต่ทว่าก็หานางไม่เจอเเม้เเต่เงา พบเพียงข้าวของที่ตกหล่นกระจัดกระจาย ราวกับว่ามีการต่อสู้ในโบสถ์เเห่งนี้ก็ไม่ปาน Undead นิรนามรู้สึกร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก เนื่องจากกังวลว่านางอาจจะโดนเจ้า Lautrec สังหารไปอีกคน… เขาจึงรีบเดินทางผ่านบานประตูหน้ายักษ์ที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย และได้พบกับทหารยาม Man Serpent ซึ่งมีหัวเป็นงูแต่ร่างกายเป็นมนุษย์ คอยยืนรับน้อง(ดักตี)เหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่อาจหาญเข้ามาภายใน Sens Fortress ( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่า Man Serpent เป็นลูกสะมุนโดยตรงของมังกรไร้เกร็ด Seath  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Man Serpent บางประเภทได้รับการเรียนรู้พลังสายฟ้าทั้งๆที่เป็นธาตุเเพ้ทางของเผ่าพันธุ์มังกร )   ปากทางสู่แดนสวรรค์ ในครั้งอดีต เมืองหลวง Anor Londo เคยเป็นสถานที่อันรุ่งโรจน์ และยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหล่าอัศวินชั้นสูง Silver Knight จะออกตรวจตราตามป้อมปราการหลายแห่งทั่วดินแดน Lordran เพื่อโอ้อวดแสนยานุภาพของเทพเจ้าสูงสุดอย่าง Gwyn ต่อบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือน… ทว่าในปัจจุบันก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่ารอบกองไฟ เหล่า Silver Knight ต่างพากันถอยร่นกลับเข้าไปในเมืองเหลวง Anor Londo และสร้างหุ่นไม้อัศวินขึ้นมาใช้ตบตาใครก็ตามที่คิดจะบุกยึดดินแดนเเห่งเทพเจ้า ซึ่งแน่นอนว่านานวันเข้าเล่ห์กลง่าย ๆ เเบบนี้ ก็พลอยเสื่อมถอยตามก้อนอิฐเเละปูนของป้อมปราการทั่วดินเเดน Lordran ภายในช่วงเวลาเเห่งการเสื่อมถอย เหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo จำเป็นต้องจัดสรรกำลังพลให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือการเปลี่ยน Sens Fortress ให้กลายเป็นลานกับดักมรณะ เพื่อใช้ทดสอบเหล่าแมงเมาที่หลงใหลคลั่งไคล้ต่อคำทำนายเเห่ง The First Flame ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะหรูหราของ Silver Knight ได้ถูกนำมาสวมให้กับหุ่นไม้มากมายอย่างเสียของ ซึ่งเเสดงให้เห็นกลาย ๆ ว่าจำนวนทหารมันมีน้อยกว่าชุดเกราะมาก ๆ ) นิยามทั่วไปของป้อมปราการ ก็คือสถานที่อันแข็งแกร่งและยากต่อการบุกทะลวงโจมตี แต่โครงสร้างภายใน Sens Fortress ไม่ถูกสร้างให้เป็นกำแพงชั้นหินปิดตายแต่อย่างใด ทว่ากำแพงของสถานที่แห่งนี้ กลับไม่ได้ยากเกินกว่าความพยายามของมนุษย์ที่จะปีนป่ายฝ่าเข้าไป เเละในอดีตก็เคยมีผู้คนมากมายบุกทะลวงเข้าไปใน Sens Fortress มาเเล้วหลายครั้ง ด้วยคิดว่าการลั่นระฆัง Bells of Awakening ก็เป็นเพียงพิธีกรรมปาหี่… ซึ่งเเน่นอนถ้าหากว่ามันสำเร็จจริง ป่านนี้ Undead นิรนามก็คงไม่ถ่อมาถึงที่นี้ด้วยตัวเอง เหล่าผู้ทะนงตนทั้งหลาย ต้องพบเจอกับโครงสร้างภายในป้อมปราการอันวกวนไปมา เเละต้องคอยระแวงการถูกสุ่มโจมตีอยู่ตลอดเวลาจากทั่วทุกหัวมุมทางเดิน นี่ยังไม่นับรวมไปถึงกับดักอีกมากมาย อย่างเช่นกลไกแป้นเหยียบที่จะยิงลูกดอกอาบยาพิษออกมา, ใบขวานยักษ์ขนาดมหึมาที่จะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่พยายามข้ามสะพานไปอีกฟาก, พื้นโคลนเหนี่ยวหนืดซึ่งจะจับเหล่าผู้คนที่ตกลงมาเบื้องล่าง ให้ถูกพวกอสูรเพชฌฆาต Titanite Demon บดขยี้ สรุปง่าย ๆ Sens Fortress ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อป้องกันคนบุกรุกเข้ามา เเต่ถูกสร้างเพื่อกักขังคนเอาไว้ข้างในต่างหาก! ( ภาพประกอบ : บรรยากาศภายใน  Sens Fortress ชั้นล่าง ) ( ภาพประกอบ :  ลิฟต์ที่จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อถูกคนจากชั้นบนหย่อนลงมาให้เพียงเท่านั้น  ) เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะพอเข้าใจกันแล้วว่าเหตุใดกันจึงต้องมีคำนายให้ Undead ไปลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบเสียก่อน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติหลาย ๆ ประการ ให้มั่นใจว่าผู้ถูกเลือกจะสานต่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ เเละเลือกที่จะต่อชีวิตให้กับ The First Flame ( ยอมเป็นเบี้ยบนกระดานให้เเก่เทพเจ้า ) ( ภาพประกอบ : บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ Undead นิรนามเคยเผชิญ ต่างหล่อหลอมทำให้เขากลายเป็นคนที่เเข็งเเกร่ง ) Undead นิรนามคือบุคคลที่เข้าใกล้คำว่าผู้ถูกเลือกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นกับดักพื้น ๆ ภายใน Sens Fortress จึงมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย... เเต่เเน่นอนว่าเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo (เเละผู้พัฒนาเกม) ก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้เเล้วเช่นกัน พวกเขาจึงได้มอบบททดสอบใหม่ ๆ ให้เเก่พระเอกของเราได้เรียนรู้ ราวกับต้องการจะบอกว่าอย่าทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้ว ( ภาพประกอบ : กลไกลูกหินยักษ์ที่จะกลิ้งลงมาทับเหล่า Undead ที่ดื้อด้าน ) ( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร Mimic ที่จะปลอมตัวเป็นหีบสมบัติสามารถสังหารผู้เล่นได้ง่ายๆ หากไม่ระวังตัว ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Lloyds Talisman เป็น Item สำหรับ PVP เเต่สามารถใช้กับ Mimic เพื่อทำให้มันหลับเเละขโมยของที่อยู่ในปากของมันได้ ) หลังงมหาทางขึ้นอยู่นาน ในที่สุด Undead นิรนามก็เดินทางขึ้นมาถึงยังชั้นดาดฟ้าของ Sens Fortress จนได้ เเละเขาก็ได้พบคำตอบว่าสิ่งใดกันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่เคย Undead เคยผ่านสถานที่เเห่งนี้ไปได้… ร่างกายของมันทำจากเหล็กกล้าทั่วทั้งตัว ขนาดตัวอันใหญ่โตมโหฬารราวกับยักษาช่างดูขัดเเย้งกับส่วนหัวที่เล็กผิดปกติอย่างไม่น่าเชื่อ บริเวณกลางลำตัวมีรูโหว่กลวงโบ๋สีดำทมิฬอันเกิดจากกระบวนการถ่ายเทพลังวิญญาณจากซากกระดูกของมังกรนิรันดรเข้าไปสิงสู่ในสิ่งไม่มีชีวิต... จนบังเกิดเป็นยักษ์เหล็ก Iron Golem นายทวารเเละปาการด่านสุดท้ายเเห่ง Sens Fortress ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของ Iron Golem ผู้เคยสังหารความฝันของเหล่าผู้กล้ามาเเล้วมากมาย ) เจ้า Iron Golem มิใช่สิ่งเดียวที่คอยทำหน้าที่ปกป้องดาดฟ้าเเห่งนี้ เเต่ยังมีพวกบรรดาเผ่าพันธุ์ยักษาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจทดสอบเหล่า Undead ไปชั่วนิรันดร์ เนื่องจากพวกยักษาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวหลายพันปี เเละมีนิสัยยึดถือสัจจะเป็นที่สุด พวกมันจึงทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยกล่าวไว้กับเหล่าเทพเจ้าเรื่อยมาโดยไม่ปริปากบ่น... (ช่างน่าสงสาร) อุปสรรคต่อไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือเหล่าอัศวินแห่ง Balder, และ Berenike ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพวกที่ทะนงตนจนละเลย Bells of Aweakening เเละบุกเข้าโจมตี Sens Fortress เเต่ก็ทำไม่สำเร็จ โดยบัดนี้พวกมันได้กลับกลายเป็น Hollow ไร้สติสตางค์เที่ยวออกเดินมาตามดาดฟ้า เเละเข้าจู่โจม Undead ทุกคนประหนึ่งกับว่าต้องการจะให้ล้มเหลวเหมือนกับมัน ( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวกยักษาใน Sens Fortress  ) Undead นิรนามแลเห็นแล้วว่าพื้นที่บนดาดฟ้ามันก็ไม่ต่างอะไรกับทุ่งสังหารดี ๆ นี่เอง เขาจึงถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งทิ้งเสีย เเละเปลี่ยนไปใส่ชุดเบา ๆ ที่เน้นความคล่องแคล่วในการวิ่งหลบหลีกลูกระเบิดที่พวกยักษาปามา กับเพื่อสลัดฝูงอัศวิน Hollow ที่หมายตามมาจะเอาชีวิตเขา Undead นิรนามวิ่งหนีจนขึ้นมาถึงสะพานสามเเยกแคบ ๆ โดยด้านซ้ายเป็นทางขาดซึ่งจะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยวอันดูไม่น่ามีอะไร ส่วนด้านขวาจะนำไปสู่ทางขึ้นสู่ชั้นถัดไป ทว่าโชคร้ายเพราะทางขึ้นได้ถูกสะเก็ดเพลิงจากระเบิดเผาไหม้จนไปต่อไม่ได้เเล้ว พระเอกของเราจึงตัดสินใจว่าจะวิ่งกลับทางเดิมเพื่อไปตั้งหลักใหม่เสียก่อน... แต่ก็เหมือนหนีเสื้อปะจระเข้เพราะพวกอัศวิน Hollow ที่เขาเคยละเลยไม่ยอมสังหาร ต่างวิ่งไล่ตามมาจนกลับทางเดิมไม่ได้อีกแล้ว ( ภาพประกอบ : หนึ่งในอัศวินเเห่ง Berenike ที่กลายเป็น Hollow ) เเต่ท่ามกลางช่วงเวลามืดเเปดด้าน จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงตะโกนปริศนาดังมาจากทางหอคอยโดดเดี่ยวด้านซ้าย Undead นิรนามมองเห็นนับรบคนหนึ่งกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องคิดมากพระเอกของเราตัดสินใจวิ่งตรงปรี่ไปทางหอคอยโดดเดี่ยวทันที โดยที่มีเหล่าอัศวิน Hollow มากมายไล่ตามหลังมาติด ๆ ...แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว เขาเดิมพันชีวิตทั้งหมดเพื่อกระโดดข้ามสะพานที่ดูจะไกลเกินเอื้อมเเบบหมาจนตรอก ( ภาพประกอบ : หอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้าย  ) เหมือนฟ้าดลบันดาล! ในจังหวะที่พระเอกของเรากำลังส่งแรงผ่านปลายเท้าพอดี ลูกระเบิดเพลิงก็ดันลงมาตกอยู่ข้างหลังเขาพอดิบพอดี เเละสร้างแรงผลักส่งตัวเขาลอยข้ามไปยังฝากหนึ่งได้อย่างปาฏิหาริย์ ทิ้งให้พวกอัศวิน Hollow ที่ตามมาจมหายกลายเป็นขี้เทาในกองเพลิง เจ้าของเสียงปริศนารีบลากคอ Undead นิรนามที่กำลังหน้าคลุกดินเข้ามาหลบข้างในหอคอยโดดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว เจ้าบุรุษปริศนาคนนั้นได้เเต่งกายคล้ายกับพวกนักรบจากนคร Berenike เเต่มันก็ไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามที่เเท้จริงของตน(หรืออาจจะเป็นเพราะหลงลืมไปเเล้วเนื่องจากกำลังกลายเป็น Hollow ) ( ภาพประกอบ : Crestfallen Merchant ชายผู้คงสติได้ด้วยการปอกลอกคนตาย เเละยึดติดกับความโภคภายในจิตใจ  ) ยังไม่ทันที่เเผลไฟไหม้จะหายดี เจ้าอัศวินปริศนาก็เอ่ยปากบอกกับ Undead นิรนาม ว่าถ้าหากเขากำลังจะกลายเป็น Hollow ตัวมันก็ขอให้เขาทิ้งสัมภาระและชุดเกราะทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ เพราะถ้าหากตายไปยังไงก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรอยู่ดี Undead นิรนามเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เเท้จริงของไอ้หมอนี่ทันที เขาจึงไม่ตอบคำถาม… เมื่อได้เเต่เพียงความเงียบย้อนกลับมาเจ้าอัศวินก็วีดเเตก เเละงัดคำพูดบั่นทอนจิตใจเพื่อพยายามให้พระเอกของเราหมดสิ้นศรัทธาต่อคำทำนายให้ได้เหมือนกับตน ด้วยการยกตัวอย่างเหล่าคนบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายในอดีต อย่างเช่นราชันนักรบ Rendal ผู้เลื่องลือก็ยังยอมเเพ้, จอมทัพอัศวินเหล็กทมิฬ Tarkus ก็หายตัวสาบสูญไร้ร่องรอย, มหาจอมเวทย์ชื่อดัง Big Hat Logan ก็ยังถูกจับคุมขังอยู่ในคุก… เหล่าบรรดาบุคคลในตำนานมากมาย ต่างเคยพยายามฝ่าฟันมานานนมเป็น 100 ปีแต่ก็หาได้มีใครเคยทำสำเร็จไม่! ( ภาพประกอบ : ภายในเกมกุญเเจที่ใช้ช่วย Big Hat Logan นั่น อยู่ไม่ไกลจากหอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้ายมากนัก ) Undead นิรนามรู้สึกสะดุดหูเข้ากับชื่อ Big Hat Logan เป็นอย่างมาก คุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินเจ้าพ่อมดน้อย Griggs เอยถึงผ่าน ๆ เขาจึงได้ลองสอบถามถึงสถานที่คุมขังดังกล่าว และได้ความว่า Big Hat Logan ถูกซุกซ่อนเอาไว้ใต้กำแพงหินลับ ซึ่งจะต้องประยุกต์พลิกแพลงกับดักลูกหินใน Sens Fortress เพื่อทำลายกำแพงเข้าไป หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามกล่าวขอบคุณเจ้าพ่อค้าความตาย แต่กลับได้รับเพียงเสียงสาปแช่งว่าขอให้เขาถูกถลกหนังทั้งเป็น… พระเอกของเราเริ่มออกสำรวจตามหาคุกลับภายใน Sens Fortress เเละสามารถช่วยจอมเวทย์ Big Hat Logan ออกมาได้อย่างปลอดภัย ( ภาพประกอบ : Big Hat Logan หนึ่งในจอมเวทย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ ) เจ้าจอมเวทย์กล่าวขอบคุณพระเอกของเราอย่างยกใหญ่ แล้วจึงเล่าว่าตนเองเป็นหนึ่งในพวกที่พยายามบุกเข้าไปในเมืองหลวง Anor Londo แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนเขาได้เห็นพวก Man Serpent จับกุมนักบวชหญิงนางหนึ่ง เเละส่งตัวเข้าไปในเมืองหลวงผ่านเส้นทางลับ เเละด้วยความอับจนหนทางเขาก็เลยคิดโง่ ๆ ลองยอมให้พวก Man Serpent จับกุม เพื่อหวังจะได้ตั๋วฟรี...เเต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น Undead นิรนามรู้ได้ทันทีว่านักบวชสาวที่ว่าจะต้องเป็น Rhea อย่างแน่นอน ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก เพราะว่านางอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้ Undead นิรนามแนะนำให้ Big Hat Logan กลับไปตั้งหลักใน Firelink Shrine เสียก่อน เพราะว่าเจ้าลูกศิษย์ของเขา Griggs กำลังร้อนใจตามหาอยู่ ทว่าก่อนที่จะแยกย้าย พระเอกของเราก็ได้ลองถาม Big Hat Logan ถึงคำแนะนำในการผ่าน Sens Fortress แต่เจ้าจอมเวทย์กลับส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกล่าวว่าถ้าหาก Undead นิรนามสามารถฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ ก็แสดงว่าฝีมือได้ก้าวข้ามตนเองไปแล้ว ตัวจึงมิอาจมีสิ่งใดแนะนำได้อีก...นอกเสียจากเวทมนตร์เล็กน้อย ๆ ซึ่งจะให้สั่งสอนกันตอนนี้เลยก็คงไม่เหมาะนัก ( ภาพประกอบ : Big Hat Logan เป็น NPC คนสำคัญสำหรับผู้เล่นสาย Sorcery เขาขายทั้ง White Dragon Breath, White Dragon Breath, เเละ Great Heavy Soul Arrow ) Undead รีบกลับขึ้นไปยังดาดฟ้าเเดนสังหารอีกครั้ง แต่คร่านี้เขาพกเอาความห่วงใยที่มีต่อนักบวชสาว Rhea ติดตัวมาด้วย...ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่จอมปาลูกระเบิด หรือพวกอัศวิน Hollow ก็มิอาจหยุดชายคนนี้ได้อีกต่อไป เหลือเเต่เพียงปราการด่านสุดท้ายอย่าง Iron Golem นายทวารผู้พิทักษ์แห่ง Anor Londo ( ภาพประกอบ : ท่าผ่าอากาศของ Iron Golem ที่จะใช้โจมตีในระยะไกล ) Undead นิรนามพยายามออกสำรวจพื้นรอบ ๆ Sens Fortress ทุกตารางนิ้วเผื่อว่าจะเจออะไรดี ๆ กับเขาบ้าง จนกระทั่งบังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กปะทะกัน ดังสนั่นมาจากหาหอคอยทางด้านขวาของป้อมปราการ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พระเอกของเราจึงได้ลองตามไปดูที่มาของเสียง เเละได้พบกับอัศวิน Undead สองตนกำลังเหวี่ยงดาบเข้าฟาดฟันใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตามวิสัยปกติเเล้ว พวก Hollow จะไม่หันดาบเข้าฆ่าฟันกันเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนึ่งในสองอัศวินจะต้องมีใครสักที่ยังไม่กลายเป็น Hollow... พระเอกของเราจึงทดลองเอ่ยเสียงเรียกร้องความจนใจ เเละปรากฏว่าเจ้าอัศวินคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล่องเเคล่ว กลับวิ่งตรงปรี่เข้ามาหมายจะทำลายตัวเขา อันกลายเป็นเปิดช่องโหว่ให้อัศวินอีกคน ใช้ดาบยาวแทงทะลุหน้าอกคู่กรณีจนสิ้นชีวิต เจ้าบุคคลที่เพิ่งจะตายไปครู่นี้ก็คือเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora ซึ่งกลายเป็น Hollow ไปเเล้ว ส่วนอัศวินอีกคนมีนามว่า Tarkus นักรบเหล็กทมิฬแห่งนคร Berenike... โดยบุคคลทั้งสองต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่เเพ้พ่ายต่อป้อมปราการ Sens Fortress ( ภาพประกอบด้านซ้าย : ชุดเกราะของเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora จะมีความคล้ายกับ Oscar เเห่ง Astor เป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเเผนระหว่างพัฒนาตัวเกมอย่างฉับพลัน ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ  Tarkus ) แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วก็ตาม แต่เจ้า Tarkus ก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยราวกับเป็นหุ่นไล่กา ซึ่งไม่รู้เป็นเพราะนิสัยขี้อายส่วนตัวหรือว่ามันกำลังจะกลายเป็น Hollow กันแน่... พระเอกของเราจึงลองใช้ภาษามือสื่อสารแล้วชี้ไปทางเจ้า Iron Golem ด้วยหวังให้เจ้าอัศวินคนนี้ยอมตกลงปลงใจช่วยเขาต่อสู้กับมัน ซึ้งเจ้า Tarkus ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา ทำเเต่เพียงแค่พยักหน้าเพื่อสื่อสารว่าตามนั้น ทั้งสองใช้เวลาวางแผนการอยู่นานนมเกินความจำเป็น เพราะว่าเจ้า Tarkus มันไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่ผงกหัวรับทราบอย่างเดียว Undead นิรนามจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลุยงานของจริงไปเลย ผิดพลาดตรงไหนค่อยมาคุยเเก้งานกันทีหลัง ( ภาพประกอบ : Black Iron Greatshield โล่ประจำตัวของเจ้า Tarkus ซึ่งจะเพิ่มค่าต้านทานไฟถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นโล่ป้องกันไฟที่ดีที่สุดอันดับสองของเกม  ) ธรรมดาในการต่อสู้ระหว่างคนที่มีขนาดตัวต่างกัน คนตัวใหญ่มักจะต้องก้มตัวให้ต่ำลงเพื่อให้ง่ายต่อการจับตัวหรือเเลกหมัด… เเละยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีระหว่างยักษ์กับมนุษย์ ที่สามารถวิ่งไปมาเป็นหนูน้อยซุกซนรอบ ๆ ตัวเจ้า Iron Golem Undead พยายามกดดันให้เจ้ายักษ์เปลี่ยนมาใช้ท่อนขาเพื่อกระทืบพื้น ซึ่งเป็นจังหวะที่เขากำลังเฝ้ารออยู่! ทันทีที่มันกำลังจะยกเท้าเตรียมตัวจะกระทืบพื้น Undead นิรนามก็จะรีบวิ่งไปจู่โจมใต้ข้อพับของขาอีกข้าง สร้างภาระให้เเก่หัวเข่ามันทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมันเสียหลักหกล้มลงในที่สุด ( ภาพประกอบ : จังหวะที่ Iron Golem โจมตีพลาดก็คือจังหวะสวนกลับที่ดีที่สุด ) แผนขั้นต่อมาก็คือให้เจ้า Tarkus ใช้เเรงอันมหาศาล ระดมฟาดซ้ำเติมเข้าใส่หัวเข่าซึ่งหลอมมาจากเหล็กกล้าโดยไม่หยุดไม่หย่อน เเม้ว่ามือจะบวมเป่งจนกลายเป็นลูกตำลึงสีเเดงเเล้วก็ตาม เพราะไม่งั้นเจ้า Iron Golem จะกลับมายืนตั้งหลักได้ เรียกง่าย ๆ ว่าศึกนี้แพ้ชนะตัดสินกันที่ความถึก เมื่อทารุณกรรมหัวเข่าจนสาเเก่ใจ Undead นิรนามก็ส่งสัญญาณบอกให้ Tarkus ถอยห่างออกมา เพื่อปล่อยให้เจ้า Iron Golem ใช้ขาค้ำยันลำตัวของมันขึ้นมายืนตั้งตรงอีกครั้ง... เสียงเบียดเสียดระหว่างเหล็กกล้าดังสนั่นออกมาผ่านข้อต่อที่บิดเบี้ยว ชั้นเกราะหนาที่เคยเป็นเครื่องป้องกันชั้นดีบัดนี้กลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง เข้าฉีกกระชากหัวเข่าของเจ้ายักษ์เหล็กจนไม่เหลือชิ้นดี ในที่สุดเจ้า Iron Golem ก็ล้มหัวคะมำลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง เฉกเช่นเดียวกับเหล่าอัศวินมากมายที่เคยถูกมันโยนลงจากหอคอย เป็นอันจบสิ้นตำนาน Sens Fortress ป้อมปราการที่ไม่มีใครเคยพิชิตได้มากว่าพันปี! ( ภาพประกอบ : จังหวะที่เจ้า Iron Golem ล้มลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง )   ดินแดนแห่งมายาคติ Anor Londo ในท้ายที่สุดการเดินทางอันยากลำบากบนเส้นด้ายเเห่งคำนาย The First Flame ก็เปิดออก เหล่า Bat Wing Demon จำนวนมากต่างกระพือปีกบินกรูกันเข้ามาหอบร่างของอัศวินทั้งสอง พาลอยตัวขึ้นไปจนเหนือจุดบนสุดของกำเเพงเเห่งเมืองหลวง Anor Londo... รัศมีสีเหลืองทองจนเเสบตา พุ่งทแยงเข้าสู่ดวงตาของ Undead นิรนามเเละเจ้า Tarkus โอ้อวดปราสาทราชวังที่โอ่อ่ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ช่างแตกต่างกับบ้านเมืองของมนุษย์ภายนอกกำเเพงราวกับเป็นคนละโลก ทั้งดูสะอาดตา, สวยงาม, เเละยิ่งใหญ่สมคำลำลือจริง ๆ ( ภาพประกอบ : ดินเเดนต้องห้าม เเละเมืองหลวงของเหล่าเทพเจ้า Anor Londo ) ประโยคที่กล่าวออกไปก่อนหน้านี้ คือความคิดเเวบเเรกภายในหัวของมนุษย์ธรรมดาอย่าง Undead นิรนาม… ตัวเขามิอาจจะล่วงรู้ได้เลยว่า ความตระการตาที่อยู่ตรงหน้า เป็นเพียงเเค่ภาพมายาของเทพเจ้าองค์สุดท้าย Gwyndolin บุตนชายคนท้องของเทพเเห่งพระอาทิตย์ อย่างที่ท่านผู้อ่านทราบกันดีว่าหลังจากที่ Gwyn ได้สิ้นเสียชีวิตลง อาณาจักรที่เขารักนักรักหนาก็พลันเสื่อมสูญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทำให้เผือกร้อนต้องตกไปอยู่ในมือของ Gwyndolin ผู้เต็มใจรับหน้าสานต่อคำโกหกเเห่ง The First Flame ต่อไป สายเลือดเเห่งขัดติยะคนสุดท้าย ได้ใช้พลังเวทมนตร์อันเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด เนรมิตสร้างภาพลวงตาให้เสมือนประหนึ่งว่าเมืองหลวง Anor Londo ยังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรดังเช่นวันวาน แต่ทว่าคำโป้ปด ก็ยังคงเป็นคำโป้ปดอยู่วันยังค่ำ เหล่าราษฎรภายในเมืองต่างเริ่มสะกิดใจระแคะระคายถึงความจริงข้อนี้ และต่างพากันทยอยหลบหนีไปพร้อม ๆ กับเหล่าเทพเจ้าองค์อื่น ซึ่งรับรู้ถึงวงจรอุบาทว์แห่งประถมเพลิง จัตุรัสกลางเมืองที่เคยคร่าครำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มาตอนนี้กลับเงียบสนิทลงราวกับป่าช้า จนแม้แต่ตัว Gwyndolin เอง ก็ยังคลายเวทมนตร์ภาพลวงตาออกบางส่วน เนื่องจากมันไม่เหลือประชาชนให้ต้องล้างสมองอีกแล้ว ( ภาพประกอบ : ภาพที่กำลังดูอยู่นี้ คือทัศนียภาพของฉากหลังในเเผนที่ Anor Londo ซึ่งได้จากการใช้โปรเเกรมเเฮ็กเพื่อเข้าไปดูในระยะใกล้ ) กองกำลังหลักอย่างพวก Silver Knight ต่างถูกเรียกตัวกลับเข้ามารักษาการภายในวังหลวง เคียงคู่กับเหล่าทหารยักษ์ Sentinel ซึ่งมีสติปัญญาไร้เดียงสาเกินกว่าจะล่วงรู้ ว่าตนกำลังถูกหลอกใช้ให้ปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เหล่าอสูรชั้นต่ำอย่างพวก Bat Wing Demon เเละรูปปั้นไร้ชีวิตอย่าง Gargoyle ต่างก็ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังหลักสำหรับรักษาวังหลวง อันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเมืองหลวง Anor Londo กำลังเข้าตาจนเสียแล้วจริง ๆ
04 Nov 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 13 เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ
            สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม โดยในบทนี้เราจะไปดูสองสถานที่ซึ่งตัวผมเคยกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ Blighttown เมืองแห่งเหล่าคนจร และ Ash Lake ทะเลสาบดึกดำบรรพ์  วันนี้เราจะได้รู้กันว่าเหตุใดผู้คนถึงหวาดกลัว Blighttown ยิ่งกว่าสุสานใต้ดิน Catacomb และทำไมถึงมีคนบางสวนยอมบูชามังกรนิรันดรอันเป็นศัตรูตัวฉกาจของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo          เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสาม “ เมืองเเห่งความสิ้นหวัง และเส้นทางของเหล่ามังกรที่สาบสูญ ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l lบทที่สิบสอง   เหมืองนรก          Undead นิรนามของเราได้ปีนบันไดไม้เก่าๆที่มีสภาพจะพังแหล่ไม่พังแลลงไปยังหลุมลึกใต้ดินอันมืดมิด พลังงานแห่งความตายลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วสถานแห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง แตกต่างกับ Catacomb และ Tomb of Giants อันเป็นสถานพักผ่อนของคนตาย และก็ไม่เหมือนกับ The Depth ซึ่งแม้จะดูน่าสะอิดสะเอียนมากกว่า แต่อย่างน้อยก็ยังมีวงจรชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน มีการเกิด, การสืบพันธุ์, และการตายตามธรรมชาติ          ความสิ้นหวัง คงกจะเป็นนิยามอันเหมาะสมที่สุดเเล้วสำหรับเมืองที่อัดแน่นไปด้วยจิตมุ่งร้ายเเเละความตายที่เจ็บปวดเเห่งนี้... ( ภาพประกอบ : ประตูสู่ขุมนรก Blighttown )          เมื่อเนินนานมาแล้วนับตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้ายังคงทำสงครามกับเหล่ามังกร ผู้คนได้มีการค้นพบแร่เหล็กล้ำค่า Titanite ซึ่งมีคุณสมบัติคงทนและสามารถนำมาแปลรูปได้หลากหลาย ทว่าข้อเสียก็คือแร่พวกนี้จะก่อตัวภายในดินที่เป็นพิษ ทำให้การขุดมันออกมาเป็นเรื่องอันตรายต่อสุขภาพของเหล่าคนงานเหมืองอย่างมาก          Gwyn ผู้นิยามเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันประเสริฐที่สุดในโลก สนใจเพียงแค่การขุดเอาแร่ Titanite ขึ้นมาทำเป็นอาวุธและชุดเกราะให้กับกองทัพของตน โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของเหล่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย Gwyn มอบหมายงานพวกนี้ให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยอย่างมนุษย์ไปหาวิธีอะไรก็ได้ขอแค่ให้ผลลัพธ์ออกมาที่สุดก็พอ...นั่นเป็นต้นกำเนิดของธุรกิจค้าทาสอันป่าเถื่อน ณ หุบเหวใต้ดินซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า Blighttown ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Blighttown  )          ทาส, เฉลยศึก, หรือเหล่าผู้คนซึ่งไม่มีใครต้องการ ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยน(ลักพาตัว)เพื่อนำมาใช้เป็นแรงงานขุดเหมืองนรกแห่งนี้ ใครก็ตามที่ย่างก้าวเข้ามาจะไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป นั่งร้านไม้เก่าๆอันทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาถูกสร้างให้ยึดติดเข้ากับผนังของถ้ำด้วยเทคนิควิศวกรรมประหลาด มันสามารถประคองน้ำหนักและถ่ายเทแรงเสียดสานไปยังส่วนต่างๆได้อย่างปาฏิหาริย์...ทว่าในทางกลับกันมันก็หมายความว่าสถานที่เเห่งฝันร้ายจะไม่มีวันพังทลายไปตลอดกาล          เหล่าผู้คุมถูกกำชับให้เร่งผลการผลิตแร่ Titanite จากคนงานอย่างบ้าคลั่งข้ามวันข้ามคืน จนมันค่อยๆทำให้จิตใจของพวกเขาบิดเบี้ยวเย็นชาเป็นอมนุษย์ที่ไร้ความปราณี นี่ยังไม่รวมถึงพิษจาก Titanite ซึ่งทำให้เหล่าคนงานต้องเจ็บป่วยทรมานอย่างช้าๆ ศพเเล้วศพเล่าถูกโยนทิ้งลงไปยังก้นเหวเบื้องล่างเเละก็แทนที่ด้วยคนงานชุดใหม่อย่างรวดเร็ว สินแร่ที่ขุดได้ก็จะถูกนำมาชะล้างยังบึงน้ำใกล้ๆเพื่อรอการขนส่งผ่านกังหันขนาดใหญ่กลับขึ้นไปสู่ทางออกลับ ( ภาพประกอบ : ทางผู้พัฒนาได้เเอบใส่มุขตลกเล็กๆด้วยการใส่สุนัขตัวเล็กๆ คอยเดินขับเคลื่อนกังหันขนาดใหญ่ )          หนองน้ำพิษเบื้องล่างถูกเรียกขานโดยผู้คนว่า Great Swamp มันไม่สามารถใช้ดื่มใช้กินอะไรได้เลยเนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษในดิน เรียกง่ายๆว่าสถานที่แห่งนี้คือขุมนรกอเวจีตั้งแต่ก่อนที่ Curse of Undead จะปรากฏตัวออกมาเสียอีก..           ในยามที่ Curse of Undead ปรากฏตัวออกมา ความทุกข์ทรมานของเหล่าคนงานเหมืองก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณ เพราะความตายไม่อาจจะปลดปล่อยพวกเขาได้อีกต่อไปกลายเป็นวัฏจักรของการเกิดตายวนเวียนอย่างไม่รู้จบ ข้าวสารอาหารแห้งที่เคยได้กินพอประทังชีวิตถูกริบเก็บไปจนหมดเพราะต่อให้พวกเขาขาดสารอาหารจนตาย สุดท้ายก็จะกลับชาติมาเกิดใหม่อยู่ดี  ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของเหล่าผู้คุมที่มีจิตใจป่าเถื่อนเเละบิดเบี้ยว )  ( ภาพประกอบ : ศัตรูตัวฉกาจอันน่ารำคาญ ซึ่งมันจะคอยเป่าลูกดอกอาบยาพิษโจมตีมาจากระยะไกล )          ท่ามกลางช่วงเวลาเเห่งความสิ้นหวังอันไร้จุดจบ จู่ๆวันหนึ่งก็เกิดพลังงานความร้อนปริศนาใต้พื้นโลกเเละตามมาด้วยเหล่าผู้อพยพมาจากนคร Izalith ซึ่งพวกเขาบางคนเลือกจะปักหลักอยู่ใน Great Swamp และใช้เวลาที่เหลือถ่ายทอดวิชาศาสตร์แห่งเพลิง(Pyromancy) และบอกเล่าตำนานความยิ่งใหญ่ของนคร Izalith ต่อไป ศาสตร์แห่งเพลิงได้จุดประกายความหวังให้เเก่เหล่าผู้คนที่อ่อนล้าที่การหลบหนีออกไปจาก Blighttown (ตัวอย่างเช่นเจ้า Laurentius ) ทว่าช่วงเวลาที่ดีมันมักจะอยู่ได้ไม่นานเพราะ Chaos Flame ก็ได้ตามติดเหล่าผู้อพยพออกมาจากนคร Izalith ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งนับวันร่างกายของพวกเขาก็เริ่มกลายสภาพเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ข่าวลือเรื่องนี้ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ทำให้เขารีบจัดกองทัพไปปราบนคร Izalith โดยเร็ว แต่ไม่ใช่เพื่อปกป้องเหล่าผู้คนใน Blighttown หากแต่เป็นเพราะสนใจในพลังของ Chaos Flame ต่างหาก สงครามระหว่างอดีตพันธมิตรจบลงด้วยการที่ Gwyn ถอยทัพกลับไปมือเปล่า ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมอำนาจของเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ( ภาพประกอบ : มนุษย์ที่กลายร่างอย่างช้าๆเพราะพลังของ Chaos พวกเขาจะหากินทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้เพื่อต่อลมหายใจในชีวิตอันเเสนทรมาน ) ( ภาพประกอบ : เเม้สุนัขธรรมดาๆที่ติดเชื้อ Chaos ก็ยังสามารถพ่นไฟได้  )          ต่อมาเมื่อเทพเจ้า Gwyn ได้สละชีพของตนเองเพื่อต่อยุคแห่งไฟ อุปสงค์และอุปทานที่เคยมีต่อแร่ Titanite ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เหมืองใน Blighttown ค่อยๆกลายสภาพเป็นแค่ถังขยะมนุษย์และทางผ่านที่ใกล้สุดซึ่งจะนำไปสู่นคร Izalith ที่สาบสูญ ผู้คนไม่น้อยเลือกที่สันจรผ่านเส้นทางลัดอันแสนอันตรายเเห่งนี้เพื่อเหตุผลต่างๆของตนเอง โดยมีตั้งแต่นักสำรวจอับโชคไปจนถึงนักรบเงาจากดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออก          Blighttown ในตอนนั้นถูกมองว่าเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากวันดีคืนดีก็มีสัตว์ประหลาดปีนป่ายกลับขึ้นมาจากหลุมลึกเน่าๆ ขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนให้เเก่เหล่าผู้คนบนผิวโลกจึงนำไปสู่การสร้างประตูกั้นใน The Depth นั่นเอง ( ภาพประกอบ : ชุด Shadow Set เเละ Wanderer Set ที่สามารถพบได้ใน  Blighttown )          ด้วยเหตุผลข้างต้น Blighttown จึงถูกทิ้งให้เน่าตาย ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เหลือตัวเลือกเพียงสองทาง คือหนึ่ง!ยอมทนทุกข์ทรมานในร่างอัปลักษณ์ต่อไปเรื่อยๆเเละเกิดตายวนเวียนจนกว่าจะHollow  สอง!ก็คือยอมรับพลังของ Chaos ไปตรงๆเเละเข้าร่วมลัทธิบูชาอสูรแห่ง Izalith…      โลกดึกดำบรรพ์ใต้พิภพ          Undead นิรนามเราเดินทางผ่านสถานที่อันบิดเบี้ยวอย่าง Blighttown มาได้อย่างไม่ยากเย็นเเละเข้าสู่เขตแดนของบึงพิษ Great Swamp กลิ่นสารเคมีที่เหม็นจนแสบจมูกลอยออกมาจากผืนดินซึ่งเป็นพิษอันตรายจนสามารถคร่าชีวิตของมนุษย์ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีฝูงยุงดูดเลือดน่ารำคาญเเละอสูรเเมลงประหลาดที่สามารถร่ายเพลิง Chaos Flame ออกมาใช้โจมตีได้ ( ภาพประกอบ : Cragspider อสูรชั้นต่ำที่เกิดจากไข่ )          ทว่าภัยอันตรายทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นมันก็ยังเป็นเพียงแค่ออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อย...ถ้าหากท่านผู้ชมยังจำกันได้ผมเคยกล่าวว่ามีผู้คนบางส่วนพยายามเรียนรู้ศาสตร์แห่งไฟ Pyromancy เพื่อหนีออกไปจาก Blighttown ซึ่งมันก็คงจะฟังดูเป็นเทพนิยายเกินไปหน่อยหากจะบอกว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ศาสตร์แห่งเพลิงได้สำเร็จ          แน่นอนว่าชะตากรรมของผู้ที่ล้มเหลวก็จำต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่ตายเพราะโรคร้ายก็ต้องตายเพราะถูกดูดเลือดจนหมดตัว เเต่ทว่าก็ยังมีบางคนที่ร่างกายสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายได้ เเละหันมาดื่มกินเลือดเนื้อเเบบสัตว์ใน Great Swamp เพื่อความอยู่รอด ( ภาพประกอบ : ปลิงเเละยุงยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นในบึงพิษ ) ( ภาพประกอบ : สภาพเเวดล้อมเบื้องล่างเเทบจะไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก )          แต่ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นสาปของความตายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบึงพิษ Great Swamp เป็นสถานที่ซึ่งธรรมชาติไม่ได้ถูกลบกวนมากที่สุดเเห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบ้านของสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณที่แตกหน่อต่อผลขึ้นมาจากใต้พื้นดิน... นามของเจ้าสิ่งนั้นก็คือคือต้นไม้บรรพกาล Archtree ชื่อซึ่งถูกลบด้วยกองขี้เถ้าจากสงครามในอดีต            คนส่วนมากที่ได้เห็นต้น Archtree ภายใน Great Swamp มักจะทึกทักเอาเองว่านี่เป็นโคนของต้นไม้ ทว่าหารู้ไม่นี่ยังเป็นแค่เพียงปลายยอดเล็กๆที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือพื้นดิน ( ภาพประกอบ : ส่วนปลายยอดเล็กๆของต้นไม้ Arctree )          ย้อนกลับไปในอดีตต้น Archtree เคยแตกหน่อชอนไชไปทั่วดินแดน Lordran ขนาดที่แท้จริงของมันไม่มีใครสามารถประมาณการเป็นตัวเลขได้...ชนิดที่ว่าให้อธิบายเป็นคำพูดยังง่ายซะกว่า  จุดยอดสูงสุดของต้น Archtree พุ่งขึ้นไปจนแตะกับผิวของก้อนเมฆบนฟากฟ้า ลำต้นอันใหญ่มหึมาได้กลายเป็นบ้านให้เเก่สิ่งมีชีวิตมากมายหลายสายพันธ์ุ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมังกรนิรันดรชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก...พวกมันเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะท่ามกลางยุคสมัยแห่งหมอกควันตลอดหลายพันหรืออาจจะหลายล้านปี          ทว่าภาพลวงตาที่ดูเหมือนจะเป็นอนันต์ก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบเมื่อ The First Flame ปรากฏตัวขึ้น เหล่าพันธมิตรแห่งเทพเจ้ายุคใหม่นำโดย Gwyn, Nito, แม่มดแห่ง Izalith ได้รวมหัวกันล้างบางเหล่ามังกรมังกรนิรันดรและทำการเผาทำลายต้น Archtree จนกลายเป็นเถ้าถ่าน จะเหลือเอาไว้ก็แต่ ณ ทะเลสาบลับแลซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดินหลายกิโลเมตร ( ภาพประกอบ : ภาพของ Ash Lake ซึ่งกว้างใหญ่ราวกับว่าเป็นโลกอีกใบ )          Ash lake หรือทะเลสาบแห่งเฒ่าธุลี เป็นสถานที่มายาซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ Great Swamp ทัศนียภาพของมันเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีเทาลอยปกคลุ้มไปทั่วเหนือผืนน้ำ...ไม่มีใครรู้ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความลึกแท้จริงอยู่ที่เท่าไร แต่เมื่อดูจากต้นไม้ Archtree ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาเหนือผืนน้ำ เราก็พอจะประมาณการได้ว่าความลึกของก้นทะเลสาบคงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองร้อยเมตรเเน่ๆ อีกทั้งทะเลสาบแห่งนี้ยังได้รับแสงสว่างจากทะเลหมอกด้านบนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็นต้องง้อเเสงพระอาทิตย์ของเทพบนโลกเบื้องบนเลยเเม้เเต่น้อย ( ภาพประกอบ : Ash Lake ทะเลสาบที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมตลอดหลายหมื่นปี ) ทว่าการที่ Ash Lake อยู่ห่างจากน้ำมืออันสกปรกของเหล่ามนุษย์ มันก็ย่อมทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นบ้านสงบอันสงบร่มเย็นของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ตัวอย่างเช่นเชื้อรากลายพันธุ์ซึ่งวิวัฒนาการตนเองจนมีแขนขาเหมือนกับมนุษย์ ( ภาพประกอบ : Mushroom People มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากๆ จนสามารถใช้หมัดเปล่าๆต่อยทะลุเหล็กกล้าได้ง่ายๆ )          สัตว์อีกชนิดซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ มีร่างกายที่น่ากลัวราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย...นั่นก็คือหอยปีศาจ Man-Eater Shell โดยหากดูจากภายนอกมันจะมีรูปร่างคล้ายกับหอยยักษ์ทั่วๆไป แต่แน่นอนละเมื่อมันได้ชื่อว่าหอยปีศาจมีหรือจะเป็นแค่หอยธรรมดา เราลองมาจินตนาการภาพกันดูเล่นๆถ้าวันหนึ่งคุณกำลังเดินอยู่บนชายหาดในยามค่ำคืน...แล้วจู่ๆก็มีหอยยักษ์ห้าขาวิ่งไล่ล่าจะเขมือบคุณ... ใช่ครับเจ้าสัตว์ตัวนี้มันไม่นั่งรอให้อาหารเข้ามาใกล้ๆแต่จะลุกขึ้นจากกองทรายเเละวิ่งไล่ล่าคุณ ( ภาพประกอบ : หอยจอมเขมือบ Man-Eater Shel )          แต่ถึงกระนั้นเจ้าหอยกินคนที่แสนอันตรายตัวนี้ ก็มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ทำให้มันถูกล่าโดยเหล่าพ่อค้ามากมาย ซึ่งก็คือแร่ที่มีชื่อว่า Twinkling Titanite อันเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างแร่ธาตุ Titanite ตามพื้นดินเเละน้ำเข้ากับสารเคมีเฉพาะภายในปาก สกัดออกมาเป็นแร่บริสุทธิ์ล่ำค่าซึ่งสามารถใช้เพิ่มพลังให้แก่อาวุธวิเศษที่ Titanite ธรรมดาไม่อาจทำได้ ( ภาพประกอบ : Twinkling Titanite เเร่ที่มีไว้สำหรับอัพเกรดอาวุธบางประเภทโดยเฉพาะ )          สัตว์ตัวต่อไปเป็นสัตว์ที่หาได้ยากยิ่งแต่ Undead นิรนามของเรากลับเคยเผชิญหน้ากับมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เเละยังเป็นลูกหลานของเหล่าผู้พ่ายแพ้สงครามแห่งอดีตกาล นามของมันก็คือมังกรน้ำ 7 หัว Hydra          บรรพบุรุษของ Hydra เลือกจะละทิ้งท้องฟ้าซึ่งถูกช่วงชิงไปโดยเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo และลงไปอาศัยอยู่ในน้ำอย่างหลบๆซ่อนๆ… Hydra ตัวก่อนหน้านี้ที่พระเอกของเราได้สังหารไปมันมีความเชื่องช้าเนื่องมาจากอยู่ในสถานอันคับแคบ แต่ทว่าสำหรับตัวที่อยู่ใน Ash Lake อันเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เจ้ามังกรน้ำตัวนี้จะใช้อวัยวะพิเศษพ่นแรงดันน้ำมหาศาลจากใต้ท้องเพื่อพุ่งทะยานไปบนอากาศ ตามไล่ล่าเหยื่อของมันจากระยะไกล ( ภาพประกอบ : สารภาพเลยว่าตอนที่ผมได้เห็นเจ้า Hydra บินเป็นครั้งเเรก ตัวผมถึงกับสบถคําหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว ) ( ภาพประกอบ : กะโหลกยักษ์ประหลาดใน Ash Lake… ซึ่งยังคงมีการถกเถี่ยงกันอยู่ว่ามันเป็นเพียงเเค่ Easter Egg หรือไม่ เเต่ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเเค่ของประดับฉากเพื่อเเสดงให้เห็นว่าโลกยุคดึกดำบรรพ์เคยมีไอ้ของเเบบนี้อยู่มากมาย )          วิถีแห่งการหลุดพ้น          ในครั้งแรกที่โลกได้เผชิญหน้ากับคำสาปร้าย Curse of Undead เหล่าผู้คนที่หวาดหวั่นต่างพากันหันหน้าไปพึ่งศาสนา Way of White และสวดอ้อนวอนขอให้ยุคแห่งไฟยังคงยืนหยัดต่อไป...จะมีแต่ก็แค่กลุ่มคนเพียงหยิบมือซึ่งล่วงรู้ความจริงของชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาไม่ต้องการจะมีสภาพกลายเป็น Hollow แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะยึดถือวิธีอันหลอกลวงของ Gwyn ได้ เพราะมันเป็นแค่การประวิงเวลาของจุดจบออกไปเพียงชั่วคราว          แล้วตอนนี้ยังเหลือตัวเลือกอะไรอีก? นั่นเป็นคำถามที่ผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้ลองย้อนมองกลับไปสู่อดีต...สู่โลกที่ปราศจากทั้ง The First Flame และความมืด ถูกต้อง! สิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล พวกมันทั้งทรงสติปัญญาและมีพละกำลังมหาศาลจนแม้แต่พระเจ้าของโลกยุคใหม่ยังต้องผนึกกำลังกันเพื่อปรามมัน...นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตมายามังกรนิรันดร ( ภาพประกอบ : Concept Art ของ Everlasting Dragon หรือมังกรนิรันดร )          โชคชะตาได้นำเหล่าผู้คนที่สิ้นหวังต่อเทพเจ้าไปพบเข้ากับมังกรนิรันดรตัวหนึ่งที่กำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ใน Ash Lake อย่างสงบ พวกเขาพบว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่มีท่าทางดุร้ายเลยแม้แต่น้อยซึ่งแตกต่างจากเรื่องเล่าในนิทานของเทพเจ้าอย่างสิ้นเชิง          เจ้ามังกรสื่อสารกับพวกเขาด้วยพลังจิตและชี้ให้เห็นสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยงในกายหยาบ มันบอกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนถูกรั้งเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าโลก ความตายก็เป็นเพียงแค่บันไดขั้นหนึ่งของวัฏจักรที่เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความทุกข์ทรมานอันไร้จุดสิ้นสุด  ดังนั้นการทำให้จิตวิญญาณ(Soul)ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนดังกล่าว จึงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของความเชื่อนี้ โดยภายหลังจะถูกเรียกขานกันว่า Path of the Dragon หรือหนทางแห่งมังกร          **ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริง Path of the Dragon ค่อนข้างที่จะคล้ายกับความเชื่อเรื่องนิพพานในศาสนาพุทธ** ( ภาพประกอบ : มังกรนิรันดรสายพันธุ์เเท้ทุกตัวไม่ได้มีความเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างที่คิด พวกมันทรงสติปัญญาเเละมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง )          มังกรนิรันดรถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ พวกมันกำเนิดมาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพา The First Flame และมีพลังวิเศษซึ่งไม่ใช่ทั้งเวทมนต์ Sorcery หรือพลังปาฏิหาริย์ Miracle  พวกมันใช้พลัง;bเศษดังกล่าวเปลี่ยนให้ก่อนหินธรรมดาๆกลายเป็นเครื่องราง Dragon Head Stone และ Dragon Torso Stone  อันสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นกลายร่างเป็นกึ่งมังกร เพื่อช่วยให้เหล่าสาวกเข้าถึงสัจธรรมแห่งการหลุดพ้นได้มากขึ้น ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Dragon Torso Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเต็มตัว ผู้เล่นจะได้พลังวิเศษเพิ่มพลังโจมตีเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะทั้งตัว ) ( ภาพประกอบด้านขวา :  Dragon Head Stone เเปลงร่างเป็นมังกรเเค่หัว ผู้เล่นจะได้พลังพ่นไฟเเต่เเลกกับการปลดชุดเกราะส่วนหัว  )          อย่างไรก็ตามหนทางสู่การหลุดพ้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะขนาดเจ้ามังกรยังต้องใช้เวลาพำเพ็ญเพียรนับพันปีและต้องผ่านความรู้สึกสูญเสียจากสงครามนับไม่ถ้วน จึงได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต... ดังนั้นเหล่าสาวกแห่ง Path of the Dragon ก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์เเบบนี้เช่นเดียวกัน          พวกเขาแต่ละคนจะได้รับเครื่องราง Dragon Eye ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับเฟ้นหาผู้คนที่ต้องการเรียนรู้คุณค่าของชีวิตผ่านการต่อสู้ เหล่าบุรุษแปลกหน้าจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยปราศจากขุ่นเคือง, ความโกรธแค้น, และความลังเล เพื่อที่จะเข้าใกล้ความซาบซึ้งในการมีชีวิต          คนที่ชนะก็จะได้รับ Dragon Scale หรือเกล็ดมังกรเป็นรางวัล อันเป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งพวกเขาครอบครองมันมากเท่าไร จิตวิญญาณก็จะยิ่งเข้าใกล้การหลุดพ้นมากขึ้นเท่านั้น ( ภาพประกอบ : Dragon Scale ของสำหรับใช้อัพเกรดอาวุธบางประเภท เเละใช้เลื่อนขั้นใน Path of the Dragon )          ในสมัยที่เหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ยังคงเรืองอำนาจ Path of the Dragon ถือเป็นความเชื่อนอกรีต(โดยเฉพาะกับ Gwyn) เหล่าบรรดาสาวกต้องเหยียบความลับเรื่อง Ash Lake เอาไว้ให้สนิท ด้วยการร่ายมนต์สร้างกำแพงภาพลวงตาขึ้นมาปิดกั้นเส้นทางเข้าออกเอาไว้          ทว่าปัจจุบันหลังเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ได้สูญเสียอำนาจปกครองไปหมดแล้ว เหล่าความเชื่อนอกรีตทั้งหลายเริ่มก้าวเท้าออกมายังแสงสว่าง Path of the Dragon ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน เหล่าสาวกค่อยๆกระจายข่าวลือเรื่องวิถีแห่งการหลุดพ้น และใช้เส้นทางที่ยากลำบากเป็นบททดสอบความมุ่งหมันก่อนเข้าสู่ลัทธิ          อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Path of Dragon สามารถยั้งรากลึกเข้าไปในใจของผู้คน(โดยเฉพาะกับอัศวิน) ก็คือสาวกคนสำคัญที่เป็นถึงอดีตเทพเจ้าแห่งสงคราม Nameless King พระองค์ได้อุปถัมภ์ความเชื่อนี้และเผยแพร่มันให้เเก่เหล่านักรบซึ่งยังคงศรัทธาในตนเอง ด้วยหวังเพียงการไถ่บาปในอดีตที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรตามคำสั่งของผู้เป็นพ่ออย่าง Gwyn ( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าเจ้ามังกรตัวนี้คือกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดของ Nameless King ไปตลอดกาล )    ( ภาพประกอบ : Great Magic Barrier หนึ่งในเวทมนต์ของ Way of White ที่พบใน Ash Lake ซึ่งเเสดงให้เห็นว่าสาวกของ Path of the Dragon มีเเม้กระทั่งคนใกล้ชิดของเทพเจ้า )          แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่วๆไป คำว่าหลุดพ้นมันก็ดูจะยากเเละเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ผู้คนส่วนมากยังคงยึดติดอยู่กับคำหลอกลวงที่เรียกว่า  The First Flame     นางพญาแมงมุม          กลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันที่พระเอกเรากำลังเดินลุยบึงพิษ Great Swamp ด้วยความยากลำบาก เขาได้บังเอิญไปพบกับแม่มดไฟคนหนึ่งนามว่า Quelana โดยนางอ้างว่าตนเองเป็นถึงลูกแท้ๆของแม่มดแห่ง Izalith ซึ่งหนีออกมาพร้อมๆกับเหล่าผู้อพยพคนอื่นๆ นอกจากนี้นางยังได้ขอร้องให้ Undead นิรนามปลดปล่อยครอบครัวของนางที่ถูกพลังของ Chaos Flame กลืนกิน(บอกให้ไปฆ่านั่นแหละ) ( ภาพประกอบ : Quelana ใน Great Swamp เเละใบหน้าจริงๆของนางภายใต้ผ้าคลุม  )          ที่ผ่านมา Undead นิรนามก็เคยเจอผู้คนมาเเล้วมากมายทั้งดีทั้งชั่ว แต่ยังไม่เคยพบใครร่ำร้องขอให้ไปฆ่าคนในครอบครัวแบบ Quelana มาก่อน นางไปยกมือขึ้นชี้ไปยังสถานซึ่งดูเหมือนกับรังแมงมุมขนาดใหญ่ และบอกว่าพี่ๆของเธออาศัยอยู่ในนั้น          Undead นิรนามของเราออกปากรับไปแบบงงๆ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างดลใจ...ก่อนที่สมองจะทันคิดถึงความน่าสงสัยในตัวของ Quelana ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ล่อลวง Undead Rapport เป็นเวทมนต์ชั้นสูงของ Quelana...ลือกันว่านางใช้มนต์ดังกล่าวเพื่อล่อลวง Undead ที่ผ่านทางมาให้ทำตามในสิ่งที่นางต้องการ ) ( ภาพประกอบ : Quelaag Domain หรืออาณาจักรของ Quelaag ในอดีตมันเคยเป็นป้อมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเหล่าอสูร เเต่ปัจจุบันกลับถูกควบคุมด้วยอสูรเสียเอง )          พระเอกของเราออกเดินลุยบึงพิษอีกครั้งหนึ่งและจัดการพวกอมนุษย์ซึ่งเป็นยามเฝ้าปากทางเข้าจนหมด แต่ทว่าฉับพลันก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปอยู่ๆก็มีมือปริศนามาล็อคคอเอาไว้แน่น เขาพยายามเอี้ยวตัวไปข้างหน้าจากนั้นก็ใช้บันท้ายดันเจ้าสิ่งขึ้นไปบนแผ่นหลังแล้วทุ่มมันกลับลงมาอย่างรุนแรง เจ้าสิ่งนั้นพยายามตะเกียดตะกายคลานหนีแต่ก็ถูก Undead นิรนามเหยียบที่ฝ่ามือจนมันต้องร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด          Undead นิรนามเงื้อดาบขึ้นเตรียมจะตัดคอของเจ้าสิ่งนั้นแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนเพราะได้ยินเสียงมันร้องขอชีวิต  พระเอกของเราเพ่งพิจารณารูปร่างที่คล้ายกับผู้หญิงตัวอ้วนของมันเเละลองถามชื่อเสียงเรียงนามดูเพื่อทดสอบว่าเป็น Hollow หรือไม่ ซึ่งมันก็ตอบได้อย่างทันควันว่าตนชื่อจอมกินเนื้อมนุษย์ Mildred ( ภาพประกอบ : ภายในเกมหากผู้เล่นสามารถเอาชนะ Mildred ได้เธอก็จะกลายเป็น Phantom คอยช่วยเราปราบบอสของ Blighttown )          พระเอกของเราขมวดคิ้วและกำลังจะใช้ดาบแทง Mildred อีกครั้งเพราะคิดว่านางเป็นแค่พวกเสียสติกินคนเเบบเดียวกับใน Undead Burg แต่เจ้า Mildred กลับร้องห่มร้องไห้เสียงดังและกล่าวว่าจะยอมช่วย Undead นิรนามกำจัดเจ้าอสูรที่อยู่ในรังแมงมุม เนื่องจากพวกนั้นก็แย่งอาหาร(มนุษย์)ของนางไปเช่นกัน          หลังจากได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกลังเลเพราะถ้าหากไม่นับเรื่องกินคน Mildred ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ นางมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและยังสามารถสื่อสารได้ในรูปแบบที่เป็นมิตรซึ่งถือว่ายังหากไกลกับคำว่า Hollow อยู่หลายขุม
01 Sep 2020
[บทความ] 5 เกมที่เมื่อคุณเล่นแล้ว อาจจะเสียน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
ความเศร้าถือว่าเป็นหนึ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่คู่กับวงการสื่อบันเทิงมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นวงการเพลง ภาพยนตร์หรือการ์ตูน รวมถึงหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้อย่างวงการเกม ที่ความเศร้าในบางเกมนั้นเป็นจุดสำคัญที่ใช้ชะตาเนื้อเรื่องของเกมเลยก็เป็นได้ หรือในบางเกมความเศร้ากับสร้างความประทับใจให้กับเกมเมอร์ จนบางเกมกลายเป็นเกมในดวงใจของใครหลาย ๆ คน เพื่อให้เกมเมอร์ทุกคนได้สัมผัสกับความรู้สึกดังกล่าววันนี้ทาง GameFever TH จะขอนำเสนอ 5 เกมที่เมื่อคุณเล่นแล้ว อาจจะเสียน้ำตาโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ปล. บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของเกมบางส่วน 1.The Walking Dead Season 1 The Walking Dead ถือเกมแนว Interactive ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เราได้รับบทเป็น Lee ที่ต้องช่วยเหลือหนูน้อย Clementine ในการผจญภัยในโลกที่แสนโหดร้ายในเกม แม้ว่าระบบการเล่นของเกมจะไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก แต่เนื้อเรื่องของเกมเรียกได้ว่าดีมาก ๆ เราจะเห็นถึงสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการเอาชีวิตรอด พร้อมทั้งการใส่เหตุการณ์ไม่คาดฝันให้เราได้พบเจอบ่อย ๆ จุดที่ทำให้หลาย ๆ คนน้ำตาไหลคือบทสุดท้ายก่อนที่จะจบเกม ที่ทางทีมพัฒนาได้วางบทของเกมออกมาอย่างชาญฉลาดและซึ้งใจผู้เล่น ทำให้ตัวเกมได้รับความนิยมจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมหาศาล 2.Metal Gear Solid 3: Snake Eater พูดถึงผลงานระดับ Masterpiece ของอัจฉริยะแห่งวงการเกม Hideo Kojima หนึ่งในเกมที่หลาย ๆ คนยกย่องให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดคือ Metal Gear Solid 3: Snake Eater เกมแนว Action/Stealth ที่ให้เรารับบทเป็น Snake สายลับจากทางฝั่งอเมริกา ที่ต้องหยุดความบาดหมางของสหภาพโซเวียตและอเมริกาก่อนที่สงครามนิวเคลียร์จะเกิด แม้ว่าตัวเกมจะถูกทำออกมาเป็นเส้นตรง แต่ก็มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เล่นได้ทำอย่างหลากหลาย รวมถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างดีและสร้างสรรค์ โดยเฉพาะฉากการปะทะบอสในแต่ละครั้งที่ทำออกมาได้ล้ำสุด ๆ หากคุณคิดว่าเกมการเล่นของเกมนี้ยอดเยี่ยมแล้ว ฉากจบของเกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า คุณจะรู้ถึงสาเหตุต่าง ๆ อย่างรอบด้าน รวมถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าหากเล่นจบแล้วน้ำตาคนจะไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว 3.ซีรีส์ Dark Souls Dark Soul ชื่อนี้หลายคนน่าจะคุ้นหูกันมาบ้างแล้วกับระบบการเล่นสุดแสนจะ Hardcore ที่อุปสรรคในเกมจะยากระดับปาจอยทิ้ง ไม่เว้นแม้แต่ศัตรูธรรมดาก็มีลูกเล่นหากเราไม่ระวังตัว ทำให้หากใครเล่นเกมนี้จนจบถือว่ามีฝีมือและมีความพยายามพอสมควร เพราะความยากของเกมนี้ ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ คนต้องน้ำตาร่วงกันหลายคนไม่ว่าจะเกิดจากความท้อแท้ที่สู้กับบอสไม่ชนะเสียที หรือน้ำตาแห่งความสุขที่ในตอนนี้เราสามารถที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้แล้ว ซึ่งเราไม่มีทางได้รู้นอกจากต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง 4. The Last of Us หนึ่งในเกม Masterpiece จากทางฝั่ง Sony และทีมงาน Naughty Dog กับเรื่องราวของสองคู่ต่างวัยอย่าง Joel และ Ellie ที่ต้องฟันฝ่าโลกที่แสนโหดร้าย เต็มไปด้วยเหล่าผู้ติดเชื้อและแก๊งโจรต่าง ๆ ภายใต้ระบบเกมการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ในมุมมองบุคคลที่ 3 The Last of Us นำเสนอจุดเด่นด้วยระบบการเล่นที่ถึงใจและเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม ทำให้เมื่อคุณเล่นเกมนี้จนจบแล้วคุณอาจจะอยากที่จะบินเครื่อง PlayStation 4 ลง แล้วนั่งนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกม ที่จะทำให้คุณประทับใจไปอีกยาวนาน 5.Final Fantasy X พูดถึงเกม Final Fantasy แล้ว หนึ่งในภาคที่ใครหลายชอบคือภาคที่ 10 ที่ได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกราฟิกในเกม ที่ในตอนนั้นถือว่าเป็นเกมที่ภาพสวยมาก เมื่อรวมกับความเป็น RPG สไตล์ Final Fantasy ทำให้ภาคนี้กลายเป็นหนึ่งในภาคที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าระบบในตัวเกมคือเนื้อเรื่องของเกม ที่ในภาคนี้เน้นความเป็นดราม่ามากกว่าภาคอื่น  ๆ ทำให้เรามักจะต้องเจอเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าปวดใจ โดยเฉพาะเรื่องราวความรักระหว่าง Tidus และ Yuna ทีซึ่งกินใจมาก ๆ ความเศร้าถือว่าเป็นรสชาติหนึ่งของชีวิต ที่เราอาจจะพบเจอได้ได้เสมอ ๆ ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะเอาชนะความเศร้าที่เกิดขึ้นในชีวิตให้ได้ แม้จะยากแค่ไหนก็ตาม  
17 Aug 2020
รวมเกมสุดคุ้มน่าเปย์ในช่วง Steam Sale 2020
Steam Sale ถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมประจำปีของทาง Valve ที่จะลดราคาเกมต่าง ๆ ตั้งแต่ 5% ไปจนถึง 80% ทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ หมดเนื้อหมดตัวเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นเกมเก่าหรือเกมใหม่ต่างก็ลดราคากันอย่างเต็มที่ หากคุณไม่รู้ว่าจะซื้อเกมไหนดี วันนี้พวกเรา Gamefever TH มีเกมมาแนะนำ The Witcher 3: Wild Hunt - Game of the Year Edition - 389.70 หนึ่งในควรจะมาเล่นเป็นที่สุดกับ The Witcher 3: Wild Hunt เกมดีที่แม้ว่าจะออกมานานแล้วก็ยังคุ้มค่า โดยเกมนี้เป็นเกม Open World สุดกว้างใหญ่พร้อมกับเนื้อเรื่องในเกมที่แสนเข้มข้น หนักแน่น ยิ่งตัวเกมเวอร์ชัน PC มี Mod ภาษาไทยในเกม ทำให้การเล่นเกมนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว Dying Light Enhanced Edition - 284.70 หากคุณชอบเกมแนวซอมบี้ในรูปแบบมุมมอง FPS คงไม่มีเกมไหนจะดีไปกว่าเกมนี้แล้ว ด้วยการที่เป็นการผสมกันระหว่างการ Free Running ผสมกับแอคชั่นในการต่อสู้กับซอมบี้ทำให้เกมนี้เร้าใจมาก ๆ ยิ่งในเกมมีภาษาไทย ความอินจะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ Greed Fall - 594.00 Greed Fall คือว่าเป็นหนึ่งในเกมม้ามืดประจำปี 2019 ที่ดีจุดเด่นในเรื่องของเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ระบบการเล่นที่สนุก ท้าทาย พร้อมกับโลกที่น่าค้นหา นอกจากนี้กราฟิกในเกมยังทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้เกมนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณควรหามาลองเล่นในช่วง Steam Sale Assassin Creed : Odyssey -528 หากคุณกำลังต้องการหนึ่งในเกมที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ผู้เขียนก็ขอแนะนำ Assassins Creed : Odyssey เกมแนว Action/ Adventurer / RPG พร้อมกับโลกอันแสนกว้างใหญ่ที่ใช้เวลาเป็น 100 ชั่วโมงกว่าจะสำรวจครบหมด ยังไม่นับ DLC ที่เล่นได้อีกยาวหากว่าคุณซื้อตัวเกมในรูปแบบ Gold Edition ขึ้นไป Dark Soul 3 -375 สุดยอดเกมที่หลาย ๆ คนยกให้เป็น Masterpieces ในด้านของการนำเสนอจนหลาย ๆ เกมไม่อาจจะเลียนแบบได้กับ Dark Soul 3 ที่ได้ดึงเอาสุดยอดของความเป็น Dark Soul มารวมเข้าด้วยกัน ทั้งความยากระดับหฤโหด ศัตรูสุดแกร่งและการต่อสู้ที่มีเดิมพันสูง ดังนั้นหากคุณเกิดมาเป็นเกมเมอร์ เกมนี้ต้องเล่น Doom Eternal - 985 หนึ่งในเกมที่สร้างตำนานขึ้นในวงการเกมและในตอนนี้ตำนานได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม Doom Eternal คือเกมแนว FPS แบบ Old School เน้นความมันส์เข้าว่า ไม่มีการรีโหลด ยิงกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายกันหมด แถมภาคนี้ได้พัฒนาระบบต่าง ๆ ให้ดีกว่าภาคที่ผ่านมา หากคุณอยากหาเกมมัน ๆ เกมนี้แนะนำเลย Devil May Cry 5 -399  เมื่อถึง Steam Sale ทีไรผู้เขียนก็ขอแนะนำเกมนี้เสมอกับเกม Devil May Cry 5 เกมแนว Action สุดมันที่ให้คุณได้ต่อสู้กับเหล่าปีศาจพร้อมกับคิดค้นคอมโบสุดสร้างสรรค์ พร้อมกับสาวหนุ่มหล่ออย่าง Dante , Nero และ V ภายใต้กราฟิกอันสวยงาม BIOSHOCK: THE COLLECTION -230 หนึ่งในเกมยอดเยี่ยมประจำปี 2013 ที่คุณจะต้องเล่นสักครั้งในชีวิตกับ BioShock Infinite เกม FPS /Adventure ที่มีระบบการเล่นสุดท้าทายและเนื้อเรื่องสุดเข้มข้น ที่จะมีให้คุณตั้งแต่เริ่มจนถึงจบเกม อีกืั้งยังมี DLC เสริมให้เราได้เล่นอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งเกมที่ควรหามาลองเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้หากคุณซื้อในรูปแบบ the collection ก็จะได้ภาคที่ 1 และ 2 มาเล่นอีกด้วย Middle-earth: Shadow of War -270 หากคุณเป็นแฟนของนวนิยาย The lord of the ring นี่คือเกมที่คุณห้ามพลาดกับ Middle-earth: Shadow of War เกมแนว Action ที่จะให้เราออกไปต่อสู้กับเหล่า Orcs เพื่อนำเอาไอเทมมาอัปเกรดให้เราแข็งแกร่งขึ้น พร้อมกับระบบการสร้างกองทัพอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะทำให้คุณคลุกอยู่กับเกมนี้ได้ทั้งวัน Stardew Valley -189 ปิดท้ายกันด้วยเกมที่แม้ว่าจะซื้อในราคาเต็มก็คุ้มกับ Stardew Valley เกมที่ให้เราสวมวิญญาณของความเป็นชาวไร่ พัฒนาฟาร์มของเราให้เจริญก้าวหน้า จีบสาว สร้างครอบครัว พร้อมกับ Content ในเกมแน่น ๆ ที่จะทำให้คุณเล่นเกมนี้แบบลืมวันลืมคืนกันเลยทีเดียว Steam Summer Sale เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2020
03 Jul 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 12 จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง ซึ่งในบทนี้จะเป็นการกล่าวถึงเนื้อหาตัวเลือกภายในเกมที่ผู้เล่นจะสามารข้ามผ่านไปก็ได้โดยที่จะไม่มีผลกระทบต่อฉากจบของเกมแต่อย่างใด มันจึงเป็นเเค่ส่วนเสริมในการปลดล็อคเเผนที่ลับล้วนๆ...เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากระผมขอนำทุกท่านเข้า Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง “ จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู ”  ( ภาพประกอบ : ในบทนี้เราจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อย้อนมองเรื่องราวจากมุมมองที่เเตกต่าง )   < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด   คืนถิ่น          ในระหว่างค่ำคืนอันแสนเงียบสงัด ณ Firelink Shrine ที่หลายชีวิตได้กำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทย์น้อย Griggs ผู้ที่กำลังเฝ้ารออาจารย์ของเขา หรือจะเป็นพ่อมดเพลิง Laurentius ซึ่งหมายมั่นจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง หรือแม่สาวน้อย Fire Keeper นามว่า Anastacia ที่วิญญาณของนางได้ถูกผูกพันเข้ากับ Firelink Shrine... แต่ทว่ามีอยู่หนึ่งคนที่ไม่อาจจะข่มตานอนหลับได้ เขาก็คือ Undead นิรนามพระเอกของเรานั่นเอง โดยสาเหตุก็คือความฝันประหลาดที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าอีกายักษ์ที่อาศัยอยู่บนหลังคาของโบสถ์ใน Firelink Shrine ( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นอยากจะขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ ผู้เล่นจำเป็นจะต้องปีนป่ายไปตามเศษซากปรักหักพังใน Firelink Shrine ) Undead นิรนามยังคงค้างคาใจกับความฝันของตนเอง เขาจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ เพราะคิดว่าถ้าหากความฝันเมื่อครู่นี้เป็นภาพนิมิตของบางสิ่งบางอย่างจริงๆละก็ บนรังของเจ้าอีกาก็น่าจะต้องมีคำตอบอยู่เป็นแน่ แต่ทว่าเมื่อขึ้นไปถึงเจ้าอีกายักษ์ก็บินลงมาโฉบ Undead นิรนามของเราหายขึ้นฟ้าไป ( ภาพประกอบ : Undead นิรนามที่อยู่ในกรงเล็บของเจ้าอีกายักษ์ ) เมื่อบินไปสักพักแสงจากดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนฟากฟ้า เผยให้เห็นภาพของวิวทิวทัศน์อันแสนคุ้นตา...ใช้แล้วเจ้านกยักษ์ได้พาเขาบินกลับมายัง Northern Undead Asylum ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง เจ้าอีกาได้ปล่อยพระเอกของเราออกจากกรงเล็บอย่างนิ่มนวลและบินไปเกาะอยู่ที่เชิงของหน้าผาใกล้ๆ Undead นิรนามตกใจที่เขาถูกนำตัวกลับมาปล่อยยัง Undead Asylum อีกครั้ง แต่เมื่อพระเอกของเราเล็งเห็นว่าเจ้าอีกายักษ์ไม่ได้บินหนีหายไป เขาจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน Undead Asylum อีกครั้งเพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจจะเกี่ยวกับความฝัน ( ภาพประกอบ : รังของเจ้าอีกายักษ์ที่อยู่ ณ Northern Undead Asylum  ) โครงสร้างภายในอาคารของ Undead Asylum  ยังคงอยู่ในทิศทางเช่นเดิมเหมือนครั้งที่พระเอกของเราหนีออกมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเหล่าผีดิบ Hollow ที่เมื่อก่อนเคยถูกขุมขังอยู่ในคุก ตอนนี้มันกลับเดินเตร่ๆไปมาทั่วอาคาร ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการตายของเจ้าอสูรแห่ง Undead Asylum จึงทำให้ไม่มีใครคอยควบคุมจำนวนของพวก Hollow  แต่นั่นยังเป็นเเค่เรื่องจิ๊บจ๊อย! เมื่อมีเหล่า Black Knight โผล่มาที่นี่ถึงสองตนด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด  คำถามเกิดขึ้นในหัวของ Undead นิรนาม ว่าอะไรกันนะที่ทำให้อัศวินของทวยเทพ จำต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสนไกลมายังสถานที่อันรกร้างว่างเปล่าเเบบนี้ หรือว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนิมิตของเขาเมื่อคืน?  ( ภาพประกอบ : Black Knight ตนแรกจะประจำการอยู่ที่ทางเชื่อมภายในของตัวอาคาร ) ถ้าไม่จำเป็น Undead ไม่ค่อยอยากจะมีปัญหากับเหล่า Black Knight มากเท่าไรนัก เขาจึงเลือกที่จะใช้เส้นทางอื่นเพื่อผ่านเข้าไปข้างในยัง แต่เมื่อเข้ามาถึงโซนห้องขังเดี่ยวเขาก็ได้พบกับอัศวินคนหนึ่งที่กำลังยืนเงยหน้ามองแสงของพระอาทิตย์ซึ่งรอดผ่านรูเล็กบนฝาเพดาน พระเอกของเราจำได้ทันทีว่านี่ก็คือ Oscar ชายผู้เคยช่วยเขาให้หนีออกจากขุมนรกแห่งนี้ไปได้นั่นเอง ด้วยความดีใจพระเอกของเราจึงเรียกขานชื่อของชายคนนี้แต่ Oscar กลับกระโจนเข้าจู่โจมใส่ Undead นิรนามอย่างบ้าคลั่ง เเม้พระเอกของเราจะพยายามตะโกนเรียกให้สติของ Oscar กลับคืนมาแต่สายไปเสียแล้ว สถานการณ์ได้บีบให้ Undead นิรนามจำต้องใช้ดาบที่อยู่ในมือฟันเข้าไปที่ Oscar จนหัวของเขาหลุดออกและกลิ่งไปตามพื้นของห้องขัง ( ภาพประกอบ : เเต่เดิมเเล้ว Oscar เคยถูกวางเเผนให้เป็นคู่เเข่งของผู้เล่นตลอดการเดินทาง เเต่สุดท้ายก็ถูกตัดบทออกไปเพราะมันอาจะส่งผลต่อตัวเลือกในฉากจบของผู้เล่นมากเกินไป  ) Oscar คือชายผู้ส่งมอบประกายแห่งความหวังให้แก่ Undead นิรนามและแม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังคงจับจ้องไปที่แสงแห่งความหวังไม่เสื่อมคลาย  นั่นคือมุมมองของ Undead นิรนามที่มีต่อ Oscar… แต่หากเราลองมาสมมุติกันดูเล่นๆ ถ้าหาก Oscar ไม่ได้กลายเป็น Hollow ทันทีละ?, ถ้าหากเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาและต้องพบว่าตัวเองติดอยู่ที่นั่นตลอดไปละ?, ถ้าหากเขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดภาวนาขอให้มีใครสักคนมาช่วยเขาไปจากที่นี่...บางทีจิตใต้สำนึกอาจจะสั่งให้ร่างที่กลายเป็น Hollow  ไปแล้วของเขากลับมายังห้องขังนี้ เพื่อรอพบหน้าใครสักคนก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : ในเนื้อหาที่ถูกตัดออกไป Oscar จะเป็นคนต่อสู้กับผู้เล่นในตอนจบของเกม  )     ปริศนาที่ไขไม่ออก Undead นิรนามเดินทางต่อไปจนถึงส่วนของคุกใต้ดินซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยถูกขังเอาไว้ แต่ตอนนี้ดันมีเจ้า Black Knight ตนหนึ่งยืนประจำการอยู่ ในตอนแรกพระเอกของเราคิดว่าจะหันหลังกลับไปซะเเล้วเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อสู้ Black Knight แต่ฉับพลันก็เหมือนมีพลังปริศนาบางอย่างทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เพราะเหตุใดกันทำไม Black Knight จึงต้องมาเฝ้าห้องขังเปล่าๆซึ่งไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น หรือว่าพวกมันกำลังปกปิดบางสิ่งบางอย่างอยู่กันแน่ ( ภาพประกอบ : Black Knight ตนที่สองซึ่งเฝ้าอยู่ที่ห้องขังใต้ดิน ) ถ้าย้อนนึกดูดีๆตลอดเวลาที่ผ่านมา Undead นิรนามเคยพบเจอกับเหล่าอัศวินดำอยู่หลายครั้งหลายคร่า และมักจะใช้วิธีหลบเลี่ยงเพราะคิดว่าตนเองนั้นสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากเขาอยากจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนายละก็ เรื่องเเค่นี้เขาก็ต้องจัดการมันให้ได้!  Undead นิรนามได้ทำการเชื่อมต่อวิญญาณเข้ากับ Bonfire ที่อยู่ใน Undead Asylum จากนั้นก็หอบความมั่นใจเข้าไปลุยกับเจ้า Black Knight... แต่แน่นอนว่ากิตติศักดิ์ของ Black Knight นั้นไม่ใช่แค่ของประดับตามฝ้าผนัง พวกมันได้ร่ายรำกระบวนท่าปราบอสูร( อสูรแห่ง Izalith ) ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่ามากๆ ด้วยการจู่โจมเพื่อให้เหยื่อเสียการทรงตัวและล้มลง จากนั้นจึงค่อยเข้าไปเผด็จศึกที่จุดตายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงทำให้การยืนแลกหมัดต่อหมัดกับมันนั้นรังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ Undead นินามจึงลองใช้เทคนิคที่เรียกว่าการ Parry หรือการเบี่ยงเบนวิถีของอาวุธ เข้ามาใช้จัดการมัน! ( ภาพประกอบ : ภายในเกม Dark Souls ภาคแรกระบบ Parry เป็นการโต้กลับการโจมตีที่ไร้เทียมทานที่สุด ซึ่งผมรับรองจากประสบการณ์เลยว่าหากใครก็ตามที่โดน Parry เข้าไปต้องมีรู้สึกหน้าชากันบ้างไม่มากก็น้อย ) พระเอกของเรายอมถูกเจ้าอัศวินดำฆ่าไปหลายครั้งเพื่อแลกกับการจับจังหวะในกระบวนท่าของมัน และอาศัยช่องโหว่จนสามารถจัดการมันได้ในที่สุด กลายเป็นว่ากระท่าที่ที่รุนเเรงของ Black Knight  ได้กลับกลายเป็นเข็มพิษที่แทงเข้าอกของตัวเอง          เมื่อเจ้า Black Knight สิ้นฤทธิ์ลง ทางเดินของห้องขังใต้ดินก็ถูกเปิดออก พระเอกของเราคิดในใจว่าของที่มันปกป้องคงจะล่ำค่ามากแน่ๆ...แต่ที่ไหนได้มันเป็นแค่ตุ๊กตาเก่าๆตัวหนึ่ง (Peculiar Doll) เเต่มันก็ช่างดูคล้ายกับตุ๊กตาที่เขาเห็นในความฝันเมื่อคืนเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีพลังปริศนาที่ไหลผ่านออกมาจากเจ้าสิ่งนี้ซึ่งมันชวนให้เขานึกถึงหญิงสวมผ้าคลุมที่เคยเจอในฝัน...แต่ไม่ว่ามันจะอย่างไรก็ตามเรื่องราวพวกนี้ก็ยังคงคลุมเครือและยากเกินกว่าที่เขาจะปะติดปะต่อให้เข้าใจได้ในตอนนี้ ( ภาพประกอบ : การกลับมายังห้องขังเพื่อเก็บ Peculiar Doll เป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง  )          หลังจากที่สำรวจจนทั่ว Northern Undead Asylum พระเอกของเราก็ตัดสินใจเดินทางกลับออกไปหาเจ้าอีกายักษ์โดยใช้เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านห้องโถงใหญ่ ซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยปราบเจ้า Asylum Demon เเต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากลั้นแกล้ง ทันทีที่เท้าของเขาก้าวลงไปพื้นอิฐเก่าๆ พื้นก็เกิดการทรุดตัวกะทันหันจนทำให้ Undead นิรนามตกลงไปข้างล่างเเละได้พบกับ Stray Demon ซึ่งเป็นอสูรอีกตนหนึ่งที่ถูกส่งมายัง Undead Asylum พร้อมๆกับ Asylum Demon แต่ด้วยนิสัยที่บ้าคลั่งของมันจึงทำให้ต้องถูกผนึกไว้ใต้ดินตลอดมา ( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้เจ้า Stray Demon บ้าคลั่งกว่าปกติเป็นเพราะว่ามันยังคงใช้พลังของเพลิง Chaos Flame จึงทำให้มันมีอารมณ์ที่แปรปรวน )   การกลับที่ได้กลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูเดิมๆในสถานที่เดิมๆได้ทำให้ Undead นิรนามหวนนึกถึงความหลัง เขาลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางขี้เกียจพร้อมกับใช้มือปัดฝุ่นออกจากกางเกงต่อหน้าเจ้า Stray Demon ซึ่งกำลังร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พระเอกของเราค่อยๆชักดาบเล่มโปรดของเขาออกมาจากนั้นก็เข้าต่อสู้โรมรันกับเจ้า Stray Demon อย่างไม่ลังเล...          นับเป็นระยะเวลามากพอสมควรแล้วตั้งแต่ที่ Undead นิรนามถูกเจ้าอีกาดำบินมาปล่อยเอาไว้ที่ Northern Undead Asylum พระเอกของเราเดินออกมาจากประตูหน้าของอาคาร Undead Asylum และหยิบตุ๊กตา Peculiar Doll ซึ่งคาดอยู่เอวออกมาให้เจ้าอีกยักษ์ดู...จากนั้นมันก็ได้ส่งเสียงร้องหลายครั้งราวกับดีใจเเละสะบัดปีกบินมาโฉบพระเอกของเราขึ้นฟ้าหายไป   เดรัจฉานจากห้วงนรก          ณ Firelink Shrine ในดินแดน Lordran พระเอกของเราได้ถูกเจ้านกยักษ์บินกลับมาส่งอีกครั้ง...เเละสิ่งเเรกที่เขาทำก็คือรีบกลับลงไปดูว่าแม่นักบวชสาว Rhea เเต่เขากลับหานางไม่พบ ผู้คนแถวนั้นได้บอกว่าเธอเดินทางไปยังโบสถ์ใน Undead Burg โดยอาศัยลิฟต์ที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเพิ่งถูกซ่อมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้  ( ภาพประกอบ : ลิฟต์ที่เป็นทางลัดซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง Firelink Shrine และโบสถ์ใน Undead Burg ) เเต่ทว่าในระหว่างก่อนที่เขากำลังจะขึ้นลิฟท์กลับมีเจ้า Petrus ซึ่งเป็นหนึ่งในพระนักรบของ Rhea ที่หายตัวไปใน Tomb of Giants มาขวางเอาไว้ เจ้า Petrus ที่กำลังมีท่าทางคล้ายกับคนเสียสติ ได้กล่าวว่า Rhea เป็นตัวกาลกิณีและถูกหลอกให้มาตายในภาระกิจตามหา Rite of Kindling ที่ไม่มีวันสำเร็จ ซึ่งทุกอย่างมันก็ควรจะเป็นไปได้สวยถ้าไม่มี Undead นิรนามโผล่มา! เมื่อพูดจบเจ้าพระอาบัติคนนี้ก็พุ่งเข้าทำร้ายพระเอกของเรา...แต่แค่พริบตาเดียวการโจมตีของมันก็ถูกปัดป้องออก และถูกดาบสั้นเเทงสวนกลับเข้าไปจนทะลุท้องจนสิ้นใจคาที่ตรงนั้น Undead นิรนามชักดาบออกมาและเช็ดคราบเลือดเข้ากับเสื้อผ้าของเจ้านักบวช จากนั้นก็เดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ( ภาพประกอบ : Ivory Talisman  คือไอเทมประจำตัวของ Rheaโดยหลังจากที่เราช่วยเธอออกมาจาก Tomb of Giants ได้สำเร็จ เจ้า Petrus ก็จะตามไปสังหารเธอและเก็บเอา Ivory Talisman ไว้กับตัว ) เมื่อได้พบกับ Rhea อีกครั้ง นางก็หมายที่จะตอบแทนพระเอกของเราด้วยการสอนศาสตร์เเห่งเหล่าทวยเทพให้กับเขา ( เวทมนตร์สาย Miracle ) ไม่ว่าจะเป็นคาถา Wrath of the Gods  ที่เป็นการร่ายมหากาพย์ของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ซึ่งจะสร้างคลื่นกระแทกออกมาจากตัว, หรือจะเป็น Great Heal Excerpt เวทมนตร์ที่ใช้รักษาบาดแผลซึ่งมีผลแบบเดียวกับการใช้ยา Estus Flask          เมื่อได้ยินดังนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับยิ้มแป้น เพราะในตลอดเวลาที่นางสอนเวทมนตร์จำเป็นจะะต้องจับมือถือแขนอย่างแนบชิดอยู่หลายครั้ง…ทำให้หัวใจของเขาเริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง  โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูก Channeler ลูกน้องของเจ้ามังกร Seath แอบดูอยู่ห่างๆ ( ภาพประกอบ : Wrath of the Gods เป็นอีกหนึ่งเวทมนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่ในการเล่น PVP เพราะเราสามารถหลอกให้คนอื่นเดินเข้าไปใกล้หน้าผาและใช้ Wrath of the Gods ผลักศัตรูให้ตกเหวตายได้ และยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการจัดการกับพวก Hacker ได้อีกด้วย! ) ภายในค่ำวันนั้น ณ Firelink Shrine เหล่า Undead ที่ยังมีสติพากันมานั่งรวมตัวรอบ Bonfire เพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระกันตามปกติ จนกระทั่งมีคนเปิดประเด็นเกี่ยวกับ Undead นิรนามว่าทั้งที่เขาเป็นคนซึ่งเข้าใกล้คำว่า “ผู้ถูกเลือก” มากที่สุด แต่ทำไมกลับยังไม่เริ่มเดินทางไปลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบที่สองสักที  เจ้า Lautrec ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยให้ Undead นิรนามสามารถลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบแรกได้สำเร็จเป็นคนตั้งคำถามนี้ เเละสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะนักบวชสาวเเห่ง Way of White แน่ๆเพราะตั้งแต่เธอมาที่ Firelink Shrine เจ้าว่าที่ Undead ผู้เลือกก็ละทิ้งอุดมการณ์ไปเลย…Undead นิรนามที่ได้ยินเข้าก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนพูดแดกดัน เขาจึงได้เอ่ยปากโต้กลับไปว่าถ้าหากรีบกันขนาดนั้นก็ไปกันเอง!  เมื่อทั้งหมดได้ฟังดังนั้นก็พากันสงบปากสงบคำ เพราะลึกๆต่างก็หวาดกลัวเกินกว่าเดินทางออกไปที่อื่น จะมีก็แต่คนต้นเรื่องอย่างเจ้า Lautrec นี่แหละที่อาสาจะไปด้วย ( ภาพประกอบ : Ring of Favor and Protection แหวนที่มีพลังของเทพเจ้าแห่งความงาม Fina ซึ่งเจ้า Lautrec ที่มีความหลงใหลในเรื่อนร่างของหญิงงามจะพกมันติดตัวตลอดเวลา ) วันรุ่งขึ้นเจ้า Lautrec ได้ติดตามพระของเราลงไปยัง “The Depth” ท่อระบายน้ำใต้ดินแห่งเมือง Undead Burg แต่ทว่าในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินทางผ่านห้องครัวนรก เหล่าฝูงผีดิบที่โกรธเกรี้ยวก็กระโจนเข้าจู่โจมทั้งคู่ อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้พระเอกของเราดันลื่นไขมันมนุษย์และล่วงตกลงไปในหลุมขยะ  ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยคราบเหนียวเหนอะหนะจากซากชิ้นส่วนของมนุษย์ที่กำลังเน่า และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือกลิ่นเนื้อสดๆของ Undead นิรนามได้ลอยไปตามน้ำจนเข้าจมูกของเหล่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำแห่งนี้เข้าซะแล้ว ( ภาพประกอบ : หนูยักษ์ที่อาศัยกินซากศพมนุษย์จนร่างกายเติบใหญ่ผิดปกติ ) ( ภาพประกอบ : Slime สิ่งมีชีวิตแบคทีเรียที่มีความเหนียวหนึบเป็นอย่างมาก และดำรงชีพด้วยการย่อยอินทรียวัตถุเป็นอาหาร ) แต่ไม่ว่าจะเป็นหนูท่อยักษ์หรือเมือกประหลาดกินคน...ก็หาได้มีความอันตรายไม่เมื่อเทียบกับสัตว์พิสดารอย่างเจ้าตัว Basilisk จิ้งเหลนยักษ์สีดำที่มีความสูงพอๆกับสุนัขตัวใหญ่ หากมันรู้สึกว่ามีอันตรายสัญชาตญาณจะบอกให้มันสูบลมเข้าไปในถุงลมทั้งสองข้าง และพ่นสารพิษร้ายแรง (Curse) ออกมาเพื่อป้องกันตัว ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าดวงตาอันใหญ่บนหัวของมันเป็นดวงตาที่เเท้จริง เเต่ความจริงเเล้วดวงตาของมันก็มีขนาดปกติเท่ากับสัตว์ทั่วๆไป ( ดูภาพประกอบด้านล่าง ) ( ภาพประกอบ : ดวงตาที่แท้จริงของเจ้า Basilisk มีขนาดที่เล็กเเละอยู่ใต้ดวงตาปลอม ) Undead นิรนามที่ตกลงไปข้างล่างได้พยายามร้องเรียกเจ้า Lautrec ให้มาช่วยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงคิดเอาเองว่ามันคงหนีกลับ Firelink Shrine ไปแล้ว ทำให้ต่อจากนี้พระเอกของเราจะต้องตะลุยดงสัตว์ร้ายด้วยตัวคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง  Undead นิรนามต้องทนเห็นภาพสิ่งปฏิกูลลอยไปมาอยู่เหนือน้ำจนแถบจะอาเจียน ทุกย่างก้าวที่เขาเดินลุยน้ำก็มักจะมีเศษชิ้นเนื้อและเมือกแปลกๆติดรองเท้ามาด้วยเสมอ และไหนจะซากศพของคนที่ตายจากพิษของพวก Basilisk อีก ที่มีท่าทางก่อนตายดูคล้ายกับคนที่ขาดอากาศหายใจและกำลังดิ้นทุรนทุรายจนกลายเป็นก้อนหิน... เรียกได้ว่า The Depth คือศูนย์ร่วมงานแสดงประติมากรรมสุดสยองก็ไม่ปาน ( ภาพประกอบ : ถ้าผู้เล่นเชื่อมต่ออินเตอร์ในระหว่างเล่น ตัวเกมจะจำลองศพของผู้เล่นคนอื่นที่ตายด้วยสถานะ Curse ปรากฏออกมาตามที่ต่างๆในเกมของเรา )     จอมขย้ำกระหายเลือด Undead นิรนามเดินลุยน้ำโสโครกจนมาถึงลานน้ำกว้างขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งที่ปลายสุดเป็นน้ำตกที่ไหลบ่าลงไปด้านล่าง เเละดูเหมือนว่าน้ำเน่าทั้งหมดใน The Depth จะไหลมาระบายออกยังน้ำตกแห่งนี้...เเละเเน่นอนว่ากลิ่นเนื้อสดเป็นๆของพระเอกของเราก็ได้ปลุกบางสิ่งอย่างให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล  ขนาดของมันใหญ่ยิ่งกว่า Stray Demon หรือ Titanite Demon หลายเท่าและถ้าวัดตั้งแต่หัวจรดหางมันยาวยิ่งกว่ามังกรน้ำ Hydra เสียอีก นามของเจ้าสิ่งนี้ก็คือโคตรไอ้เคี่ยม Gaping Dragon! ( ภาพประกอบ : สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon ) ลำตัวช่วงบนที่ไม่สมประกอบของมันสูงเกือบเท่าเพดานจนสามารถบังแสงอาทิตย์ และตั้งแต่บริเวณลำคอลงมาตลอดจนท้องน้อยถูกแหวกออก เผยให้เห็นซีโครงจำนวนมากที่ถูกเลาจนแหลมเพื่อใช้บด, เคี้ยว, ขย้ำเหยื่อ เกร็ดที่กลายสภาพจนดูคล้ายงู บันท้ายที่พองโตเพราะไม่อาจจะย่อยสิ่งที่กินเข้าไปได้ทัน ขาและข้อเท้าที่ผิดรูปได้ทำให้การเดินของมันบิดเบี้ยวไปมา เเละเเม้จะมีปีกขนาดใหญ่ถึงสี่ปีกมันไม่อาจจะพยุงน้ำหนักตัวอันมหาศาลให้บินขึ้นได้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่พัดกลิ่นเหม็นๆให้ฟุ้งลอยไปทั่วห้อง ( ภาพประกอบ : ขาของมันทรงพลังมากจนสามารถขยี้ชุดเกราะได้อย่างสบายๆ ) เเม้สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon จะดูน่าเกลียดเหมือนหลุดมาจากอีกมิติ เเต่มันเป็นถึงลูกหลานสายตรงของเหล่ามังกรนิรันดรที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต โดยสาเหตุทที่ทำให้มันเป็นเเบบนี้ก็เริ่มมาจากหลังสิ้นสุดมหาสงครามมังกร Seath ได้ค้นพบไข่มังกรนิรันดรสองใบที่ยังเหลือรอด มันได้มอบไข่ใบหนึ่งให้กับ Gwyn ซึ่งถูกนำไปทะนุถนอมเป็นอย่างดีและถูกตั้งชื่อว่า Mirdir ส่วนไข่ใบที่โชคร้ายได้ตกไปอยู่ในมือของจอมวิปลาส Seath  และต้องเผชิญกับทดลองตั้งแต่อยู่ในไข่จนทำให้มีรูปร่างเป็นอย่างที่เห็น ผลกระทบจากความผิดพลาดได้ทำให้ร่างกายท่อนบนของมันแหวกออก ทำให้อวัยวะทั้งหลายหลุดล่วงออกจากร่างกายแต่ถึงกระนั่นมันก็ไม่อาจจะตายได้ สิ่งเดียวที่มันพอจะทำได้ก็คือ กิน กิน และ กิน! เพื่อเติมเต็มให้กับร่างกายที่ไม่มีวันสมบูรณ์ของมัน ( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากเราสามารถตัดหางของ Gaping Dragon ได้สำเร็จ ผู้เล่นจะได้ Dragon King Greataxe มาใช้งาน ) หลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ก็คงพอจะเดาได้ใช่ไหมครับว่าพระเอกของเราจะตัดสินใจทำอะไร...ใช่แล้ว! เขาหันหลังหนีกลับไปทันที ( เป็นผมๆก็หนี ) เพื่อหาเส้นทางอื่นที่จะนำไปสู่ Bell of Awakening… แต่สิ่งเดียวที่เขาพบกลับเป็นประตูเหล็กบานเล็กๆ ที่สามารถนำลงไปสู่พื้นที่ด้านล่างได้ทว่าติดอยู่แค่อย่างเดียวคือเขาดันไม่มีกุญแจ พระเอกของเราจึงได้ไปถามพ่อค้าเร่คนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ นามว่า Domhnall ที่เดินทางมาจากนคร Zena อันห่างไกล เจ้าพ่อค้าเร่คนนี้มีนิสัยที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือมันชอบตระเวนไปตามหลุมฝั่งศพและขโมยเอาชุดของคนตายมาขายต่อ และมันยังมีวิชาแห่งความลับในการเปลี่ยนอาวุธเก่าๆที่ไร้ค่าให้เป็นกลายเป็นอาวุธคริสตัลที่ทรงพลังกว่าเดิมโดยแลกมากับการที่สึกกร่อนง่ายกว่าปกติ และแน่นอนว่าจะต้องขายในราคาที่แพงกว่าเดิมหลายเท่าด้วย ( ภาพประกอบ : เจ้า Domhnall ตระเวนขุดหลุมฝั่งศพไปทั่วไม่ว่าจะเป็น Catacomb หรือเมืองร้าง New Londo พี่แกก็ไปมาหมดแล้ว )          Undead นิรนามได้ลองถามเจ้าพ่อค้าเร่ดูว่ามันรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่เเห่งนี้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกจนกว่าพระเอกของเราจะยอมซื้อของไปจากมัน 1 ชิ้นต่อหนึ่ง 1 คำถาม(หน้าเลือด) เมื่อเป็นเช่นนั้นสุดท้ายพระเอกของเราก็ต้องยอมจ่าย Soul ให้กับเจ้าพ่อค้าเร่จนได้ เจ้า Domhnall ได้บอกข่าวลือลึกลับว่ามีกลุ่มคนแปลกๆที่บูชามังกรนิรันดรเเอบหลบซ่อนอยู่เเถวนี้...  คำตอบที่ได้ทำให้ Undead นิรนามยื่นนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไอ้สิ่งที่ออกจากปากของมันดูจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย และเริ่มคิดว่าตนเองกำลังเสียรู้เจ้าพ่อเร่คนนี้ ( ภาพประกอบ : Crystal Straight และ Sword Crystal Shield ที่ขายจาก Domhnall เป็นหนึ่งในของดีสำหรับผู้เล่นต้นเกมที่มี Soul เหลือกินเหลือใช้ ) พระเอกของเราจึงยอมจ่าย Soul อีกครั้งแต่คร่าวนี้เขาถามเจาะจงเกี่ยวกับ Bell of Awakening… เจ้าพ่อค้าเร่เงียบไปแปบหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า ตัวมันเองก็ไม่รู้เพราะมันก็ยังไม่เคยลงไปข้างล่างเหมือนกัน          เมื่อสิ้นประโยคดังกล่าวพระเอกของเราก็ลุกขึ้นและทำท่าเหมือนจะชักดาบออกมา จนทำให้เจ้า Domhnall ลุกลี้ลุกลนพร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่รู้เรื่องของ Bell of Awakening จริงๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้มีนักรบหลงทางคนหนึ่งเคยกล่าวถึงระฆังที่ว่านั่นอยู่เหมือนกัน... “ นักรบหลงทาง? ” Undead นิรนามสะกิดใจว่านั้นอาจจะเป็นเจ้า Lautrec ก็ได้ เขาจึงเก็บดาบและออกเดินสำรวจมากขึ้น ( ภาพประกอบ : Bonfire ประจำ The Depth ซึ่งเป็นที่ๆผู้เล่นหลายคนนัดเจอเพื่อน แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นจุดที่ดึงดูดให้มีการ PVP แกล้งกันมากที่สุดจุดหนึ่งในเกม  ) Undead นิรนามเดินทางย้อนกลับขึ้นไปด้านบนจนได้ไปพบห้องเล็กๆที่มี Bonfire อยู่ข้างใน พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ฟังดูคุ้นหูเล็ดรอดออกมา พระเอกของเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและได้พบกับเจ้า Lautrec อยู่ที่นั่นจริงๆ ซึ่งมันกำลังพูดคุยอยู่กับนักรบปริศนาอีกคน Undead ลองพิจารณามองดูทั้งชุด, ทั้งดาบ, ทั้งหมวกเหล็ก...คนที่แต่งตัวประหลาดแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียว! นั่นก็คือเอกบุรุษ Solaire นั่นเอง          เมื่อทั้งสามสหายกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้! พวกเขาเริ่มปรึกษากันเกี่ยวกับเจ้า Gaping Dragon และสรุปได้ความว่า Solaire เคยเห็นแสงสะท้อนวิบวับอยู่ข้างในท้องของ Gaping Dragon ซึ่งนั่นอาจจะเป็นกุญแจเปิดประตูที่เรากำลังตามหาก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : ความจริงแล้วภายในเกม Dark Souls เราสามารถที่จะฆ่า Gaping Dragon ได้ด้วยการสู้กับมันก่อนหนึ่งครั้ง และจากนั้นก็หนีออกมายืนที่ระเบียงในรูป เพื่อโจมตีจากระยะไกลได้ฟรีๆ ) ในวันถัดมาทั้งสามจึงได้ไปยืนดูที่ระเบียงและมองเห็นว่ามีกุญแจอยู่ในท้องของมันจริงๆ เเต่ปัญหาต่อไปก็คือ “แล้วเราจะเข้าไปเอาได้ยังไงกันละ?” สามสหายพยายามครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าเราจะต้องตัดหัวอันเล็กกระจิดริดของมันออกเสีย โดยจะต้องมีคนหนึ่งยอมเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้มันก้มลำตัวส่วนบนลงมา เพื่อเปิดโอกาสให้อีกสองคนวิ่งเข้าไปตัวหัวเล็กๆของมัน          “ก็เเค่ตัดหัวของมันซะ” คำพูดที่ฟังดูง่ายๆแต่พอตอนปฏิบัติจริงเจ้า Gaping Dragon กลับไม่ยอมก้มหัวลงมาหากเหยื่อไม่ไปอยู่ข้างใต้ปากของมันตรงๆ และต่อให้เป็นจังหวะที่มันก้มหัวลงมาพุ่งชนความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันก็มากเกินกว่าที่สองเท้าของคนปกติจะวิ่งตามได้ทัน แถมนี่ยังไม่นับรวมการปล่อยน้ำย่อยกรดเเรงสูงซึ่งถูกสะบัดออกมาจากร่างของมันเป็นระยะๆ จนทำให้การเข้าไปใกล้หัวของมันเป็นเรื่องที่เเทบจะเป็นไปไม่ได้ ( ภาพประกอบ : มือคู่ท
03 Jul 2020
10 สุดยอดสุนัขจากวิดีโอเกม
ในเกมต่างๆ เราจะได้เห็นเผ่าพันธุ์บรรดาสัตว์มากมายในเกมใช่ไหมครับ แต่หนึ่งในสัตว์ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในวีดีโอเกมก็คงไม่พ้นเหล่าสุนัขที่มีเยอะมากในวีดีโอเกม จะมีหลายแบบทั้งพวกดุร้ายที่เป็นศัตรู หรือคู่หูเพื่อนร่วทาง ซึ่งวันนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับ 10 สุดยอดสุนัขจากเกมต่างๆ จะมีตัวละครไหนที่ถูกใจกันบ้างมาดูกันครับ. 1.KK Slider จากซีรี่ส์ Animal Crossing ผลโหวตเลือก KK Slider ให้เป็นสุนัขที่ดีที่สุดใน Animal Crossing เพราะตัวละครนี้นอกจากจะอยู่กับผู้เล่นมาตั้งแต่ภาคแรกๆ แล้วเขายังมีสเน่ห์ในการใช้คำพูดที่นุ่มนวลและขับร้องเพลงที่ไพเราะมากกว่า 90 เพลงนับตั้งแต่ภาค New Leaf! เขายังเป็นตัวละครสุนัขที่ไม่เหมือนใครครับเพราะเขาสามารถเปิดคอนเสิร์ตและมอบความสนุปให้กับผู้คนบนเกาะอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย. 2.Dogmeat จากซีรี่ส์ Fallout 4 Fallout เป็นซีรี่ส์ที่ทำให้ชาวเกมหลงรักกันมายาวนานอยู่พักใหญ่ๆ และยังมีเจ้าหมา Dogmeat หนึ่งในตัวละครที่โดดเด่น มันปรากฏตัวในเกมครั้งแรกเมื่อปี 1997 และยังคงออกมาให้เห็นอยู่ในเกมแทบทุกภาคจนมาถึงภาค 4 โดยแฟนๆ เกมนี้รักสุนัขตัวนี้มาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าเจ้าหมาตายผู้เล่นจะยอมย้อนกลับไปเล่นใหม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าเป็นการยกเลิกเซฟที่เล่นมาหลายชั่วโมงเลยครับ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ มีความสุขมากๆ ใน Fallout 4 เพราะเจ้าหมา Dogmeat นั้นไม่สามารถตายได้มันจะอยู่กับเราจนจบเกมครับ. 3.The Dog จากเกม Fable II เจ้าหมาแห่ง Fable II เป็นที่เหล่าเกมเมอร์รู้ดีกันครับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ใหญ่ที่สุดในเกม สุนัขตัวนี้จะเป็นเพื่อนรักและผู้ติดตามของเราไปตลอดเกมยอมสู้ตัวตายเพื่อปกป้องเราเวลาต้องสู้กับ BOSS ซึ่งเมื่อจบเกมผู้เล่นจะสามารถเลือกรางวัลใหญ่ได้ 3 ทาง คือ 1.เงินทองมหาศาล 2.ฟื้นชีวิตคนที่ตายให้กลับมา 3.ชุบเจ้าหมาของเรา แล้วผู้อ่านคิดว่าส่วนใหญ่เหล่าเกมเมอร์จะเลือกข้อไหนครับ555. 4.Sif จากเกม Dark Souls การต่อสู้ที่ดุเดือดแต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่ บรรยากาศของมิตรภาพในวันวาน เมื่อผู้เล่นต้องจัดการกับหมาป่าที่ปกป้องหลุมศพของสหายผู้ล่วงลับ ที่สำคัญคือนักออกแบบหมาป่าตัวนี้ทำมันออกมาได้ดูเท่และน่าเกรงขามมากๆ มันทั้งตัวใหญ่และคาบดาบยักษ์เป็นอาวุธ มีผู้เล่นหลายคนเผยความรู้สึกว่าถ้าเลือกได้พวกเขาจะหลีกเลี่ยงที่จะต้องสังหารมัน เพราะมันไม่ได้ต้องการทำร้ายใครก่อน เพียงแค่จะปกป้องศักดิ์ศรีและความรักที่มันมีให้ต่อสหายเท่านั้น. 5.D-Dog จาก Metal Gear Solid V ผู้เล่นซีรี่ส์ Matal Gear Solid ทุกคนล้วนตกหลุมรักเจ้า D-Dog เพราะมันออกมาอยู่ในซีรี่ส์ตั้งแต่ตอนยังเป็นลูกสุนัขตัวเล็กๆ ที่ดูเลี้ยงโดย Snake แถมยังมีใส่ผ้าปิดตาไว้ข้างนึงเหมือนเข้านายของมันอีกด้วย นึกภาพนะครับว่าเราเห็นลูกสุนัขตัวเล็กๆ เติบโตจนกลายเป็นสุนัขทหารขนเทาที่น่าเกรงขาม คอยช่วยเหลือเราในยามบุกฐานศัตรูทั้งคอยดมกลิ่น หลอกล่อ และกระโจนขย้ำศัตรูตามคำสั่งอีกด้วย. 6.Polterpup จาก Luigis Mansion 3 ใครบอกว่าผีไม่น่ารักครับ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับวิญญาณผีน้อยอย่าง Polterpup แต่วิญญาณตนนี้ยังคงสเน่ห์ความเป็นน้องหมาอยู่ครับ เกมบางเกมมีสัตว์น่ารักมากมายที่ปรากฏมาในเกม แต่ผู้เล่นที่หลงใหลในสัตว์เหล่านั้นทำได้แค่มองและเสียดายที่ไม่สามารถนำพวกมันมาเลี้ยงได้ แต่สำหรับเกมนี้ที่ทำให้หลายๆ คนหลงรักมันก็คือผู้เล่นสามารถเลี้ยงมันได้ใน Luigis Mansion 3 ! 7.สุนัขแสนน่ารำคาญจาก Undertale เจ้าสุนัขสุดป่วนที่กลายเป็นอีกจุดเด่นของเกม Undertale มันชอบออกมาป่วนและโผล่มากวนผู้เล่นเป็นช่วงสั้นๆ แต่บ่อยครั้งตลอดทั้งเกม เช่นบางครังมันไปขโมยคาบกระดูกของ Papyrus ( ตัวละครรูปร่างกระดูกในเกม ) ซึ่งกระดูกนั้นจะทำการระเบิดเมื่อมาถึงมือเรา แล้วจะดูดไอเทมที่ผู้เล่นได้รับมาจากการไขปริศนาต่างๆ ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหมาตัวนี้มันเกรียนและป่วนยังไงก็ต้องลองซื้อเกม Undertale มาลองเล่นกันแล้วแหละครับ555. 8.Amaterasu จาก Okami Amaterasu จะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยง บอส หรือตัวประกอบในเกม แต่จะเป็นตัวละครที่ผู้เล่นจะต้องเล่นเป็นตัวหลัก ซึ่ง Amaterasu เป็นเทพธิดาในรูปแบบหมาป่า ซึ่งเธอมีความสามารถพิเศษมากมายเช่น หางของเธอนั้นสามารถวาดพลังงานเพื่อสร้างเป็นแสงสว่าง ความมืด หรือธาตุต่างๆ อย่าง ดิน น้ำ ไฟ ลมได้ยังมีความสามารถที่ผมไม่ขอสปอยด์อยากให้ผู้อ่านลองไปตามหาดูในเกม Okami นะครับแต่ขอรับประกันในงานภาพ และเนื้อเรื่องที่คุ้มค่ากับการเล่นมากๆ ครับ. 9.Wolf Link จาก Twilight Princess หนึ่งในตัวละครที่ดูโดดเด่นที่สุดของเกมตลอดการนั่นคือ Wolf Link ในเกม Twilight Princess ที่สามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าหรือมนุษย์ก็ได้ แต่เวลาแปลงร่างเป็นหมาป่านั้นจะทำให้เขาสามารถสื่อสารกับสัตว์อื่นๆ และควบคุมมันได้ ที่สำคัญถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหมาป่าตัวที่เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าผู้เล่นสามารถเรียกเขามาเป็นสัตว์คู่กายได้ในเกมดังอย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild. 10.หมาป่าจาก Resident Evill 4 บอกเลยว่าข้อสุดท้ายนี้เกมเมอร์ยุค PS2 แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักครับ เจ้าหมาป่าตัวนี้ผู้เล่นจะพบมันในช่วงแรกๆ ซึ่งมันจะถูกกับดับสัตว์ล็อคขาอยู่ *ในส่วนนี้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะช่วย ปล่อยไว้ หรือยิงทิ้ง โดยถ้าใครที่เลือกช่วยเหลือมัน มันจะกระโดดหนีหายไปในป่า แต่จะมีสิ่งที่เซอร์ไพรส์ผู้เล่นคือ เมื่อถึงฉากต้องสู้กับซอมบี้ยักษ์ เจ้าหมาตัวนี้มันจะออกมา ( บอกเลยว่าผมเล่นผมรู้สึกใจเต้นมากๆ เหมือนพระเอกเลยครับเท่ๆ มากๆ น้องหมาตัวนี้ ) และทำการล่อเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าซอมบี้ยักษ์ ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้ง่ายขึ้นครับ! Credit: Gamerant
19 Jun 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 11 สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด ซึ่งจะดำเนินเรื่องราวต่อจากการที่ Undead นิรนามของเราได้ตัดสินใจเดินทางลงไปยังสุสานใต้ดิน Catacomb เพื่อตามหาของวิเศษที่ถูกเรียกว่า Rite of Kindling ซึ่งมีคุณสมบัติในการดึงพลังจาก Bonfire ให้นำออกมาใช้ได้มากขึ้น ทว่าตลอดการเดินก็ล้วนเเต่ถูกขัดขวางโดยเหล่าผีร้ายจนมันได้ทำให้เขาตกลงไปยังเหวลึกและบาดเจ็บสาหัส! สถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรทุกท่านก็สามรถติดตามได้ใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด “สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ” ( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของเจ้าสื่งประหลาดที่ Undead นิรนามได้กำลังเผชิญหน้า ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด บทที่เก้า l บทที่สิบ วาระสุดท้ายของ Pinwheel          ท่ามกลางความมืดอันหนาวเหน็บภายในสุสาน Catacomb ได้มี Undead คนหนึ่งที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสเเละกำลังพยายามอย่างกระเสือกกระสนเพื่อให้พ้นจากผีโครงกระดูกตัวยักษ์ ที่ยิ่งเมื่อได้เห็นว่ามันมีอาวุธเป็นพลั่วที่ใหญ่มหึมาก็ยิ่งทำให้พระเอกของเราหวาดกลัวจนหัวใจได้ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เเต่ทว่าเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้เจ้าตัวประหลาดกลับใช้พลั่วในมือฟาดเข้าไปที่กำแพงด้านข้างอย่างรุนเเรงจนพังทลายเป็นรูโหว่ พร้อมกับเอ่ยปากบอกให้ Undead นิรนามรีบหนีออกไปซะเพราะเขาได้รบกวนสมาธิในการทำงานของมัน… ( ภาพประกอบ : กำเเพงที่ถูกทำลายมันได้กลายเป็นทางลัดตรงไปสู่ห้องทดลองของ Pinwheel ) Undead นิรนามตกตลึงไปพักใหญ่เพราะไม่คิดว่าผีโครงกระดูกช่วยเหลือเขา แต่เมื่ออาการบาดเจ็บที่ขาของเขาหายดี Undead นิรนามก็รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่กล่าวขอบคุณเลยสักคำเพราะเกรงว่าจะทำให้เจ้าโครงกระดูกอารมณ์เสียเอาได้ ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเจ้าผีตนนี้ตอนครั้งยังมีชีวิตมันเคยเป็นถึงชนชั้นสูงในนครเเห่งเพลิง Izalith แต่ด้วยความขัดแย้งเรื่องการทดลองเพลิง Chaos ของแม่มดแห่ง Izalith ก็ได้ทำให้ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะลี้ภัยหนีไปจากมหานครซึ่ง Vamos ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้หลบลี้ไปอยู่ที่เมือง New Londo เเละใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตและได้ถูกนำร่างมาฝั่งยังสุสานใต้ดินแห่งนี้ ( ภาพประกอบ : นามที่แท้จริงของโครงกระดูกนี้ก็คือ Vamos ซึ่งตอนยังมีชีวิตเขาขึ้นชื่อในเรื่องของการสร้างอาวุธธาตุไฟเป็นอย่างมาก ) ( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นนำเอา Chaos Flame Ember ไปมอบให้เเก่ Vamos เขาก็จะทักว่าความร้อนจาก Ember ชิ้นนี้มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับพลังของแม่มดแห่ง Izalith เสียเหลือเกิน )              พอกล่าวมาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าทำไม Vamos ถึงยังคงมีสติและไม่บ้าคลั่งเหมือนกับพวกโครงกระดูกตัวอื่นๆ? ซึ่งคำตอบก็คงจะหนีไม่พ้นพวก Necromancer ที่ได้บุกรุกเข้าไปในสุสานของชนชั้นสูงเเต่เมื่อปลุกชีพขึ้นมากลับไม่สามารถควบคุมพลังของศพที่เเข็งเเกร่งเหล่านี้ได้พวกมันจึงจำต้องปล่อย Vamos ไว้เช่นนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผู้คนในสมัยก่อนจึงมักจะส่งเวรยามไปคอยเฝ้าระวังหลุมศพของพวกชนชั้นสูงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมือบอลเข้ามาปลุกชีพศพขึ้นมาใช้งานได้ตามอำเภอใจ ในบางกรณีถึงกับต้องส่งพวก Titanite Demon หรือ Black Knight มาคอยเฝ้าระวังศพกันเลยทีเดียว ( ภาพประกอบ : ภาพของ Titanite Demon ที่ถูกส่งไปปกป้องหลุมศพของบุคคลสำคัญ )              หลังจากที่ Undead นิรนามออกมาจากสุสานได้สำเร็จเขาก็ได้พบกับแนวป้องกันด้านสุดท้ายเป็นเหล่าผีรูปร่างประหลาดที่มีวงล้อของรถม้าแทรกผ่านกลางตัวโดยมันได้ถูกเรียกกันว่า Wheel Skeleton หรือผีติดล้อ....ซึ่งมันจะโจมตีด้วยการคดตัวกอดติดกับวงล้อและกลิ้งไปชนใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางให้พินาศ และด้วยการโจมตีที่แสนจะหลุดโลกของมันก็ได้ทำให้ Undead นิรนามต้องใช้วิธีวิ่งหนีซิกแซกไปมาจึงรอดพ้นเหล่าผีจอมซิ่งมาได้สำเร็จ เเต่ทว่าการกระโจนหลบสุดท้ายกลับทำให้เขาสะดุดร่วงตกลงไปในห้องทดลองของ Pinwheel  ( ภาพประกอบ : รูปร่างอันสุดประหลาดของ Wheel Skeleton นั่นสื่อถึงการขว้างกั้นวงล้อแห่งการเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย ) ( ภาพประกอบ : ห้องทดลองของ Pinwheel ได้ถูกดัดเเปลงจากโรงศพขนาดมหึมาของพวกยักษา )   และแทบจะทันทีที่ Undead นิรนามร่วงตกลงมาเจ้า Pinwheel ที่กำลังอ่านตำราอยู่ก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะตลอดหลายพันปีมานี้นอกจากพวกเหยื่อที่ถูกจับมาทดลองหรือพวก Black Knight ที่ Pinwheel ไม่อยากจะมีปัญหาด้วยก็แทบจะไม่มีใครเลยที่เคยเข้ามาถึงยังห้องทดลองแห่งนี้ มันได้จัดการร่ายเวทมนตร์สร้างร่างแยกของตนเองขึ้นมาและประสานเข้ากับเวทมนตร์สายจู่โจมเพื่อเร่งขับไล่พระเอกของเราอย่างเต็มที่ทว่าแม้จะขุดเอาลูกเล่นที่แพรวพราวมากมายมาใช้ก็ตาม คนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่หลังซากศพของคนอื่นอย่างมันมีเหรอจะสามารถต่อกรกับ Undead นิรนามที่ผ่านศึกการต่อสู้มาเเล้วอย่างโชกโชนได้! เพียงแค่การตวัดดาบไม่กี่ครั้งร่างของ Pinwheel ก็ได้ถูกทำลายลงพร้อมๆกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของมัน เเต่ในทางกลับกันมันอาจจะก็เป็นการปลดปล่อยสามคน พ่อ, เเม่, เเละลูกให้พ้นจากโลกอันเเสนความทุกข์ทรมานใบนี้ก็เป็นได้ ( ภาพประกอบ : แต่เดิมแล้วเวทมนตร์แยกร่างของ Pinwheel มีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการใช้เเบ่งร่างของตนเองออกมาเพื่อทำการทดลอง ) การตายของ Pinwheel ได้ทำให้พลังวิญญาณที่มันกักเก็บเอาไว้ในร่างไหลทะลักออกมา ซึ่งนั่นก็ร่วมไปถึง Rite of Kindling สิ่งของเจ้าปัญหาที่หลายชีวิตจำต้องจบลงเพราะมัน Undead นิรนามได้ค่อยๆใช้มือหยิบเอา Rite of Kindling ขึ้นมาดูใกล้ๆ...ทว่าทันทีทันใดอยู่ๆเจ้า Patches ก็ล่วงตกลงมาในห้องทดลองเเห่งนี้เช่นกันจึงทำให้พระเอกของเราจำต้องรีบซ่อน Rite of Kindling เอาไว้ข้างหลังด้วยเกรงว่าจะถูกเเย่งชิงไป เเต่เจ้า Patches กลับเเค่กล่าวทักทายพระเอกของเราพร้อมกับออกเดินสำรวจไปทั่วจนกระทั่งได้ไปพบกับบันไดลิงที่เชื่อมต่อกับอีกฟากของสุสานซึ่งเจ้า Patches ก็รีบปีนบันได้ขึ้นไปและเดินหายไปด้วยท่าทีที่เร่งรีบ ( ภาพประกอบ : อีกฟากของสุสานนั้นเป็นสถานที่ที่มืดมิดเเละอันตรายยิ่งกว่า Catacomb หลายเท่า ) เมื่อตัวปัญหาจากไปแล้ว Undead นิรนามของเราก็เริ่มอุ่นใจมากขึ้นและได้เตรียมตัวที่จะใช้ Homeward Bone  อีกหนึ่งเครื่องมือทุ่นแรงที่จะทำให้ Undead สามารถกลับไปยัง Bonfire ล่าสุดที่ใช้วิญญาณเชื่อมต่อเอาไว้ได้...แต่แล้ว!ในขณะที่เขากำลังจะหักท่อนกระดูก Homeward Bone อยู่ๆก็มีเสียงดังคล้ายกับคนร่วงตกลงมาอีกรอบ ทว่าคร่าวนี้มันคือเหล่าคณะเดินทางของ Rhea ซึ่งเมื่อตกลงมาได้ไม่นานเหล่าบรรดาผู้ติดตามของเเม่นักบวชสาวก็เดินตรงปรี่มาที่ Undead นิรนามจากนั้นก็พยายามซักถามถึง Rite of Kindling ด้วยท่าทีคุกคามและใช้น้ำเสียงที่รุนแรง จนทำให้แม้แต่คนที่แสนดีอย่างพระเอกของเรายังเริ่มทนไม่ไหวจึงแสร้งพูดโกหกไปว่าสิ่งที่พวกเจ้ากำลังตามหามันน่าจะอยู่อีกฟากของสุสานก็เป็นได้ซึ่งก็แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ปักใจเชื่อ...แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลาย Rhea ก็ได้สั่งห้ามปรามคนของตนจากนั้นก็ได้กล่าวขอบคุณ Undead นิรนามที่ชี้เเนะเส้นทางให้จนเล่นเอาเขามีอาการเคอะเขินเล็กน้อย… ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้ติดตามนามว่า Petrus ก็เห็นด้วยเเละได้เสนอว่าควรจะเดินทางเข้าไปยังอีกฟากของสุสานเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ( ภาพประกอบ : Homeward Bone ทำมาจากท่อนกระดูกของ Undead ที่ตายสนิทไปแล้ว โดยจะผ่านการปลุกเสกเพื่อทำให้มีพลังในการเชื่อมต่อวิญญาณของผู้ใช้เข้ากับ Bonfire ได้ ) หลังจากคณะเดินทางของ Rhea จากไป มันก็ได้เเวลาที่พระเอกของเราจะกลับไปยัง Firelink Shrine สักที... “แต่แบบนั้นจะดีแล้วเหรอ?” เขากล่าวกับตัวเองพร้อมกับหันหน้าไปมองยังอีกฟากของสุสานที่ Rhea เพิ่งจะเดินหายลับเข้าไปในความมืด ความรู้สึกระอายใจเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นจากการที่เมื่อครู่เขาได้โมโหจนพูดโกหกออกไปซึ่งมันก็เท่ากับว่าเขาได้ส่ง Rhea ผู้น่าสงสารไปทำภารกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จและนั่นก็จะเป็นตราบาปภายในใจของ Undead นิรนามไปตลอดกาลซึ่งมันเกินที่เขาจะยอมรับได้ ดังนั้นพระเอกของเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตามหา Rhea ภายในอีกฟากสุสานซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าแห่งความตาย Nito โดยถูกเรียกขานกันว่า Tomb of Giants หรือ “สุสานคนยักษ์” ( ภาพประกอบ : พวกผีที่อยู่ใน Tomb of Giants ทั้งหมดล้วนเเต่ถูกปลุกชีพขึ้นมาโดย Nito )     อุบายร้ายของเจ้าไฮยีน่า ในอดีต Tomb of Giant เคยเป็นสถานที่อันสงบสุขหลังความตายของเหล่ายักษา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เหล่ากบฏทมิฬได้ขโมย Rite of Kindling ไปจาก Nito จนส่งผลให้เกิดการตามล่าครั้งใหญ่อยู่ภายในสุสานซึ่งได้เปลี่ยนให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเป็นทุ่งสังหารไปโดยปริยาย(ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ทรยศหักหลังของ Pinwheel)  ( ภาพประกอบ : หนึ่งในเจ้าตัวที่อันตรายที่สุดของ Tomb of Giants ก็ผีโครงกระดูกสุนัขที่มันสามารถฆ่าคนได้ด้วยการโจมตีเพียงเเค่ครั้งเดียว ) ( ภาพประกอบ : เสาโครงกระดูกที่เกิดจากการรวมตัวของซากศพมากมายซึ่งถูกฝังใต้พื้นดิน )  ด้วยการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นของ Undead นิรนามได้ทำให้ความสุขุมเยือกเย็นของเขาลดน้อยถอยลงและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในตัวของแม่นักบวชสาว โดยจุดประสงค์เดียวในตอนนี้ก็คือต้องรีบพาตัวนางกลับออกมาให้เร็วที่สุด(ส่วนคนอื่นช่างมัน) Undead นิรนามได้ตะเบ็งเสียงร้องเรียก Rhea จนดังกึกก้องไปทั่วโดยหารู้ไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีค่าเท่ากับการบอกให้เหล่าภูตผีรู้ถึงตำแหน่งของเขาท่ามกลางความมืด ( ภาพประกอบ : ผีโครงกระดูกบางตัวจะคอยฟังเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นใน Tomb of Giant เเละจู่โจมเข้าไปยังตำเเหน่งของเป้าหมายได้อย่างเเม่นยำ ) แต่ถึงจะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาก็ตามเเต่ที่บนพื้นดินกลับมีแสงแวววาวจากหิน Prism Stone ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มักจะได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเดินทางโดยจะใช้มันทำเป็นสัญลักษณ์ตามเส้นทางเพื่อป้องกันการหลงทาง ซึ่ง Undead นิรนามคิดว่า Prism Stone เหล่านี้คือสิ่งที่คณะเดินทางของ Rhea เป็นคนทิ้งเอาไว้ให้   ( ภาพประกอบ : ในการเล่น Online จะมีผู้เล่นบางคนที่นิยมใช้ Prism Stone เพื่อเเทนการสื่อสารหรือล่อลวงผู้เล่นคนอื่นให้เข้าไปติดกับดัก ) ทว่าแม้จะมี Prism Stone คอยบอกทางแต่การที่ Undead นิรนามเอาเเต่ร้องหา Rhea มันกลับยิ่งทำให้การเดินทางนั้นยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะถูกผีโครงกระดูกยักษ์ดักเล่นงานอยู่ตามทาวเป็นระยะๆแถมยังต้องประสบพบเจอกับลูกธนูปริศนาที่ถูกยิงมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ภายใต้ความมืด ซึ่งได้ทำให้ Undead นิรนามตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองไม่ว่าจะทั้งวิสัยทัศน์ซึ่งมืดบอดตลอดจนจำนวนของศัตรูที่ไม่อาจทราบได้เเน่ชัด ก็ได้บีบให้พระเอกของเรางัดเอาท่าไม้ตายก้นหีบอย่างการวิ่งเเบบไม่คิดออกมาใช้ จนกระทั่งเขาได้ไปพบกับเจ้าไฮยีน่า Patches อีกครั้งแต่ทว่าคร่าวนี้มันกลับยืนกวักมือเรียกให้ Undead เดินเข้าไปหา ( ภาพประกอบ : เจ้า Patches ที่กำลังดักรอเหยื่อของมัน ) เจ้า Patches ได้กล่าวว่าที่หลุมตรงนี้มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ภายในเเละชักชวนให้ Undead นิรนามลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ทว่าพระเอกของเรากลับไม่สนใจและเอาแต่ถามถึงเหล่าคณะเดินทางของ Rhea ซึ่งเมื่อเจ้า Patches ได้ยินเข้ามันก็มีท่าทีที่เปลียนไปโดยเเสดงอาการเหมือนกับคนที่กำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะแต่ก็ยังคงพูดเน้นย้ำให้ Undead นิรนามก้มลงไปดูให้ได้ จนสุดท้ายพระเอกของเราที่กำลังมีจิตใจว้าวุ่นเเละไม่ระวังตัวหลงคล้อยตามและยอมก้มลงไปดู แต่ทันใดนั้นเองในขณะที่ Undead นิรนามกำลังชะโงกหน้าออกไปเจ้าหมาลอบกัด Patches ก็บรรจงใช้บาทาถีบ!เข้าที่หลังของ Undead นิรนามอย่างสุดแรงจนเขาร่วงตกลงไปกระทบกับพื้นอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเหยื่ออยู่ในสภาพที่สู้ไม่ได้เจ้า Patches จึงได้เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองว่าเป็นพวกมิจฉาชีพที่จะคอยดักปล้นเหล่าผู้คนไม่ว่าจะเป็นนักบวช, ผู้หญิง, หรือว่าแม้แต่โจรด้วยกันเองมันก็เว้น โดยช่วงเวลาที่เจ้า Patches โปรดปรานมากที่สุดก็คือตอนที่ได้ปั่นหัวเหยื่อของมันให้สิ้นหวังก่อนที่จะตาย ( ภาพประกอบ : บาทาของเจ้า Patches ที่ได้ประทับลงบนหลังของ Undead นิรนามอย่างเต็มๆ ) ส่วนทางของ Undead นิรนามที่เสียทีร่วงตกลงมา เขาได้พยายามลุกขึ้นเดินและเดินโซสัดโซเสจนไปพบกับร่างของศพที่มีตะเกียง Skull Lantern อยู่ในมือ พระเอกของเราจึงถือวิสาสะหยิบเอามันมาใช้เสียเองเพราะเจ้าของคนเก่าไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว ( ภาพประกอบ : Skull Lantern เป็นของที่มักจะถูกใช้โดยพวก Necromancer และเป็นอีกเครื่องยืนยันว่าโครงกระดูกยักษ์ของ Nito จะเล่นงานทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ) Undead นิรนามได้ใช้เเสงสว่างจาก Skull Lantern ส่องไปรอบๆเพื่อหาทางออก แต่ก็เหมือนวาสนาดลบันดาลเพราะเขาไปพบกับ Rhea อีกครั้งหนึ่งเเต่นางอยู่ในสภาพที่ดูอิดโรยและกำลังสิ้นหวังเป็นอย่างมาก Undead นิรนามจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของนางพร้อมกับพูดปลอบโยนว่าทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อย Rhea เล่าว่าคณะเดินทางของนางได้ถูกเจ้า Patches หลอกปล้นสะดมเช่นกันและก็ถูกโยนทิ้งลงมายังข้างล่าง เเละพรรคพวกที่เหลือก็ต่างล้วนสิ้นหวังจนกลายเป็น Hollow กันไปหมดแล้ว ( ภาพประกอบ : Rhea ที่ตกลงมายังก้นเหวและเกือบจะต้องกลายเป็น Hollow ไปเสียแล้วแต่นางได้ถูก Undead นิรนามช่วยเอาไว้เสียก่อน ) เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็โมโหโกรธาเจ้า Patches สุดๆ(เเละระอายใจในการโกหก)จึงได้บอกให้เเม่นักบวชสาวรออยู่ตรงนี้ก่อนเดียวเขาจะจัดการทุกอย่างเอง จากนั้นพระเอกของเราก็ออกเดินทางต่อไปซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้สังหารสองผู้ติดตามของ Rhea ที่ได้กลายเป็น Hollow ไปแล้วจากนั้นก็ค้นพบบันไดทางขึ้นเเละเขาก็รีบเดินตรงปรี่กลับไปหาเจ้า Patches พร้อมกับกระโจนเข้าใส่ในทันทีจนเกิดการตะลุมบอลครั้งใหญ่ ทั้งคู่ต่างประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าเข้าใส่กันกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเเละนั่นก็ได้ไปสะกิดหูของเจ้าถิ่นในสุสานแห่งนี้เข้าจนได้... ( ภาพประกอบ : Vince และ Nico คือผู้ติดตามของนักบวชสาว Rhea ที่เดินทางร่วมกันมาตั้งแต่เมือง Thorolund แต่ทว่าพระนักรบอีกคนนามว่า Petrus กลับหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ) การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายได้ทำให้ข้าวของเเถวนั้นต่างกระเด็นกระดอนกระจัดกระจายกันไปทั่ว จนกระทั่งเจ้าโจรร้ายได้อาศัยจังหวะที่ Undead นิรนามล้มลงกับพื้นเข้ากระโดดขึ้นคร่อมเเละพยายามออกเเรงกดมีดสั่นเข้าไปที่กลางอกของ Undead นิรนามซึ่งก็กำลังพยายามสุดชีวิตที่จะดันมีดเล่มนั้นกลับออกไปให้ได้ ต่างฝ่ายต่างร้องตะโกนใส่กันราวสัตว์ป่าซึ่งเป็นการแสดงว่าวันนี้จะมีแค่คนๆเดียวที่รอดกลับออกไปได้... แต่อยู่ๆแรงกดในมือของเจ้า Patches ก็หยุดลงเพราะว่ามีง้าวสีดำเล่มใหญ่แทงทะลุอกของมันออกมา จากนั้นเจ้าโจรร้ายก็ถูกเหวี่ยงด้วยแรงอันมหาศาลจนลำตัวกระเด็นหลุดออกจากง้าวเเละไปกระเเทกกับดิน ( ภาพประกอบ : ภาพของเจ้าถิ่นเเห่ง Tomb of Giants ) เมื่อ Undead นิรนามตั้งสติได้เขาก็คว้าเอาตะเกียง Skull Lantern ที่ตกอยู่ใกล้ๆเขวี้ยงเข้าไปในความมืดซึ่งมันก็ได้เปิดเผยให้เห็นถึงชุดเกราะสีดำสนิทที่เมื่อเขาเห็นแค่แวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่ก็คือ Black Knight ซึ่งมาที่นี่ก็เพื่อป้องกันโล่แห่งความมืด Effigy Shield ซึ่งเคยเป็นอาวุธสำคัญของเหล่ากบฏทมิฬที่ได้รับจากเทพีแห่งบาป Velka เพื่อใช้ต่อต้านเหล่าทวยเทพแห่ง Anor Londo   ( ภาพประกอบ : ภายในเกมโล่ Effigy Shield เป็นโล่ที่มีพลังป้องกันธาตุไฟฟ้ามากที่สุดในเกม ) เจ้า Patches ที่กำลังบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดออกมาได้พยามพูดร้องขอชีวิตของจากเจ้าถิ่นตนนี้ทั้งการหยิบคำพูดและสำนวนช่างเจรจาต่างๆออกมาใช้ทั้งพยายามติดสินบนเเต่ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ Black Knight ยังคงเดินตรงมาที่มันซึ่งตอนนี้มีสภาพที่หวาดกลัวและสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับเหยื่อหลายๆคนที่ผ่านมาของมัน Undead นิรนามจึงได้อาศัยจังหวะนี้รีบวิ่งหนีกลับไปหา Rhea พร้อมๆกับเสียงร้องของเจ้าโจรร้ายที่ดังไล่หลังมาก่อนที่จะเงียบสนิทไป... พระเอกของเรารีบพยุง Rhea ขึ้นมาจากนั้นก็หัก Homeward Bone เพื่อให้ทั้งคู่หนีออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ได้เสียที!     เกมเดินหมากของเทพเจ้า          ในอดีตเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่และคำสาป Curse of Undead เพิ่งจะมีการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกได้มีข่าวอื้อฉาวลือสะพัดว่าพระชายาของ Gwyn เป็นผู้ให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฏทมิฬ โดยความผิดในครั้งนี้ก็ได้ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นเทพเจ้านอกรีตและถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองหลวง Anor Londo จนหมดสิ้น ซึ่งนามของพระนางก็คือ Velka เทพเจ้าแห่งความผิดบาป… ( ภาพประกอบ : เทวรูปของ Velka ที่ถูกประสมเข้ากับความเชื่อของ Way of White ซึ่งตั้งอยู่ใน Undead Burg ) แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเหล่าเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ได้เสื่อมอำนาจลงหลังจากการตายของ Gwyn ก็มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่เลือกจะกลับมาบูชานางอย่างเช่นเมือง Undead Burg และ Carim เป็นต้น โดยปัจจุบันเทพเจ้า Velka ได้ผันตัวไปอยู่เบื้องมากขึ้นและยังมีส่วนช่วยในการค้นหา Undead ผู้ถูกเลือกตามคำนายเพราะว่าต้องการให้ Undead ผู้ถูกเลือกเข้าไปปลดปล่อยเหล่าสาวกอันซื่อสัตย์ของนางที่ยังถูกคุมขังอยู่ใน Painted World of Ariamis และส่วนหนึ่งก็เพราะว่า Velka ยังคงเป็นห่วงเป็นใยลูกของตน(Gwyndolin)ที่จำต้องสืบทอดตราบาปของ Gwyn ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในเมือง Anor Londo  ( ภาพประกอบ : วิธีเดียวที่จะเข้าไปยัง Painted World of Ariamis ได้นั้นก็คือต้องอาศัยตุ๊กตา Peculiar Doll เป็นกุญแจนำทางไปสู่โลกต่างมิติ...โลกที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นความหวังครั้งสุดท้ายของมวลมนุษย์  )          ย้อนกลับมาที่ Undead นิรนามซึ่งได้ช่วย Rhea ให้รอดพ้นออกมาจากสุสานใต้ดินได้สำเร็จ ทั้งสองตรงกลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อพักผ่อนร่างกายหลังจากการตรากตรำอันแสนยาวนานในสุสาน แต่ทว่าดูเหมือนพระเอกของเราจะเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างให้แก่แม่นักบวชสาวคนนี้มากเป็นพิเศษและเฝ้าคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่างจนกระทั่ง Rhea ได้ผล็อยหลับไป Undead นิรนามจึงได้มีโอกาสเข้าไปพบปะกับผู้คนที่อาศัยอยู่ใน Firelink Shrine ซึ่งกำลังพูดคุยสุงสิงกันอยู่รอบ Bonfire ตามปกติ เขาได้เล่าถึงความยากลำบากต่างๆที่ได้พบเจอภายใน Catacomb ตลอดจนสิ่งแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางให้กับทุกคนฟัง ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์ในเรื่องเล่าของ Undead นิรนามเสียเท่าไรนั่นก็คือเจ้าหมาขี้แพ้ Chestful Warrior เจ้าเก่านั่นเอง ที่ได้รู้สึกคันปากจึงหาเรื่องพูดแทรกขึ้นมาว่ามีอยู่วันหนึ่งมันได้เห็นคนปีนขึ้นไปยังรังของอีกายักษ์ที่อยู่บนหลังคาของโบสถ์และถูกเจ้านกบินโฉบลอยหายขึ้นฟ้าไป...ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงที่ไม่ดีอยู่เเล้วของเจ้า Chestful Warrior ก็ได้ทำให้ทุกๆคนต่างเมินเฉยในเรื่องเล่าที่เเสนไร้สาระของมันไป ( ภาพประกอบ : รังของอีกายักษ์ใน Firelink Shrine ) เจ้า Chestful Warrior พยายามยืนยันว่าสิ่งที่มันพูดนั้นเป็นเรื่องจริงแต่ทุกคนๆก็ต่างได้พากันแยกย้ายกลับไปนอน...เเละในคืนนั้นขณะที่ Undead นิรนามกำลังหลับลึกเขาก็ได้ฝันเห็นภาพนิมิตเป็นวิหคยักษ์ตัวใหญ่สีดำที่กำลังบินเหินไปมาบนท้องฟ้า ขนสีดำของมันค่อยๆร่วงหล่นตกลงมาเยอะขึ้นและเยอะขึ้นเรื่อยๆ และ ณ ตรงสุดสายตาอันเเสนไกลก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดคลุ่มสีดำทั้งตัวซึ่งกำลังพูดกระซิบพึมพำไปมาด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจเเละที่เเปลกประหลาดไปยิ่งกว่านั้นก็คือ Undead นิรนามรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกเคลื่อนที่ให้เข้าไปใกล้กับหญิงสาวในชุดดำมากขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่ขาไม่ได้ขยับ พร้อมกับเสียงพูดอันแสนเย็นจะเยือกว่า “จงตาหาตุ๊กตา” จากนั้นนางก็ใช้นิ้วชี้ขึ้นไปบนฟ้าซึ่งเมื่อพระเอกของเราเงยหน้าตามขึ้นไปดูก็เห็นภาพของวิหคยักษ์สีดำที่กำลังบินโฉบพุ่งลงมาที่ตัวเขา! ด้วยความที่ตกใจ Undead นิรนามถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเขาพยายามตั้งสติและมองไปยัง Rhea ซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆเพื่อให้มั่นใจว่านางยังคงปลอดภัยดี ใบหน้าในยามหลับของ Rhea ได้ทำให้พระเอกของเรารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะถูกขัดด้วยเสียงร้องของเจ้าอีกายักษ์ที่กำลังจ้องมองมายัง Undead นิรนามด้วยตาที่ไม่กระพริบราวกับว่ามันรับรู้ถึงความฝันเมื่อครู่ของเขาก็ไม่ปาน… ( ภาพประกอบ : ภายในเกมเราสามารถใช้อาวุธระยะไกลเพื่อโจมตีอีกาให้หนีไปได้ แต่ก็จะทำให้เนื้อเรื่องเสริมบางส่วนถูกตัดออกไปด้วย )   คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบเอ็ด “สุสานของเหล่าคนโลภ กับความลับของวิหคทมิฬ” โดยสำหรับตัวผมมันเป็นหนึ่งในบทที่เรียกได้ว่ายากสุดๆไปเลยเพราะต้องพบเจอปัญหาในการเรียบเรียงและเชื่อมโยงเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเล่าเกือบทั้งหมดจำเป็นจะต้องอิงข้อมูลจาก “Gameplay” ซึ่งไม่ใช่ข้อดิบๆที่เราจะเอามาเล่าได้ในทันที ซึ่งมักจะมีปัญหาในเรื่องของความสมเหตุสมผลอย่างเช่นการปรากฏตัวของ NPC ในบางสถานที่หรือเหตุจูงใจต่างๆของตัวละครที่จำเป็นต้องปูเพื่อนำทางเข้าสู่เนื้อหาสวนถัดๆไป ซึ่งท่านผู้ชมไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเนื้อหาหลักๆที่เกี่ยวข้องกับ Lore ของเกมจะยังคงถูกเก็บไว้เช่นดังเดิม เพียงแค่ผมใช้รูปแบบใหม่ๆในการเล่าเรื่องให้เหมาะสมมากขึ้น เอาเป็นว่าในบทต่อไป Undead นิรนามจะได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองที่เขามีต่อคำทำนายไปตลอดกาล และการเดินทางครั้งใหม่ที่จะนำเขาไปพบกับมฤตยูฤใต้ท่อน้ำของเมือง Undead Burg… ( ภาพประกอบ : ปีศาจกระหายเลือดเเห่งคุ้งน้ำใต้ดิน The Depths )  
22 May 2020
ที่เกมสไตล์ Souls ได้รับความนิยม เป็นเพราะว่า "เกมมันยากดี" แค่นั้นจริงๆ เหรอ?
Dark Souls คือชื่อของเกม Action RPG จากทาง From Software ที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2011 ด้วยความยาก แบบยากบัดซบทำให้ Dark Souls กลายเป็นชื่อที่เหล่าเกมเมอร์ผู้ชื่นชอบความท้าทายต้องรู้จักเกมนี้ทุกคน เกือบทศวรรษผ่านไป เกม Dark Souls ได้กลายเป็นเกมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกม จนถึงขนาดมีการระบุรูปแบบการเล่นของเกมว่า "เป็นเกมสไตล์ Souls (Souls-like game)" เลยทีเดียว ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีเกมมากมายเลยที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความยากมากๆ เหมือนกับ Dark Souls เพื่อดึงดูดเหล่าผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็น Bloodborne, Nioh, Sekiro, Deep Down, Code Vein หรือ Mortal Shell ที่เพิ่งเปิดตัวไป มันทำให้ผมเกิดคำถามว่า "แล้วทำไม เกมที่ยากมากๆ จนทำให้ใครหลายคนยังเล่นไม่สามารถเคลียร์ได้เลยสักครั้งแบบนี้ ถึงกลายเป็นเกมสไตล์ที่โด่งดังมากๆ ได้? แค่เพราะว่าเกมแนวนี้มันยากดี เท่านั้นเหรอ?" บทความนี้มันเกิดขึ้นจากการคิดเพื่อหาคำตอบคำถามข้างต้นอย่างเป็นเหตุเป็นผลของตัวผมเอง ซึ่งผมอยากนำคำตอบที่ผมได้มาแบ่งปันให้กับเพื่อนชาว GameFever Th ทุกคนครับ ก่อนจะไปพูดถึงปัจจัยต่างๆ ผมอยากจะนำเสนอความคิดเห็นของตัวเอง เกี่ยวกับการที่เกมหนึ่งเกมจะทำให้คนเล่นรู้สึก "สนุก" จนเกิดการบอกต่อ และทำให้เกมนั้นโดงดังได้เป็นผลลัพธ์ก่อน ถ้ามเกิดว่าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยครับ ความรู้สึกด้านบวกที่มีต่อเกม การที่คนเราจะเล่นเกมใดเกมหนึ่งได้นาน หรือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเล่นเกมนั้นจนจบได้ มันต้องเกิดจากความรู้สึก "ด้านบวก" ที่มีต่อเกมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก "อยากเอาชนะ" ,ความรู้สึก "สนุก", หรือความรู้สึก "ตื่นเต้น" ล่วนแล้วแต่ความรู้สึกด้านบวกทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงคิดว่าการที่ผู้เล่นหลายๆ คน จะบอกว่าเกม Dark Souls หรือเกม สไตล์ Souls มันสนุกได้ ตัวเกมเหล่านั้นมันต้องมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เหล่าผู้เล่นได้รับความรู้สึกด้านบวกต่างๆ ได้ โดยจากการที่ผมใช้เวลานั่งคิด รวมถึงหาคำตอบอยู่เป็นอาทิตย์ ผมได้คำตอบว่าปัจจัยที่ว่ามานั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่องหลักๆ ซึ่งจะขออธิบายต่อข้างล่างนี้ครับ ความอยากรู้ที่มีต่ออะไรบางอย่างในเกม (เนื้อเรื่อง, วิธีเอาชนะบอส, และอื่นๆ) ความอยากรู้อยากเห็นนับเป็นปัจจัยแรกๆ เลยที่จะทำให้เหล่าเกมเมอร์ตัดสินใจจะซื้อเกมต่างๆ ม่าเล่น ผมเชื่อว่าความรู้สึกแบบ "เกมมันดูน่าเล่นดีนะ ถ้าเล่นจะสนุกรึเปล่า?", "เนื้อเรื่องมันน่าสนใจดีอาจจะสนุกก็ได้?" ,"เกมเพลย์จะเป็นแบบไหน?" เป็นความรู้สึกแรกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นเกมบางอย่างที่มันน่าเล่นมากๆ แล้วยิ่งเป็นเกมที่มีคำรีวิว หรือคำการพรรณนาถึงความยากของเกมไปต่างๆ นานาแบบ Dark Souls ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของเหล่าเกมเมอร์ได้มากกว่าปกติซะอีก แน่นอนว่าเกมเพลย์มันยากจริงๆ สมคำร่ำลือ เมื่อคำร่ำลือเป็นจริง ก็จะยิ่งเกิดการบอกต่อ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงรวมไปจนถึงกระแสของเกมดังมากขึ้นเรื่อยตามไปด้วย ยังไม่ใช้แค่นั้น ด้วยความที่เกมมันยากมากๆ คงมีหลายคนที่เล่นเกมนี้ยังไงก็ไม่ผ่านสักที หรือกว่าจะสู้บอสชนะได้ 1 ตัวได้ ก็ต้องใช้เวลาเล่นไปแล้วไม่น้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง บางคนอาจเล่นยังไงก็เอาชนะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งจากที่ได้ไปลองถามความเห็นของคนที่รู้จักมามากมายว่า "ถ้าเกิดว่าต้องเล่นเกมที่ยากแบบนี้ แล้วไม่ผ่านสักที่จะทำยังไง?" และนำคำตอบมาวิเคราะห์ด้วยตนเอง ทำให้ผมสรุปผลลัพธ์ที่เป็นไปได้หลังจากนั้นออกมา 3 แบบครับ 1.) ยอมแพ้ที่จะเล่นเกมนี้ให้ผ่านด้วยตัวเอง แต่ด้วยความอยากรู้ว่าเกมนี้จะจบยังไง หรือช่วงท้ายๆ ของเกมจะยากขนาดไหน จึงได้เริ่มที่จะดูคนเก่งๆ เล่นเกมแนวนี้ผ่านทาง Youtube หรือ Media อื่นๆ 2.) เริ่มหาข้อมูลว่าจะผ่านจุดนี้ได้ยังไง จากนั้นเริ่มเอาวิธีเหล่านั้น ไปใช้เพื่อด้วยความ อยากรู้ ว่ามันจะได้ผลมากน้อยขนาดไหน 3.) เดินหน้าเล่นเข้าไปเรื่อยๆ เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง และเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง เพราะความอยากรู้เหมือนกันว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ จะสังเกตุได้ว่าผลลัพธ์แบบไหน ก็ล่วนแล้วแต่จะสร้างความ "อยากรู้" ทั้งสิ่น โดยเมื่อคนเราเริ่มสงสัยในอะไรบางอย่าง พอได้รู้ถึงตำตอบในสิ่งที่สงสัย มันมักจะทำให้เราเกิดความรู้สึกทางบวกครับ และยิ่งกับเกมที่มีความยากมากๆ แบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเล่น หรือคนดูจะตั้งคำถามในหัวตัวเองอย่างต่อเนื่อง "แบบนี้จะผ่านยังไง?" , "เอาชนะได้จริงๆ เหรอ?" , "แล้วเนื้อเรื่องจะจบยังไง?" , "จะมีตัวอะไรที่ยากกว่านี้รออยู่ข้างหน้ารึเปล่า?" คำถามเหล่านี้ทั้งหมดจะทำให้ จำเป็นต้องเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อหาคำตอบของคำถามเหล่านั้น รู้ตัวอีกที่ก็ดู หรือเล่นเกมนั้นจนจบซะแล้ว ซึ่งจะพบที่หลังว่า ตัวเองรู้สึกสนุกไปกับการหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นมากขนาดไหน พอเกมมันทำให้รู้สึกดี ก็จะเกิดการสรรเสริญ รวมถึงบอกต่อในเวลาต่อมาครับ ปริศนาร้อยแปดพันเก้าที่มักจะมีให้หาในเกมประเภทนี้ ปริศนาของเกมเป็นอีกหนึ่งจุดใหญๆ ของเกมแนวนี้ที่ทำให้เกิดความ "อยากรู้" เช่นกัน ทั้งยังเป็นสิ่งที่เพิ่มเวลาเล่นให้กับเหล่าเกมเมอร์ได้เป็นอย่างดี (ยิ่งกับคนที่ต้องจบแบบ 100% ถึงจะเลิกเล่น ยิ่งแล้วใหญ่) เกมสไตล์ Souls นั้นมักจะมาพร้อมกับความลับของเกม หรือไม่ก็ Side Quest จำนวนมาก โดยจากการที่ผมได้พูดคุย ถามตอบ คำถามเกี่ยวกับเกมสไตล์ Souls กับผู้เล่นหลายคน มันทำให้ผมสรุปได้ว่า ควรระบุเกมสไตล์ Souls ว่าเป็นเกมแนว "Modern Dungeon Crawler  Action RPG Game" ครับ ถ้ามอนย้อนกลับไปสักนิดเกมแนว Dungeon Crawler นั้นมักจะมาพร้อมกับปริศนาร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว ซึ่งปริศนาต่างๆ จะนำมาซึ่ง "อยากรู้" แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการค้นหา รวมไปจนถึงแรงที่อยากจะไขปริศนาต่างๆ ให้ได้อีกด้วย คงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกยินดีที่จะได้รับหลังจากสามารถไขปริศนาได้ ยิ่งเป็นปริศนาของเกมมี่มันยากด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกยินดีมากกว่าปกติด้วยซ้ำ ทั้งยังเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้เล่นเกิดความภาคภูมิใจมากๆ ด้วยครับ ปริศนาในเนื้อเรื่องเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ทั้งเหล่าผู้เล่น และ Youtuber ให้ความสนใจมากๆ ด้วยความที่เกมตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะถูกสร้างโดย From Software ทำให้สไตล์การเล่าเรื่องของเกมแนวนี้ส่วนใหญ่ จะไม่ได้ถูกเล่าแบบตรงไปตรงมาเช่นกัน หากแต่มักจะทิ่งปริศนา และคำอธิบายไว้ในไอเทมต่าง ให้ผู้เล่นไปมโนกันเอาเอง ซึ่งจุดนี้มองเผินๆ อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ ยุ่งยาก น่ารำคาญ แต่เชื่อเถอะครับว่า ขนาดตอนนี้เกมวางจำหน่ายมาหลายปีมากๆ แล้ว แต่ก็ยังมีผู้เล่นมากมาย ที่พยายามนำเสนอทฤษฎีเนื้อเรื่องของเกม Dark Souls ใน Youtube อยู่เลยครับ ทั้งหมดนี้จะทำให้เหล่าผู้เล่นเริ่มที่จะ โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ต่างๆ เพื่ออวด Achievement ที่ตัวเองสามารถเล่นจนได้รับมา หรือไม่ก็เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความลับต่างๆ ของเกม รวมไปจนถึงถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฎีของเนื้อเรื่องเกมกันด้วย เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็จะทำให้เกิด Community ของเกม ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของเวลา ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ Community ก็จะยิ่งเติบโต้มากขึ้นเท่านั้น ตัวเกม Dark Souls ก็มีอายุกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช้เรื่องแปลกเลยที่ Community ของเกมตอนนี้จะใหญ่มากๆ ทั้งหมดนี้มันทำให้ "ชื่อเสียงของเกม" ดังขึ้นไปด้วยนั้นเองครับ ความยากที่หาไม่ค่อยได้แล้วในเกมยุคปัจจุบัน เอาจริงๆ แค่ความอยากรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างเดียว มันไม่มีทางทำให้เกมดังขนาดนี้ได้อยู่แล้วครับ จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นเกิดความสนุกได้จริง แต่ความสนุกจากเรื่องเหล่านี้อย่างเดียวไม่มีทางทำให้เกมดังแน่นอน (อาจะสังเกตุได้ว่าจริงๆ โลกนี้มีเกมที่สนุกมากมาย แต่เกมที่สนุก และไม่เป็นที่รู้จักก็มีเยอะเช่นกัน) คำถามคือ "แล้วอะไร ที่ทำให้เกมแนวนี้ดังมากๆ ในช่วงหลังๆ มานี้? อะไรที่เกมสไตล์ Souls เท่านั้นที่มีในยุคนี้" คำตอบนั้นง่ายแสนง่าย "ความยาก" นั้นแหละครับ "ถ้าแค่ความยากกับสนุก มันทำให้เกมดังได้จริงๆ ทำไมเกมมันไม่ดังมาตั้งแต่ยุค Demon Souls แต่มาดังจริงๆ ในยุคของ Dark Souls 3 แทนละ?" ผมเดาว่าคงเป็นคำถามที่ผู้อ่านน่าจะคิดกันอยู่ตอนนี้ครับ แต่อย่าลืมว่าการเราจะบอกว่าเกมไหน "ยาก" มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้น "ยาก" ขนาดไหนด้วยเช่นกันครับ โดยในยุคของ Demon Souls มันเป็นเกมในช่วงปี 2009 ซึ่งในยุคนั้นเกมส่วนใหญ่ยังมีความ "ยาก" อยู่พอสมควรครับ แตกต่างกับยุคปัจจุบัน ที่หลายๆ เกมมีระบบใหม่ๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมมันง่านขึ้นเป็นอย่างมาก เช่นระบบ ขาดของกระสุน หรือยาเกมก็จะส่งมาให้ของ Resident Evil ยุคหลังๆ, ระบบ Auto Battle ของเกม NieR: Automata, หรือการนิยมสร้างเกมที่เล่นแบบ Co-Op ได้ เพื่อให้ผู้เล่นเข้ามาช่วยกัน ก็เป็นหนึ่งในระบบที่ทำให้การเล่นเกมมันง่ายขึ้นเช่นกัน ยังไม่นับเรืองที่ว่าบางเกมมีความยาวของเนื้อเรื่องที่น้อยมากๆ จนสามารถเล่นให้จบได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงอีกครับ แน่นอนว่าเกมส่วนใหญ่มันมาพร้อมกับโหมดความยากต่างๆ ให้เล่นด้วย ซึ่งโหมดที่มันยากสุดของทุกเกม มันก็คงยากมากๆ จริงครับ แต่การที่เกมยากเป็น Default กับเกมที่มีความยากเป็น Optional มันให้ความรู้สึกแตกต่างกันมาก ตอนที่เอาชนะได้ครับ เพราะถ้าหากผู้เล่นสามารถเลือกเพิ่มความยากของเกมด้วยตัวเองได้ นั้นจึงหมายความว่าพวกเขาก็สามารถลดความยากของเกมได้ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เกมสไตล์ Souls ไม่มีทางเลือกแบบนั้นให้กับผู้เล่นครับ ถ้าหากว่าสู้ไม่ผ่านก็มีแต่ต้องท้าทายซ้ำแล้วซ้ำอีก, เรียนรู้มากยิ่งขึ้น, ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะได้เท่านั้น ความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้หลังจากเคลียร์เกม ก็จะแตกต่างเช่นกันครับ ดังนั้นในความคิดของผม สิ่งที่หาไม่ค่อยได้แล้วในเกมยุคใหม่ๆ ก็คือ "ความยาก" หรือ "ความท้าทาย" ที่บังคับให้ผู้เล่นทุกคนต้องเจอเหมือนๆ กันครับ แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ในเกมสไตล์ Souls สิ่งเหล่านี้ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึก "ตื่นเต้น" ที่เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกด้านบวกด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้สามารถดึงดูดเหล่าผู้ที่แสวงหาความท้าทาย และผู้ที่ต้องการเป็นหนึ่ง ให้เข้ามาเล่นเกมแนวนี้ได้ อย่างตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดว่าเกมของยุคใหม่ๆ มันถูกทำออกมาให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้ง ก็ง่ายเกินไป แน่นอนว่าเมื่อเกมสามารถดึงดูดผู้เล่นได้เยอะ ชื่อเสียงของเกม ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน สรุป โดยจากที่ผมได้วิเคราะห์แบบจริงจัง รวมไปจนถึงการถามความเห็นกับเหล่าผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ ทำให้สรุปได้ว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของเกมแนวนี้เลยคือ "ความยาก" อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าเกมมันยากมากๆ นี่แหละ มันเลยทำให้เหล่าผู้เล่นที่สามารถพิชิตเกมนี้ได้เกิดความรู้ที่ดีมากๆ ตามไปด้วย และด้วยความที่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีก จึงทำให้เกิดการตามหาเกมที่เหมือนๆ กันมาเล่น จากนั้นจะเป็นไปตามกลไกตลาดครับ เมื่อมีผู้ที่ต้องการจะเล่นเกมแนวนี้ ก็จะมีผู้ที่ต้องการจะสร้างเกมแนวนี้ออกมาขายเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปความนิยมของเกมแนวนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เราได้เห็นเกมสไตล์ Souls มากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่ถ้าแค่ทำเกมออกมาให้ยากๆ เข้าไว้อย่างเดียวมันทำให้เกมขายได้จริง งั้นบริษัทเกมทั้งโลกคงทำเกมยากๆ ออกมาขายกันเต็มไปหมดแล้วครับ อาจสังเกตุได้ว่า จริงๆ ตอนนี้มันมีเกมสไตล์ Souls อยู่เต็มตลาดเลยครับ แต่เกมที่ดังจริงๆ มันมีไม่กี่เกมเท่านั้น "แล้วทำไมเกมเหล่านั้นถึงไม่เป็นที่รู้จักหละ?" คำตอบมันง่ายๆ เลยครับ "เพราะเกมเหล่านั้นมันไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ทำให้ตัวเองเป็น เกมสไตล์ Soul ที่ดี" ดังนั้นผมจะขอสรุปว่า เกมสไตล์ Soul ดังขึ้นมาได้ เพราะว่า เกมมันยาก อย่างไม่ต้องสงสัย แต่การที่แต่ละเกม จะดังจนเป็นที่รู้จักได้ มันจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มากกว่าแค่ ความยาก ของเกมครับ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่
24 Apr 2020
ให้เกมพาไป : เราต้อง ‘เข้าใจ’ เนื้อเรื่องเกมหรือไม่จึงจะสนุก?
เมื่อประมาณสิบเก้าปีที่แล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์สยองขวัญญี่ปุ่นเรื่อง ‘ไคโร ผีอินเตอร์เน็ท’ ของ คิโยชิ คุโรซาวะ (ผู้กำกับ Tokyo Sonata) มันเป็นประสบการณ์ที่ติดตรึงจมลืมแทบไม่ลง ด้วยความหลอนที่ส่งผ่านออกมาในตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง เป็นความน่ากลัวจากองค์ประกอบทั้งภาพและการลำดับเนื้อหา แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อกลั่นกรอง ‘สาร’ ที่ตัวหนังต้องการจะสื่อออกมา แลกมากับการข่มตานอนหลับไม่ลงไปถึงหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ (ซึ่งภาพยนตร์ของผู้กำกับท่านนี้ก็มีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ ผู้เขียนขอแนะนำ) ย้อนกลับมาที่แวดวงวิดีโอเกม หลากหลายชิ้นงานในช่วงระยะเวลานับสิบปี ก็มีวิวัฒนาการจากการโดดเด้งของจุดพิกเซลบนหน้าจอ สู่ความสมจริงของภาพ เสียง ไปจนถึง ‘เนื้อหา’ ซึ่งแน่นอนว่า ได้ใช้เทคนิคของภาพยนตร์เข้ามาเป็นส่วนประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความลุ่มลึก และนำเสนอออกมาได้อย่างคมคายน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ในความลุ่มลึกที่ว่านี้ มันก็ตามมาด้วยคำถามหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนั่นคือ… เราจำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ เนื้อเรื่องของเกมหรือไม่ ถึงจะสามารถสัมผัสความสนุกของชิ้นงานเกมหนึ่งๆ ได้? นี่เป็นคำถามที่เริ่มจะได้รับการขับขานขึ้นมามากขึ้นทุกขณะ ผ่านชิ้นงานที่เริ่มจะซ่อน ‘สาร’ บางอย่างที่ไม่สามารถบ่งบอกหรือทำความเข้าใจได้ตั้งแต่แรกเริ่มของการเล่น ไม่ว่าจะเป็นผลงานเกมแอ็คชันอย่าง Control ของค่าย Remedy Entertainment ไปจนถึง Death Stranding ของฮิเดโอะ โคจิมะ ที่เนื้อหา ไม่ได้ถูกบอกกล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนประกอบปลีกย่อยที่ผู้เล่นจะต้องทำการปะติดปะต่อด้วยตนเองไปจนถึงปลายทาง สำหรับผู้เขียนแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อน ค่อนข้างที่จะซีเรียสกับการให้ความสำคัญทางด้านเนื้อเรื่องอยู่ไม่น้อย แน่ล่ะ เรื่องราวต่างๆ มันคือการสรรสร้างจากผู้พัฒนา การที่จะเดินดุ่มเล่นเกมอย่างบอดใบ้ Skip เนื้อหาอย่างไม่สนใจ ก็ออกจะเป็นการไม่เคารพต่อความพยายามของทีมเขียนบทจนเกินงามไปสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป และได้สัมผัสชิ้นงานสายบันเทิงอื่นๆ เพิ่มเติม มุมมองของผู้เขียนที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘เนื้อหา’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชิ้นงานวิดีโอเกม ก็เปลี่ยนไป และพบว่า บางที เราอาจจะไม่จำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ มันทั้งหมด เพื่อสัมผัสรับกับความสนุกที่ชิ้นงานนั้นๆ มีให้ก็เป็นได้ เพื่ออธิบายแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง ผู้เขียนขออนุญาตทำการสังเคราะห์องค์ประกอบของการนำเสนอชิ้นงานออกเป็นสองส่วนหลักสำคัญด้วยกัน นั่นคือ ‘เนื้อหา (Content)’ และ ‘บริบท (Context)’ สำหรับเนื้อหาหรือ Content นั้น ก็คือรูปแบบการเล่น การนำเสนอด้านกราฟิก เสียง และงานศิลป์ต่างๆ ที่ผู้เล่นสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับมันได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมแนวแอ็คชัน เกมสวมบทบาท หรือเกมผจญภัย เป็นองค์ประกอบที่สามารถควบคุมได้ และเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่ก่อให้เกิดเป็นชิ้นงานเกมขึ้นมา ส่วนในด้านของ Context หรือบริบทนั้น คือ ‘สาร’ ที่ชิ้นงานนั้นๆ ต้องการจะสื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน องค์ประกอบด้าน Lore หรือพื้นหลัง ไปจนถึง Message ที่สะท้อนมุมมองที่ผู้เขียนบทต้องการจะสื่อและล้อไปกับเรื่องราวของโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม มา ณ จุดนี้ ดังที่กล่าวไปก่อนข้างต้น ผู้เขียนเคยให้ความสำคัญกับ Context มากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า ทั้ง Content และ Context ต่างก็เป็นสองด้านของหนึ่งเหรียญที่รับใช้ซึ่งกันและกัน ไม่สามารถขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้ ซึ่งในชิ้นงานที่มีคุณภาพ จะไต่เส้นของความสมดุลที่พอดีไม่มีสิ่งใดขาดหรือเกิน กล่าวคือ การนำเสนอด้านภาพ เสียง เกมการเล่น ที่เป็น Content ที่ดี จะเป็นตัวดึงดูดให้คนเล่นสนใจในบริบทหรือ Context ที่มีอยู่ในพื้นหลัง หรือกลับกัน บางชิ้นงาน นำเสนอ Context ที่น่าสนใจ เพื่อจูงมือผู้เล่นให้สามารถทำความเข้าใจในความเป็นไปของ Content ที่ตัวเกมต้องการจะนำเสนอ ตัวอย่างของชิ้นงานเกมที่มีส่วนประกอบของ Content และ Context ที่พอดีที่ผู้เขียนพอจะนึกออกได้ในขณะที่เขียนงานชิ้นนี้ ก็คือซีรีส์ Dark Souls , Bloodborne และ Sekiro : Shadows die twice ของ From Software ที่เข้มข้นด้วยการเล่นสุดท้าทายเป็น Content และซุกซ่อน Context ที่บอกใบ้ความเป็นไปของโลกของเกมไปในตลอดระยะทาง (ซึ่งเปิดกว้างมากพอสำหรับการตีความ เช่นเดียวกับบทความในเว็บไซต์ Gamefever ที่ดำเนินมาถึงตอนที่เก้าที่คุณสามารถเปิดดูได้จาก ที่นี่) หรือเกมอย่าง Persona 5 ที่ขับเคลื่อนด้วย Context เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสังคมของคนรุ่นใหม่ ที่ดัดแปลงและนำเสนอออกมาเป็น Content การเล่นอันหลากหลายมากมายด้วยสีสันตลอดระยะเวลาการเล่นหลายร้อยชั่วโมงก็ตาม กลับกัน แม้ว่าเกมอย่าง Doom และ Doom Eternal จะมีความพยายามของผู้พัฒนาที่ใส่บริบทของเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่คุณก็สามารถสนุกกับบั่นกบาลกองทัพปิศาจได้แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ตาม หรือเกมอย่าง Death Stranding ที่แม้จะมีเกมเพลย์ที่ค่อนข้างจะซ้ำไปซ้ำมา แต่คุณอาจจะเพลิดเพลินกับโลกเบื้องหลังและเนื้อหาที่ถูกนำเสนอ ที่ทำให้มองข้ามข้อจุกจิกต่างๆ ไป (และเช่นเดียวกัน คุณสามารถอ่านบทวิเคราะห์เรื่องราวของเกมนี้ได้จาก ที่นี่) ท้ายที่สุดนี้ เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชิ้นงานวิดีโอเกม ได้รับการวิวัฒน์พัฒนาให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับสื่อบันเทิงชนิดอื่นๆ และมีเทคโนโลยีในการนำเสนอที่มากพอที่จะรองรับได้ทั้ง Context และ Content อย่างเท่าเทียมกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณต้องรู้สึก ‘สนุก’ ไปกับมัน ซึ่งนั่น คือปลายทางที่สำคัญที่สุดของการสร้างสรรค์ชิ้นงานวิดีโอเกม เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนเคยได้รับการแนะนำจากอาจารย์สาขาภาพยนตร์วิจารณ์สมัยเรียนมหาวิทยาลัย (หลายปีหลังจากรับชมภาพยนตร์ผีสยองของคิโยชิ คุโรซาวะ) ที่จำได้ไม่เคยลืมว่า เราอาจจะต้องยอม ‘ศิโรราบ’ ให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เลิกตั้งธงเอาไว้ในใจ และให้ ‘หนังมันพาไป’ สู่จุดหมาย บางที …. ชิ้นงานวิดีโอเกมก็อาจจะไม่แตกต่างกัน ให้ ‘เกมพาไป’ พาไปสู่จุดหมาย พาไปสู่ปลายทาง นั่นคือความสนุกที่คุณจะได้รับจากการเล่นชิ้นงานหนึ่งๆ ไม่ว่าพาหนะของการไปถึงจุดหมายนั้นจะเป็น ‘บริบท’ หรือ ‘เนื้อหา’ ของเกมนั้นๆ ก็ตาม…
17 Mar 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 9 ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้าโดยในบทนี้จะเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อจากการที่ Undead นิรนามของเราได้มีชัยเหนือเจ้าสัตว์ประหลาด Gargoyle และสามารถลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบแรกได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นเหมือนสัญญาณไฟที่บอกว่าผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวออกมาเเล้ว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ทุกท่านก็สามารถติดตามได้ใน  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้า “ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น” ( ภาพประกอบ : การลั่นระฆังที่ Undead Burg เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด   เจ้าหญิงแห่งแคว้นสีทอง หลังจากที่ Undead นิรนามได้ลั่นระฆัง Bell of Awakening เเละกำลังจะเดินทางออกมาจากโบสถ์ เขาก็บังเอิญได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงเหล็กกระทบกัน เเละเมื่อออกตามหาที่มาก็ได้พบว่ามันเป็นเสียงที่เกิดจากการตีเหล็กของชายชราคนหนึ่งที่รูปร่างบึกบึนกำยำและมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อย ชายแก่คนนั้นได้แนะนำชื่อตัวเองว่าเขาชื่อ “Andre” ซึ่งเป็นช่างตีอาวุธจากอาณาจักร Astora อันเเสนห่างไกล  ( ภาพประกอบ : Concept Art ของตาเฒ่า Andre... น่ากลัว!. ) หลังจากเเนะนำตัวเสร็จตาเฒ่า Andre ก็ได้เหลือบไปเห็นอาวุธของ Undead นิรนามที่มองเเค่เเวบเดียวก็รู้ทันทีว่ามันผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง เขาจึงเเทรงพูดเชิงดูถูกดูแคลนว่าอาวุธเเบบนี้จะเอาไปสู้รบปรมมือกับใครได้ เเม้ว่าผิวเหล็กภายนอกจะดูเงาวับเเต่ภายในนั้นคงเเตกร้าวราวกับกิ่งไม้เก่าๆที่เเค่โดนลมเเรงก็หักจากลงต้นไม้...แต่ถ้าหากว่า Undead นิรนามมีความมุ่งหมั่นที่จะเป็นผู้ถูกเลือกของเหล่าทวยเทพอย่างเเรงกล้าละก็ ภายในป่า Darkroot Garden ที่อยู่ใกล้ๆได้มีตำนานเล่าขานถึงสิ่งของล้ำค่าบางอย่างที่สามารถใช้ตีอาวุธที่เเข็งเเกร่งได้...ซึ่งถ้าหากว่าพระเอกของเราไปเอามันมาได้บางทีตัวเขาก็อาจจะช่วยสร้างอาวุธใหม่ๆให้กับ Undead นิรนามก็เป็นได้ (สรุปง่ายๆก็คือตาเฒ่า Andre ใช้ให้เราไปหาของที่อยากได้มาให้) ( ภาพประกอบ : ป่า Darkroot Garden ว่ากันว่าเป็นป่าลับเเล ซึ่งใครก็ตามที่เดินทางเข้าไปก็ยากนักที่จะหาทางกลับออกมาเเบบมีชีวิต )  เมื่อได้ฟังเช่นนั้นด้วยความมีน้ำใจของ Undead นิรนามเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเขาจึงได้ตกปากรับคำไปทันทีเเละได้ออกสำรวจพื้นที่รอบๆเพื่อรวบรวมเสบียงอาหารเเละอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น จนได้ไปพบกับนักรบอ้วนคนหนึ่งที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ตรงหน้าประตูของป้อมปราการ Sen’s Fortress ซึ่งเป็นทางเข้าเดียวที่จะนำไปสู่เมืองหลวง Anor Londo เเต่ในตอนนี้มันปิดอยู่ นักรบคนนั้นได้บอกว่าตนชื่อ Siegmeyer และเขาก็จะหลับอยู่ที่นี้จนกว่าประตูของป้อมปราการแห่งนี้จะถูกเปิดออก...เเต่ไม่ทันที่จะพูดจบประโยคเขาก็ได้ผล็อยหลับไปอีกครั้งเเละปล่อยให้ Undead นิรนามยืนมองด้วยท่าทีที่ฉงนเพราะตั้งเเต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครที่หลับง่ายเเบบนี้มาก่อน ( ภาพประกอบ : Siegmeyer เป็นชายวัยกลางคนที่เป็นมิตร เเต่เขามักจะหลับระหว่างการสนทนาอยู่เสมอ ) ( ภาพประกอบ : ภาพระยะไกลของป้อมปราการ Sens Fortress โดยประตูใหญ่ของป้อมปราการนี้จะเปิดขึ้นก็ต่อเมื่อ Bells of Awakening ทั้งสองใบที่ลั่นตามคำทำนายหรือเฉพาะในกรณีสำหรับเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo เท่านั้น ) หลังจากที่กักตุนสิ่งของจนหนำใจเเล้ว Undead นิรนามก็ได้มุ่งหน้าไปยังป่า Darkroot Garden ทันทีเเละได้พบกับรูปปั้นอสูร Titanite Demon ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าป่าโดยมันมีอีกชื่อว่า Prowling Demon  ร่างกายของมันจะเเลดูคล้ายคลึงกับมนุษย์เเต่ตัวใหญ่กว่ามาก อีกทั้งยังไม่มีขาซ้ายเเละหัวขาดอีกทั้งยังมีหางโพล่ออกมาจากด้านหลังที่มองดูเเล้วก็ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก เเต่ถึงเเม้จะดูพิกลพิการก็ตามตัวมันก็มีพละกำลังมหาศาลเเถมยังสามารถใช้พลังสายฟ้าโจมตีจากระยะไกลได้อีกด้วย ( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Titanite Demon ทำมาจากแร่เหล็ก Titanite ที่เเข็งเเกร่งพอๆกับผิวหนังของมังกรนิรันดร์ ) ห่างจะกล่าวถึงจุดกำเนิดของ Titanite Demon เห็นทีก็คงจะต้องพูกถึงเทพเจ้าเเห่งงานโลหะที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตอันเเสนไกลตั้งเเต่สมัยก่อนสงครามมังกร เเละยังเคยทำหน้าที่เป็นช่างตีเหล็กให้เเก่กองทัพของเทพเจ้า Gwyn โดยผลงานของเขาทุกชิ้นก็ล้วนเเต่มีชื่อเเละทรงอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกอาวุธประจำตัวต่างๆของเทพเจ้า(ในเกม Dark Soul ภาคเเรก) ตลอดจนอาวุธของเหล่าขุนพลทหารกล้าก็ล้วนเเต่ถูกสร้างเเละคิดค้นมาจากจากเทพเจ้าองค์นี้...เเต่เป็นที่น่าเสียดายที่ตัวเขามีอายุสั้นเเละเสียชีวิตลงหลังจากที่สงครามมังกรได้จบลงไม่นาน ซึ่งถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่คอยทำหน้าที่ปิดทองหลังพระให้กับกองทัพของ Gwyn โดยหนึ่งในผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาก็คือเจ้าพวก Titanite Demon นี่เเหละ ซึ่งเขาได้มอบมันให้แก่ Gwyn และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้ใช้งาน ( ภาพประกอบ : Titanite Slab เป็นเเผ่นเเร่ Titanite ขนาดใหญ่ที่ถูกคิดค้นโดยเทพเจ้าเเห่งช่างโลหะอันเป็นวัสดุสำคัญในการสร้างอาวุธที่ทรงพลัง ) การต่อสู้ระหว่าง Undead นิรนามกับ Titanite Demon ไม่ได้กินเวลายืดเยื้อยาวนานอย่างที่หลายๆคนคิดเพราะว่าพระเอกของเราดันฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าในเมื่อเจ้ารูปปั้นตัวนี้มันไม่มีขาและเคลื่อนที่ช้าอย่างกับเต่าแล้วเราจะไปเสียเวลาต่อสู้กับมันทำไมละ! เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ได้ใช้ความชำนานในการกลิ้งหลบเเละหนีเข้าป่า Darkroot Garden ไปได้อย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วย แต่หลังจากที่เดินทางลึกเข้าไปในป่าได้สักพัก Undead นิรนามก็ได้พบกับทางแยกสองทางซึ่งทางด้านซ้ายดูเหมือนว่าจะนำเขาเดินลึกเข้าไปในป่า ส่วนอีกทางที่เป็นด้านขวาก็ดูเหมือนจะนำเขาเดินเลาะลงไปยังตีนเขาเบื่องล่างซึ่งพระเอกของเราได้ตัดสินใจที่จะลองไปทางด้านขวาดูก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเส้นทางนี้จะนำเขาเข้าไปยังพื้นที่การทดลองของเจ้ามังกรไร้เกล็ด  Seath  ( ภาพประกอบ : Darkroot Garden เป็นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายมากมาย ) เมื่อเดินลงมาถึงยังตีนเขา Undead นิรนามก็ได้สังเกตว่าตรงปลายสุดของป่าดูเหมือนว่าจะมีตาน้ำขนาดใหญ่พุดออกมาอยู่ด้วย ซึ่งสำหรับเขาเเล้วการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามเเบบนี้มันก็เป็นเหมือนการผ่อนคลายสายตาหลังจากที่เห็นเเต่ภาพของซากศพเเละเมืองร้างใน Undead Burg ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะหลับตาลงสนิทฉับพลันก็ได้มีตัวประหลาดซึ่งมีร่างกายเป็นผลึก Crystal ออกมาจู่โจมเขาเสียก่อน ปีศาจผลึก Crystal พวกนี้คืออีกหนึ่งในผลงานการทดลองของ Seath ในยามว่างด้วยการหลอมเอาพลังเวทย์ Sorcery ให้ตกผลึกจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ( ภาพประกอบ : ปีศาจ Crystal ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของพลังเวทย์บริสุทธิ์ ) หลังจากที่เห็นว่าปีศาจ Crystal มีท่าทางที่ไม่เป็นมิตร Undead นิรนามก็ได้ชักดาบออกมาเเละตั้งท่าพร้อมจะต่อสู้...เเต่ไม่ทันไรอยู่ๆก็มีเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงของลูกศรธนูขนาดใหญ่ จนเมื่อหันหน้าไปดูก็ได้พบว่ามันก็คือกระสุนน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งตรงมาทางเขา พลังอัดกระแทกของมันได้ทำให้พื้นดินแตกกระจายจนแม้แต่ร่างของปีศาจ Crystal เองก็ยังโดนลูกหลงเเตกสลายตามไปด้วย ( ภาพประกอบ : ภายในป่า Darkroot Garden มันเป็นเรื่องง่ายมากๆที่เราจะถูกสัตว์ร้ายมากว่าสองชนิดเข้าจู่โจมพร้อมๆกัน )  เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี Undead นิรนามก็รีบวิ่งเข้าไปหลบยังหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมาดูช้าๆเเละก็พบว่าเจ้าสิ่งที่ยิงกระสุนน้ำมาก็คืองูขนาดใหญ่ที่มีเจ็ดหัว โดยเหล่าผู้คนที่เคยพบเห็นมันต่างก็เรียกมันว่ามังกรน้ำ Hydra ซึ่งเป็นสิ่งชีวิตในวงศ์ตระกูลของมังกรเเต่ได้วิวัฒนาการลงไปอาศัยอยู่ใต้น้ำเพื่อหลบหนีการตามล่าในยุคที่มังกรไม่ได้เป็นใหญ่อีกเเล้ว ( ภาพประกอบ : Hydra มีหัวเจ็ดหัวเเต่ก็ใช้ร่างกายรวมกัน อีกทั้งส่วนลำตัวของมันก็ยังได้ซ่อนไพ่ตายเอาไว้อีกหนึ่งอย่าง... ) การพ่นกระสุนน้ำของเจ้า  Hydra เเม้ว่าจะมีพลังทำลายที่รุนเเรงเเต่ก็ต้องเเลกมาด้วยการที่มันจะต้องคอยสูบน้ำเข้ามาในตัวก่อนเสมอ ดังนั้น Undead นิรนามจึงได้อาศัยจังหวะดังกล่าววิ่งเข้าไปประชิดตัวมันจึงได้หันมาใช้หัวทั้งเจ็ดฟาดไปมารอบๆตัวเเบบไร้ทิศทางเพื่อหวังจะกลืนกินเจ้ามนุษย์ให้ได้ภายในครั้งเดียว เเต่กลับเป็นพระเอกของเราที่สามารถตัดหัวของมันได้ทีละหัวๆจนหมดเเต่ก็ทำให้เขาเองต้องซดยารักษา Estus Flask จนหมดขวดกันเลยทีเดียว ( ภาพประกอบ : การสังหาร Hydra นั้นมีหลายวิธี โดยวิธีที่ยากที่สุดก็คือการเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดแบบที่ Undead นิรนามของเราทำเนี่ยแหละ -.- ) เมื่อเจ้ามังกรน้ำสิ้นฤทธิ์ลงร่างของมันก็ค่อยๆจมลงสู่ก้นของตาน้ำที่มืดมิดซึ่งมีปลายทางไปเชื่อมต่อกับมหาสมุทรที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก... เเต่ทว่าหนึ่งในบรรดาหัวที่ถูกตัดออกกลับมีวัตถุเเวววาวบางอย่างอยู่ภายในปาก Undead นิรนามจึงลองสอดมือล่วงเข้าไปดูเเละก็พบว่ามันคือแหวนวงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า Dusk Crown Ring ซึ่งเป็นแหวนประจำตัวของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร Oolacile ที่เเตกดับไปเเล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งปัจจุบันนามของนคร Oolacile ก็แทบจะไม่มีใครรู้จักหรือจดจำมันได้อีกแล้ว จะมีก็แต่เพียงผู้คนที่ศึกษาตำนานของอัศวินหมาป่า Artorias เท่านั้นที่พอจะได้ยินชื่อนี้มาเเบบผ่านๆ ( ภาพประกอบ : แหวน Dusk Crown Ring เป็นแหวนที่แสดงฐานันดรของกุลสตรี Dusk ) เมื่อ Undead นิรนามหยิบแหวนวงนี้ขึ้นมาดู เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างพลังที่แม้แต่คนซึ่งไม่ประสีประสาในเวทมนตร์อย่างเขาก็ยังรู้สึกได้ และดูเหมือนว่ามันกำลังชักจูงให้เขาเดินเข้าไปยังซอกเล็กๆของภูเขาที่อยู่ไม่ไกลนักจนได้พบเข้ากับปีศาจ Crystal  ตัวหนึ่งซึ่งมีสีทองเเตกต่างจากตัวอื่น และเมื่อยิ่งดูดีๆเเล้วก็ได้พบว่าภายในร่างกายของมันมีสตรีนางหนึ่งสลบไสลอยู่ภายใน Undead นิรนามรีบจัดการเจ้าปีศาจสีทองและช่วยสตรีนางนั้นออกมา เมื่อเธอฟื้นคืนสตินางก็ได้แนะนำตนเองว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งนครลับแล Oolacile นามว่า Dusk   ( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของเจ้าปีศาจ Crystal สีทองที่ห่อหุ้มกุลสตรี Dusk เอาไว้ข้างใน ) ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Dusk ผู้เหลือรอดคนสุดท้ายแห่งนคร Oolacile  ) กุลสตรี Dusk ได้พูดจากับพระเอกของเราด้วยท่าทีที่นิ่มนวลเเละอ่อนโยนราวกับว่าเป็นผีเสื้อที่กำลังผสมเกสรของดอกไม้ เล่นซะจนพระเอกของเราเคลิมเเละมีท่าทีเคอะเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่านางกลับไม่ยอมบอกว่าตนเองเข้าไปอยู่ในตัวของเจ้าปีศาจ Crystal สีทองได้อย่างไรแต่กลับเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยถึงเรื่องเวทมนตร์แห่งนคร Oolacile เเละเสนอตัวว่าจะช่วยพระเอกของเรา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเวทมนตร์ที่ Undead นิรนามต้องการมากที่สุดอย่างเวทมนตร์ซ่อมแซมสิ่งของ แต่เนื่องด้วยในตอนนี้สติปัญญาของเขายังคงด้อยเกินว่าจะเข้าใจเวทมนตร์ได้ Undead นิรนามจึงจำต้องบอกปัดไปด้วยความเสียดาย (ค่า Intelligence ไม่พอ) แต่เเม้กุลสตรี Dusk จะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนั้นนางก็ยังบอกไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อ Undead นิรนามพร้อมเมื่อไรเขาก็สามารถกลับมาเธอที่ตาน้ำแห่งนี้เสมอ เพราะเธอรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างเราทั้งสองราวกับว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน ( ภาพประกอบ : กุลสตรี Dusk จะรอคอยเราอยู่ที่ตาน้ำแห่งนี้เสมอจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ... )   ผีเสื้อแห่งแดนสนธยา กับเถ่าถ่านเเห่งเเสง  หลังจากที่ช่วยกุลสตรี Dusk ออกมาได้พระเอกของเราก็เริ่มออกสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดซึ่งก็พบว่ามีเเต่ทางที่ไปต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประตูของหอคอยประหลาดที่ถูกล็อคอย่างเเน่นหน่าเเต่ภายในกลับมีเสียงของคนบ่นพึมพํา หรือจะเป็นถ้ำเเคบๆซึ่งมี Black Knight ยืนทำหน้าไม่รับแขกอยู่บริเวณปากถ้ำ ด้วยสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้ Undead นิรนามเริ่มความคิดว่าตนเองนั่นมาผิดทาง เขาจึงรีบวิ่งกลับไปยังทางแยกก่อนหน้านี้และมุ่งไปยังอีกทางที่ตอนเเรกไม่ได้ไป ซึ่งระหว่างเดินทางเขาก็ได้พบเข้ากับประตูหินบานยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทางโดยดูเหมือนว่ามันจะถูกลงผนึกเวทมนต์ปิดกั้นเอาไว้ ประตูหินบานนี้เป็นทางเข้าไปสู่สุสานของวีระบุรุษท่านหนึ่งซึ่งพระเอกของเราจะได้พบกับเขาในภายหลัง...เเต่ในเมื่อตอนนี้มันยังเปิดไม่ได้ Undead นิรนามก็เลิกสนใจเเละเดินหน้าต่อไปทันที ( ภาพประกอบ : ประตูหินบานนี้จำเป็นจำเป็นจะต้องเปิดโดยกุญแจที่มีชื่อว่า Crest of Artorias เท่านั้นซึ่งภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายมากมาย เเต่น่าเเปลกเพราะเเม้ว่าจะอันตรายเเค่ไหนก็ยังคงมีผู้คนมากมายเลือกที่จะเดินเข้าไปหาความตายด้วยตัวเอง... ) ความเร่งรีบในการตามหาสิ่งของให้เเก่ตาเฒ่า Andre ได้ทำให้ Undead นิรนามเสียสมาธิเเละความสุขุมรอบขอบไป จนไม่ทันได้เอะใจเลยว่าเมื่อยิ่งเขาเดินทางลึกเข้าไปในป่ามากเท่าใดก็เหมือนจะวิ่งวนซ้ำกลับมาที่เดิมตลอด เเละพอเริ่มรู้ตัวว่าหลงทางพระเอกของเราจึงได้ใช้ดาบทำสัญลักษณ์ตามต้นไม้ริมทาง แต่ทว่ากลับมีอยู่ต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งส่งเสียงร้องเมื่อลำต้นของมันถูกเฉื่อนทำให้ความจริงปรากฏว่าป่าเเห่งนี้ได้ถูกวิญญาณเเห่งพงไพรเข้าสิงอยู่ ซึ่งผีป่าพวกนี้จะคอยหาวิธีหลอกล่อเพื่อทำให้คนที่เข้ามาในป่า Darkroot Garden หลงทางเเละกลับออกไปไม่ได้  ( ภาพประกอบ : ต้นไม้ผีสิงหรือ Possessed Tree จะคอยทำให้ผู้คนที่หลงเข้าไปใน Darkroot Garden ติดอยู่ในป่า ) Undead นิรนามตกใจ! เเละเเทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเพราะถึงเเม้จะชินชากับซากศพมากมายเเต่พอเป็นวิญญาณหรือผีร้ายมันก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเขากลัวมันสุดๆ...เเต่ฉับพลันอยู่ดีๆรอบตัวเขาก็ได้มีเหล่าอัศวินตัวโตจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ตั้งเเต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ซึ่งอัศวินพวกนี้ได้ถูกเรียกขานว่า Great Stone Knight หรือนักรบหินผาที่เป็นหนึ่งในมรดกตกทางมนต์ตราจากนคร Oolacile ที่ Seath เอามันมาประยุกต์ใช้ในการทดลองของตนเอง ( ภาพประกอบ : Great Stone Knight มีเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยดินและตะไคร่เพื่อสร้างความกลมกลืนให้เข้ากับป่า ) Undead นิรนามเห็นดังนั้นจึงพยายามรวบรวมสติ...เเต่ไม่ทันเสียเเล้วเพราะดูเหมือนว่าขาของเขาจะถูกเวทมนตร์ตรึงเอาไว้จนก้าวไม่ออก สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือยืนดูเหล่า Great Stone Knight เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆจากนั้นก็ลงมือทุบร่างของเขาจนเเหลก... หลังจากเกิดขึ้นมาใหม่ Undead นิรนามของเราก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เอามากๆเเละรีบตรงปรี่ไปหาตาเฒ่า Andre ทันทีจากนั้นก็ลงมือบ่นไม่หยุดที่เจ้าช่างตีเหล็กคนนี้ไม่ยอมเตือนเขาเลยสักคำว่าไอ้สิ่งที่อยู่ในป่ามันจะอันตรายขนาดนี้(คือถ้ามันไม่อันตรายตาเฒ่า Andre ก็คงเข้าไปเอาเองเเล้ว...) ตาเฒ่า Andre ที่ได้ฟังคำบ่นจนหูชาก็ได้บอกให้พระเอกของเราใจเย็นลงก่อน เดียวเขาจะหลอมชุดเกราะและตีอาวุธที่ดีกว่าเดิมให้ใหม่ รับรองว่าคราวนี้ Undead นิรนามจะต้องผ่านอุปสรรคไปได้เเน่นอน  ( ภาพประกอบ : Titanite Shard คือเศษเเร่เล็กๆที่หลุดออกมาจาก Titanite Slab ซึ่งใช้ในการหลอมอาวุธขั้นพื้นฐาน ) เมื่อได้อาวุธมาเเล้ว Undead นิรนามก็ย่างสามขุมเข้าไปในป่าด้วยท่าทีที่ฉุนเฉียว จากนั้นก็เอาดาบที่ได้มาใหม่ไล่ฟาดฟันทุกสื่งทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ผีสิงหรือก้อนหินเดินได้ ต่างก็สิ้นฤทธิ์เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้เต็มไปด้วยความพิโรธคนนี้(หัวร้อน) จนกระทั้งเขาสามารถเดินทางลึกเข้าไปในป่าเเละได้พบกับซากหอคอยร้างที่ตั้งอยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ซึ่งทางเดียวที่จะข้ามไปก็คือต้องใช้สะพานหินที่อยู่ใกล้ๆแต่ติดอยู่แค่ปัญหาเดียวเพราะบนสะพานได้มีผีเสื้อยักษ์ Moonlight Butterfly อาศัยอยู่ ซึ่งมันจะคอยยิงลำเเสงเวทมนตร์ใส่ทุกๆคนที่พยายามข้ามไปอีกฝั่ง ( ภาพประกอบ : ท่ายิงลำเเสงของ Moonlight Butterfly จำเป็นจะต้องอาสัยพลังงานอย่างมาก จึงทำให้หลังจากที่ใช้ท่านี้มันจะต้องคอยฟื้นฟูพลังงานอยู่ตลอด ) การฝ่าด้านป้องกันของเจ้าผีเสื้อ Moonlight Butterfly ได้กลายเป็นเรื่องท้าทายเเเละกินเวลายาวนานเกินความจำเป็น เเต่ไม่ใช่เพราะว่ามันดุร้ายหรือว่าอันตรายเเต่อย่างใดแต่กลับเป็นเพราะมันจะคอยบินโจมตีจากระยะไกลทำให้ Undead นิรนามของเราต้องค้นเอาสิ่งของที่สามารถขว้างออกไปได้มาใช้ อย่างเช่นมีดสั้นเเละระเบิดไฟที่ปาขึ้นไปบินฟ้าซึ่งก็มีทั้งโดนมั้งเเละไม่โดนมั้งปะปนกันไป เเต่ยังพอโชคดีที่เมื่อเจ้า Moonlight Butterfly อ่อนเเรงลงมันก็จะบินเข้ามาเกาะยังสะพานเพื่อพื้นฟูพลังงาน เเละพระเอกของเราก็ได้อาศัยจังหวะนั้นเข้าไปโจมตีที่หัวของมันจนต้องบินหนีขี้นฟ้าไป...เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเเบบนี้วนซ้ำไปมาจนเจ้า Moonlight Butterfly สิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด พร้อมๆกับ Undead นิรนามที่ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นเพราะความเหนื่อย เเละได้บ่นกับตัวเองว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องศึกษาคาถาเวทมนตร์เอาไว้โจมตีระยะไกลเสียบ้างเเล้วจะได้ไม่เหนื่อยเเบบนี้อีก ( ภาพประกอบ : ภาพระยะไกลของ Moonlight Butterfly ที่กำลังหลับใหลอยู่บนหอคอย ) เมื่ออุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดไปเเล้วพ่อพระเอกของเราก็เดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของหอคอย ซึ่งมีซากศพของช่างตีเหล็กนิรนามคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าเเละในมือได้ถือสิ่งของที่เรียกว่า Divine Ember โดยมันถือเป็นเครื่องมือวิเศษสำหรับเหล่าช่างตีเหล็กที่ใช้เพื่อเพิ่มพลังของธาตุต่างๆเขาไปในอาวุธไม่ว่าจะเป็นไฟ, สายฟ้า, หรือความมืดเป็นต้น ซึ่งอันที่ Undead นิรนามของเราได้มามันเป็นส่วนของธาตุแสง ( ภาพประกอบ : ศพของช่างตีเหล็กนิรนามที่ถือ Divine Ember เอาไว้ )  Undead นิรนามได้นำเอา Divine Ember กลับไปมอบให้กับตาเฒ่า Andre ซึ่งเมื่อได้เห็นมันเขาก็ทำหน้าแป้นแล้นดีใจราวกับเด็กที่กำลังได้ของเล่นชิ้นใหม่ เเละก็ตามสัญญาตาเฒ่า Andre ได้ลงมือตีอาวุธธาตุแสงให้แก่ Undead นิรนามแถมยังกล่าวว่าวันหนึ่งพระเอกของเราจะต้องได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเเน่นอน!  ( ภาพประกอบ : Divine Ember  สามารถทำให้อาวุธของเรากลายเป็นธาตุแสงได้ ซึ่งจะได้ผลดีที่สุดเมื่อต่อสู้กับเหล่าผีดิบหรือสัมภเวสี ) เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจอันยาวนาน Undead นิรนามก็ได้กลับไปยัง Firelink Shrine เพื่อที่จะผ่อนคลายความเมื่อยล้าเเละนอนพักเอาเเรงสักคืนสองคืน ซึ่งเเน่นอนว่าขากลับเขาก็ยังไม่วายถูกเจ้า Crestfallen Warrior พูดจาถากถางว่าถ้าหากพระเอกของเราแน่จริงก็ต้องลงไปสันระฆังใบที่สอง ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินพร้อมกับบอกว่าเเต่คร่าวนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งเเรกเเน่นอนเเล้วก็หัวเราะเสียงดังใส่หน้า Undead นิรนามอย่างไม่เกรงใจ สร้างความรำคาญให้กับเขาเป็นอย่างมากจึงต้องเดินลงไปหาที่นอนเงียบๆบริเวณชั้นล่างเเละก็ได้พบกับเจ้าฆาตกร Lautrec ที่หลังจากช่วยพระเอกของเราจัดการกับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้สำเร็จมันก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ Firekeeper นามว่า Anastacia มันจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อเยือนโฉมของนางโดยเฉพาะ ( ภาพประกอบ : สิ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่าง Anastacia กับ Lautrec ก็คือซี่กรงเหล็กเก่าๆไม่กี่อัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะทานทนไฟราคะของ Lautrec ได้อีกนานเเค่ไหน  ) Lautrec เอาเเต่นั่งจ้องไปยังห้องขังของ Anastacia  ด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเเทบจะระเบิดไฟราคะออกมา เเละอยากจะลงมือฆ่าเธอทิ้งเสียนะเดียวนั่นเหมือนกับเหยื่อคนที่แล้วของมันซึ่งเป็น Fire Keeper เหมือนกัน...แต่ทว่าในตอนนี้พระเอกของเรายังคงไม่รับรู้ถึงธาตุแท้ของเจ้าฆาตกรโรคจิตคนนี้เขาจึงได้แต่กล่าวทักทายตามประสาคนรู้จัก ( ภาพประกอบ : Lautrec กำลังจ้องมองเหยื่อคนต่อไปของมันอย่างใจจดใจจ่อ ) หลังจากเดินหาที่นอนอยู่นานสุดท้ายเขาก็ได้พบกับที่นอนอันเเสนเงียบสงบเเละปราศจากสิ่งรบกวน Undead นิรนามได้เอนหลังลงนอนกับพื้นจากนั้นก็หยิบเอาสัมภาระทั้งหลายของเขามากองรวมกันให้เป็นหมอน เเต่ก็ไปสะดุดกับขวดยา Estus Flask ที่เเข็งเกินกว่าจะนำมาหนุนหัวได้ Undead นิรนามได้หยิบขวดยาครอบจักรวาลอันนี้ขึ้นมาดูและพลางคิดในใจว่า “ถ้าหากเราสามารถเพิ่มจำนวนของยาวิเศษ Estus Flask นี่ได้มันก็คงจะดีไม่น้อย”.... แสงของตะวันยามเย็นเริ่มค่อยๆหายลับเเละจมลงไปยังเส้นปลายขอบฟ้า พร้อมกับความมืดมิดที่ค่อยๆย่างกรายเขาปกคลุม Firelink Shrine  อย่างช้าๆ เหล่าดอกไม้เเละใบหญ้าต่างหุบตัวเพื่อหลับใหลเพื่อวันใหม่ที่จะนำดวงตะวันอันเเสนอ่อนล้าลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง.... ทว่าก็มีบางสถานที่ในดินเเดน Lordran ที่เเม้จะเป็นยามเช้าหรือเที่ยงวันความสว่างของดวงตะวันก็ไม่อาจส่องไปถึง ที่ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น “บ้านของเทพเเห่งความตาย Nito!” ( ภาพประกอบ : สุสานแห่งดินแดน Lordran อันเป็นที่ซึ่งชักนำโชคชะตาของผู้กล้าและคนจัญไรมาบรรจบกัน )   คุยกันหลังเรื่องเล่า          เอาละครับก็จบกันลงไปแล้วกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เก้า “ ป่าอาถรรพ์ กับภารกิจของช่างตีเหล็กจอมวุ่น ” เเต่ก่อนที่เราจะจากกันไปผมก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวกับระบบของ Gameplay ที่ถูกผู้พัฒนาตัดออกไปมาฝากกัน เรื่องแรกเลยก็คือพวก Black Knight ซึ่งจะประจำอยู่ตามที่ต่างๆภายในเกม...เดิมทีมันได้ถูกวางแผนให้เป็น Random Event หรือระบบเหตุการณ์เดาสุ่ม ซึ่งเหล่า Black Knight จะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ภายในเกม แต่ก็ถูกนำออกไปเสียก่อนซึ่งผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วเพราะลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าระหว่างที่เล่นเราเกมเเละได้ต่อสู้ฝ่าฟันจนเกือบจะถึงห้อง Boss อยู่เเล้วแต่อยู่ดีๆก็เกิดมี Black Knight โผล่มาขวางทางมันคงไม่สนุกสักเท่าไร ( ภาพประกอบ : การปรับระบบของ Black Knight กลับยิ่งทำให้มีความสอดคล้องกับ Lore ภายในเกมมากขึ้น เพราะเหล่า Black Knight ก็เปรียบได้เสมือนกับเงาที่ไม่มีตัวตนที่คอยทำภารกิจดำมืดซึ่งพวก Silver Knight ไม่ทำ ) ส่วนเรื่องที่สองก็คือเจ้าศัตรู Possessed Tree หรือต้นไม้ผีสิงที่ปกติภายในเกมมันจะเอาเเต่ขยับไปมาเพียงเท่านั้นแต่ได้มี Username คนหนึ่งใน Youtube ที่มีนามว่า Marco DAmbrosio เขาได้ทดลองใช้คำสั่งนำเจ้าต้นไม้ผีสิงนี้ไปปรากฏยังเเผนที่ส่วนอื่นของเกม และก็ได้พบเรื่องที่น่าตกใจเพราะว่ามันกลับใช้ท่าโจมตีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยการใช้เถาวัลย์ฟาดลงมาจากยอดไม้ใส่ผู้เล่น ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นเพราะทางผู้พัฒนาได้ใส่คำสั่งยับยั้งการโจมตีของมันเมื่อยู่ในแผนที่ Darkroot Garden นั่นเอง โดยเรื่องเเบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะเเยะจนนำมาพูดได้ไม่หมด แต่ในตอนนี้มันก็สมควรเเก่เวลาเเล้วผมจึงต้องขอตัวลาทุกท่านไปก่อนเเละเจอกันในบทหน้า สวัสดีครับ  
06 Mar 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 8 เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์
สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด ซึ่งในบทนี้จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมภาคหนึ่งที่ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็น Undead นิรนามที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำตามคำทำนายให้สำเร็จ แต่ก่อนอื่นผมจะต้องขอชี้เเจ้งว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ขอหยิบยกสิ่งที่เป็น “Gameplay” หรือระบบการเล่นมาเล่าเป็นเนื้อหาโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างก็เช่นเรื่องการตายเเล้วเกิดใหม่ที่ผมจะขอพูดถึงเเต่ในเเง่ของเนื้อเรื่องและ Lore ภายในเกมเท่านั้น….ถ้าเราเข้าใจตรงกันเเล้วกระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เเปด “เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์” ( ภาพประกอบ : เส้นทางของ Undead นิรนามจะเต็มไปด้วยขวากหนามที่จะทดสอบความมุ่งมั่นในภารกิจต่อชีวิตของ The First Flame ) < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่ บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด   ก้าวเเรกของผู้ถูกเลือก…              ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตอนเหนือ ได้มีเรือนจำเเห่งหนึ่งที่ถูกเรียกวว่า Northern Undead Asylum ซึ่งภายในนั้น Undead นิรนามของเรากำลังพยายามหนีออกตากคุกนรกแห่งนี้ให้ได้ จะติดก็เเต่ประตูทางออกกลับถูกเฝ้าโดยอสูรร้ายที่ถูกขนานว่า Asylum Demon ที่มีร่างกายใหญ่โตเเละปีกเล็กๆอันทรงพลังพอที่จะสามารถพยุงน้ำหนักอันมหาศาลของมันให้บินขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างสบายๆ เเละความเป็นมาของมันก็คือ เจ้าอสูรตัวนี้เป็นหนึ่งในบรรดาอสูรไม่กี่ตนที่ได้ละทิ้งวิถีเเห่งเพลิง Chaos Flame ซึ่งเป็นขุมพลังหลักของปีศาจเเละได้หันหลังให้กับเเม่มดเเห่ง Izalith อันเป็นเหมือนมารดาแห่งเหล่าอสูรทั้งปวง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้มีหลายๆอาณาจักรอ้าเเขนตอนรับอสูรไร้นายเหล่านี้ให้เข้ามาทำงานที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ ( ภาพประกอบ : Asylum Demon ใช้อาวุธที่ทำมาจากต้นไม้ Arch Tree ซึ่งในยุคโบราณเคยเป็นต้นไม้ที่เป็นอยู่อาศัยของเหล่ามังกรนิรันดร ) หากจะเปรียบการเผชิญหน้าระหว่าง Undead นิรนามเเละ Asylum Demon เเล้วละก็มันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับช้างที่กำลังพยายามไล่เหยียบหนู ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็จับตัวไม่ได้เสียทีเพราะว่า Undead นิรนามของเราได้อาศัยความคล่องเเคล่วในการกลิ้ง...จนสามารถหนีพ้นเงื้อมือของมันไปได้ เเละได้ไปพบเข้ากับ Oscar ที่เคยช่วยเขาออกจากห้องขัง เเต่ตอนนี้กำลังนอนบาดเจ็บเพราะถูก Asylum Demon เล่นงานมาเช่นเดียวกัน Oscar ได้บอกว่าตนกำลังจะกลายสภาพเป็น Hollow ในอีกไม่นาน ฉะนั้นเขาจึงได้มอบยารักษาบาดเเผล Estus Flask เเละขอส่งต่อภารกิจในการปลุกชีพของ The First Flame ให้เเก่ Undead นิรนามของเรา เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของคนที่กำลังจะสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล ( ภาพประกอบ : Oscar ที่กำลังกลายสภาพเป็น Hollow เเละได้ฝากฝังความตั้งใจเเก่ Undead นิรนามเป็นครั้งสุดท้าย) การเสียสละของ Oscar ได้ทำให้ Undead นิรนามของเรามีกำลังใจกลับไปต่อสู้กับเจ้าอสูรอีกครั้งจนสามารถเอาชนะมาได้ แต่เมื่อเขาได้ก้าวเท้าผ่านประตูสู่อิสรภาพไปนั่นก็กลับต้องพบว่าความจริงแล้ว ภายนอกสถานที่เเห่งนี้ต่างถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเหวลึกมากมายจน Undead นิรามต้องบ่นว่าคงจะมีเเค่นกเท่านั้นเเหละจึงจะสามารถหนีออกจากไปจากคุกแห่งนี้ได้ เเต่ในระหว่างที่เขากำลังสิ้นหวังอยู่นั้นอยู่ๆก็มีอีกายักษ์บินมาโฉบร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าหายไป ซึ่งเจ้านกยกตัวนี้มันเป็นหนึ่งในสมุนของเทพเจ้า Velka ที่จะคอยทำหน้าที่เป็นแมวมองจับตาเหล่า Undead ที่มีเเววว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนาย เเละก็ลักพาตัวไปยังดินเเดน Lordran เพื่อทำตามเป้าหมายหลักของ Velka ซึ่งก็คือการปลดปล่อยเหล่าสมุนของนางที่ติดอยู่ใน Painted World of Ariamis จากเหตุการณ์อันอื้อฉาวในอดีตที่ถูกเรียกว่า “กบฏทมิฬ” ( ภาพประกอบ : Undead นิรนามกำลังถูกลักพาตัวไปยัง Firelink Shrine ที่ตั้งอยู่ในดินเเดน Lordran ) อีกายักษ์ได้เหินเวหาไปตามสายลมจนกระทั้งเข้าเขตดินแดน Lordran และได้ปล่อยพระเอกของเราลงที่ Firelink Shire อันเป็นสถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นวิหารที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า Velka โดยพวกมนุษย์ เเต่ปัจจุบันก็ได้ถูกทิ้งร้างจนชํารุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนปัจจุบัน Firelink Shrine ได้เเปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่พักเเรมของเหล่านักเดินไปเเล้ว ( ภาพประกอบ : สภาพบรรยากาศโดยรอบที่ Firelink Shrine ) ( ภาพประกอบ : วิหารโบราณใน Firelink Shrine ) เมื่อเดินทางมาถึง Undead นิรนามของเราก็ได้พบกับผู้คนบางส่วนที่กำลังพักเเรมอยู่ที่ Firelink Shrine ไม่ว่าจะเป็นพระนักรบนามว่า Reah ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของศาสนา Way of White ที่เดินทางมาจากดินเเดน Thorolund อันห่างไกลเเละกำลังเฝ้ารอพรรคพวกของเขาที่จะมาสมทบ ส่วนอีกคนก็คือชายผู้สิ้นหวังซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ตัวเขาไม่เคยเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามให้ใครฟังเเต่ผู้คนต่างเรียกเขาว่า Crestfallen Warrior หรือ”นักรบผู้สิ้นหวัง” ซึ่งเจ้าหมอนี้มันมีนิสัยน่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพูดถ่มถุยเหล่านักเดินทางทุกคน ว่าการพยายามทำตามคำนายนั่นไร้ประโยชน์เเละรังเเต่จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Hollow เร็วขึ้น ( ภาพประกอบ : Crestfallen Warrior ชอบพูดถากถาง Undead ) เเต่คนที่ดูจะน่าสงสารมากที่สุดก็คือสตรีนางหนึ่งที่ถูกจองจำอยู่ในสถานที่เเห่งนี้ นามว่า Anastacia โดยชะตากรรมของนางนั้นเรียกได้ว่าน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับให้ทำหน้าที่ Fire Keeper อยู่ที่ Firelink Shire อย่างไม่เต็มใจเเละเมื่อ Anastacia พยายามจะหนีพวกมันจึงได้ตัดปัญหาด้วยการขังนางไว้ในคุก เเละตัดลิ้นของนางออกเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเจ้าได้อีก ( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Fire Keeper Anastacia นางมีความปรารถนาที่จะตายเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่ในฐานะของ Undead )   เมืองคนบาป Undead Burg Undead นิรนามของเราที่เพิ่งเดินทางมาถึงยัง Firelink Shire ได้ไม่นานก็ได้รับแนะนำจาก Crestfallen Warrior ให้เดินทางไปยังป้อมปราการ Undead Burg ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีระฆัง Bell of Awakening อยู่ที่นั่น เมื่อฟังจบ Undead นิรนามก็กล่าวขอบคุณเเละรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที...โดยไม่รู้เลยว่าเจ้า Crestfallen Warrior มันต้องการให้ผู้กล้าของเราไปเผชิญหน้าความตายจนต้องท้อแท้และกลายเป็นหมาขี้แพ้เหมือนกับมัน… ( ภาพประกอบ : ทางท่อระบายน้ำที่เชื่อต่อ Firelink Shrine เเละ Undead Burg เข้าด้วยกัน ) หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของป้อมปราการ Undead Burg ก็คงต้องกล่าวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่กันเลยทีเดียว โดยเมืองนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะการก่อกบฏของเหล่าสาวกแห่งเทพเจ้า Velka ที่ถูกเรียกขานว่ากบฏทมิฬ หรือจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการปิดกั้นตัวเองของเมืองหลวง Anor Londo ที่บีบให้ป้อมปราการ Undead Burg ต้องกลายเป็นชุมชนที่ปกครองและดูแลกันเอง  ( ภาพประกอบ : สภาพโครงสร้างภายในของ Undead Burg ) โดยเมืองนี้มีกฏหมายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนจะได้รับอิสระในการนับถือเทพเจ้าต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ เเถมภายหลังยังได้มีการหลอมรวมเทพเจ้า Velka ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนมากของประชาชนในเมืองนี้ เข้ากับความเชื่อของศาสนา Way of White ที่เป็นเหมือนกองทัพศาสนาของเหล่าเทพเจ้า โดยทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทั้งศึกในบ้านหรือนอกบ้านโดยไม่จำเป็น แม้กระทั้งพวก Warrior of Sunlight ที่ปกติจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ยังได้รับอนุญาตให้ตั้งเทวรูปของ Nameless King ไว้ในที่สาธารณะและสามารถทำการเคารพบูชาได้อย่างเปิดเผย เเละในภายหลังได้มีมังกรเผ่าพันธุ์ Wyvern ตนหนึ่งบินลงมาจำศีลอยู่เหนือเทวรูปของ Nameless King อย่างสงบโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไม...  ( ภาพประกอบ : Wyvern เป็นมังกรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรโดยจุดสังเกตความแตกต่างก็คือ Wyvern จะยืนสองขาในขณะที่มังกรนิรันดรจะยืนสี่ขา ) ตอนนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Undead Burg เลยก็ว่าได้ จนก่อเกิดเป็นสันติภาพที่จะยั่งยืนยาวนานนับพันปี....จนกระทั้ง Curse of Undead ได้กลับมาเยี่ยมเยือนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เเละในเมื่อ The First Flame กำลังจะดับลงจึงทำให้พวก Undead จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเร่งที่จะทำตามคำทำนายให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนมากมายจะต้องเดินทางผ่าน Undead Burg อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่ามากันทีละคนสองคนมันก็คงไม่เป็นไรแต่ทว่าบางคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยหรือมีบรรดาศักดิ์เป็นชนชั้นสูงก็จะนิยมจ้างนักรบหรือแม้แต่ยกกองทัพส่วนตัวเเห่เข้าเมืองมาด้วย ตัวอย่างเช่นเจ้าชาย Rendal ที่พี่แกเล่นยกกองทัพ Balder Knight ของตัวเองมาแบบเต็มยศ ทำให้ยิ่งนับวัน Undead Burg ก็เริ่มประสบปัญหาความแออัดและความหวาดระแวงจากคนเเปลกหน้า เเละถ้าหากจะห้ามไม่ยกกองทัพเข้ามาในเมืองเเล้วละก็ นั่นก็จะเป็นเหตุทำให้มีเรื่องผิดใจกันและอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นทำศึกชิงเมืองเลยก็เป็นได้  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่านักรบจากอาณาจักร Berenike ซึ่งมาที่ Lordran เพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : เหล่านักรบ Balder Knight ที่ติดตามเจ้าชาย Rendal มายัง Lordran  ) เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำนับวันความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ (นี่ขนาดยังไม่นับปัญหาของพวก Hollow ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนกับภูเขาไฟเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้เเละจะนำ Undead Burg กลับเข้าสู่ความโกลาหลเป็นครั้งเเรกในรอบหลายพันปีนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏทมิฬ...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าท่าผู้ชมคิดว่านี่มันเลวร้ายสุดๆแล้วละก็...ผมก็ขอบอกบอกเลยว่านี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆก็มีเหล่าอสูรแห่ง Izalith โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง พวกมันมองข้ามเหล่าประชาชนที่อ่อนแอซึ่งไม่มีทางสู้แต่กลับมุ่งเป้าไปยังพวก Undead ที่เดินทางมาเพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ ทำให้ ณ เวลานั้นที่ใจกลางของเมืองซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าคนที่เดินพลุกพล่านได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นเขตสงครามไปเป็นที่เรียบร้อย สงครามได้ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้พวก Black Knight ที่ปกติจะคอยทำงานให้กับเทพเจ้าอย่างลับๆก็ยังต้องเปิดเผยตัวเองและเข้าร่วมทำสงครามกลางเมืองในครั้งนี้  ( ภาพประกอบ : อสูร Taurus จะคอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg  ) การสู้รบใน Undead Burg ได้ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนแรกก็คือตัวเมืองด้านล่างที่ได้ถูกปกครองโดยอสูรแห่ง Izalith ไปเป็นที่เรียบร้อย เเละสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่นก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่สุดๆ เหล่า Undead มากมายต่างถูกทอดทิ้งให้อดอยากปากแห้งจนต้องรวมตัวพากันออกปล้นสะดม Soul กับ Humanity จากมนุษย์คนอื่นๆเพื่อความอยู่รอด จนที่แห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว  ( ภาพประกอบ : ภาพรวมของเมือง Undead Burg ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากรากฐานเก่าที่ป้อมปราการ ) และอีกส่วนก็จะเป็นตัวเมืองด้านบนซึ่งได้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มี Bell of Awakening ตั้งอยู่นั่นเอง ซึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ก็ถือได้ว่าดีกว่าตัวเมืองด้านล่างอยู่ไม่น้อย เพราะที่โบสถ์แห่งนี้ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็น Fire Keeper คอยทำหน้าที่ปลอบประโลมและเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจให้แก่เหล่าผู้คนที่กำลังเสียขวัญ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่า Channeler ที่กำลังจับตามองอยู่ห่างๆ.... พวก Channeler นั้นก็คือพวกข้ารับใช้ของ Seath มังกรไร้เกล็ดซึ่งได้ถูกส่งออกมาผ่านช่องทางลับภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อคอยทำตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมายจาก Seath ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการลักพาตัวหญิงสาวเพื่อไปเป็นหนูทดลอง   ( ภาพประกอบ : โบสถ์ใน Undead Burg ที่มีหอคอย Bell of Awakening ตั้งอยู่  )  ( ภาพประกอบ : Channeler ก็คือพวกนักเวทย์ที่ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับมังกรไร้เกล็ด Seath ) พวก Channeler พยายามเสนอตนเองว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระอันล้นมือของ Fire Keeper เพื่อที่จะคอยหาโอกาสลักพาตัวนางไป… แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า Undead Burg ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่มากมายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เเละหนึ่งในนั้นก็คือชายโรคจิตนามว่า Lautrec ซึ่งมีความหลงใหลในร่างกายของผู้หญิงที่สะสวยอย่างรุนแรงและมันก็ได้ลงมือสังหาร Fire Keeper ผู้โชคร้ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เหล่าผู้คนในที่นั่นต่างตกใจและได้รุมสกรัมเจ้า Lautrec  อย่างหนักแต่เนื่องจากเป็น Undead ที่ไม่มีวันตาย เหล่าผู้คนจึงทำการคุมขังมันเอาไว้ที่ด้านหลังของโบสถ์แทน  ( ภาพประกอบ : เเท่นบูชาเทวรูปของเทพเจ้า Velka ที่ตั้งอยู่ภายในโบสถ์ ซึ่งศพของ Fire Keeper ได้ถูกนำมาวางไว้ที่นี่  ) แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายนั้นมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว....ทุกๆคนในโบสถ์ต่างเฝ้ารอให้ Fire Keeper กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ เเต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่สักทีจนเหล่าผู้คนเริ่มสิ้นหวังจนเริ่มเสียสติเเละได้กลายเป็นความโกลาหลและเหตุจลาจลภายครั้งใหญ่ภายในตัวเมืองด้านบน จนเเม้เเต่เทวรูปของ Nameless King ที่อยู่ใกล้ๆก็โดนลูกหลงจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี และแทบจะทันทีที่เทวรูปถูกทำลายเจ้ามังกร Wyvern ก็ได้ตื่นขึ้นจากการจำศีลด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราดพร้อมกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพ่นลูกไฟยักา์ลงมาแพรดเผาทุกชีวิตใน Undead Burg จนตายเกลี้ยงและได้กลายเป็น Undead กันไปทั้งเมือง...และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา Undead Burg ก็ได้กลายเป็นแค่จุดเข็คอินเเละสุสานเก่าๆซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ Bell of Awakening ( ภาพประกอบ : ในตอนนั่นสภาพของ Undead Burg อยู่ในขั้นวิกฤติสุดๆ เเละไหนจะต้องมานั่งระวังพวกมนุษย์ด้วยกันเองไปจนถึงพวกอสูรเเละมังกรที่สามารถจะฆ่าทุกคนได้ทุกเมื่อ )   เสียงระฆังแห่งผู้มีชัย   กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ในตอนนี้ Undead นิรนามของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังสะพานยาวที่เป็นทางด้านหน้าของโบสถ์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป Undead นิรนามก็ได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองดวงตะวันบนท้องฟ้าและเอาแต่ร้องพร่ำเพ้อราวกับเป็นคนบ้า นามของชายคนนี้ก็คือ Solaire โดยเขามาที่นี่ก็เพื่อทำตามคำทำนายของเทพเจ้า Gwyn เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อได้สนทนากัน Solaire ก็เสนอตัวว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ Undead นิรนามอย่างเต็มที่  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Concept Art ของ Solaire ชายผู้รักพระอาทิตย์ยิ่งชีพ )  ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Lautrec ชายใจโฉดผู้ชื่นชอบในการสังหารสาวงาม ) Undead นิรนามได้กล่าวลา Solaire จากนั้นก็บุกป่าฝ่าดงเหล่า Hollow จนสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์จนได้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันได ก็พลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของ Lautrec ที่ขอร้องให้ปล่อยมันออกไป...ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามของเราก็ได้ช่วยมันออกมา เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบถึงธาตุแท้จริงของเจ้าฆาตกรโรคจิตนี่ ( ภาพประกอบ : Lautrec ที่โดนกักขังอยู่ ณ หลังโบสถ์ ) เมื่อช่วย Lautrec เสร็จพ่อพระของเราก็ได้ปีนบันไดขึ้นไปยังหลังคาเเละสามารถมองเห็น Bell of Awakening ได้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอยู่ๆรูปปั้นสัตว์ประหลาด Gargoyle ที่เป็นเป็นรูปปั้นตกแต่งตามหลังของโบสถ์ก็เริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งเดิมทีรูปปั้นพวกนี้มันก็ไม่ได้มีชีวิตแต่ด้วยการเล่นแร่แปลธาตุของเหล่านักปราชญ์ จึงสามารถคิดค้นวิธีในการนำวิญญาณของคน, สัตว์, ยักษ์, หรือแม่แต่เทพเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่ตามสิ่งของต่างๆเพื่อให้มันขยับและคอยทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย  ( ภาพประกอบ : Gargoyle ที่คอยปกป้อง Bell of Awakening จะมีหน้าที่ทดสอบเหล่า Undead ว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ถูกเลือกโดยเทพเจ้าหรือไม่ ) Undead นิรนามของเราสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้อย่างสูสีจนกระทั้งเขาเริ่มสังเกตว่าจำนวนของมันเพิ่มมาเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เเละยังไม่ทันขาดคำ! เจ้าตัวที่สามก็บินาจู่โจมลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ Undead นิรนามถึงแก่กรรมไปในที่สุด... เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Undead นิรนามของเรานั้นก็รู้ดีว่าถ้าหากดันทุรังต่อไปเห็นทีก็คงจะตายเปล่าเสียเป็นแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจยกพรรคพวกอย่าง  Solaire และ Lautrec มาช่วยกันรวมพลังสามัคคี(หมาหมู่) จนสามารถเอาชนะและขึ้นไปสันระฆัง Bell of Awakening ได้สำเร็จ เสียงของมันได้ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดินแดน Lordran อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีกล้าที่สามารถทำตามคำทำนายได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบหลายปี ( ภาพประกอบ : ด้วยพลังมิตรภาพ จะไม่มีสิ่งใดต้านทานเราได้! ) ( ภาพประกอบ : การลั่นระฆัง Bell of Awakening เป็นเหมือนการบอกเหล่าทวยเทพว่ามีคนที่อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้ว เเต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการบอกผู้ที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน ) แต่ในขณะที่ Undead นิรนามของเรากำลังปีนบันไดกลับลงมายังข้างล่าง เขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายแปลกประหลาดคนหนึ่งนามว่า Oswald ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบวชของเทพเจ้า Velka ที่จะค่อยออกตระเวนทำพิถีไถ่บาปให้กับเหล่าผู้คนเพื่อแลก Soul เป็นค่าเหนื่อย (ไม่ฟรี)...หลายคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมเราถึงต้องไถ่บาปด้วยละ? คำตอบก็คือหากเรามีบาปติดตัว ไอ้พวกกลิ่นความชั่วร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราก็จะลอยไปเตะจมูกของพวกหน่วยลับ Darkmoon Blade ซึ่งจะออกตามไล่ล่าฆ่าพวกเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะสาสมกับความผิดที่เคยก่อ  ( ภาพประกอบ : Oswald เป็นนักบวชของ Velka ไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ) หลังจากที่ Undead นิรนามของเราออกมาจากโบสถ์ได้ไม่นาน ก็บังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กกำลังกระทบกันดังซ้ำไปซ้ำมาออกมาจากทางเดินแคบๆที่อยู่ติดกับโบสถ์ เเละด้วยความสงสัยจึงทำให้ Undead นิรนามของเราต้องออกไปตามหาที่มาของเสียงปริศนานั่น....  ( ภาพประกอบ : ทางเดินที่มีเสียงปริศนาดังออกมาอย่างต่อเนื่องเเละไม่หยุด  )   คุยกันหลังเรื่องเล่า          ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด หลายท่านที่ได้อ่านไปแล้วก็อาจจะเห็นถึงวิธีการเขียนและการเล่าเรื่องของผมที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะไม่ใช่แค่เอาตำนานของเกมมาเล่าให้ฟังอย่างเดียว แต่จะมีการใส่ชีวิตและจิตใจเข้าไปในตัวละครต่างๆเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากท่านผู้ชมรู้สึกตะขิดตะขวงใจละก็ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับผม เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเจอกันใหม่ในบทที่เก้าแล้วกันครับ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีครับ
17 Feb 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 7 อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป
สวัสดีครับทุกท่าน! ขอต้อนรับเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด ซึ่งในบทนี้เราจะมาพูดถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากมือของเทพเจ้าไปสู่มือของมนุษย์ และการหวนคืนของวงจรอุบาทว์ที่จะนำโลกกลับสู่ยุคมืดอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด “ อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สาม บทที่สี บทที่ห้า บทที่หก   ดินแดนแห่งมวลมนุษย์              โลกยุคใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่ Gwyn อุทิศดวงวิญญาณให้กับ The First Flame ได้นำพาโลกนี้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าอาณาจักร Lordran ของเหล่าทวยเทพก็ไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่และรุ่งเรืองเหมือนดังเช่นเคย มิหนำซ้ำพวกดินแดนที่อยู่รอบๆก็ต่างเริ่มตั้งตนขึ้นมาเป็นใหญ่จนสามารถเทียบเคียงบารมีกับเมืองหลวง Anor Londo ได้ อาทิเช่นแคว้น Zena ที่มีความเจริญในด้านเศรษฐกิจและการค้าขายเป็นอย่างมาก ( ภาพประกอบ : Domhnall คือพ่อค้าเร่จากแคว้น Zena ซึ่งมีนิสัยส่วนตัวชอบขุดเอาทรัพย์สินของคนตายมาขาย ) ต่อมาก็คือนคร Catarina ที่ขี้นชื่อเรื่องการจัดงานมหรสพรื่นเริง แถมยังมีของดีประจำเมืองเป็นเบียร์รสเลิศซึ่งหาดื่มจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และอีกจุดสำคัญที่ทำให้นคร Catarina กลายเป็นที่จดจำของเหล่าผู้คนมากมาย ก็คือชุดเกราะที่มีรูปทรงโค้งมนจนดูเหมือนกับคนอ้วน อีกทั้งยังมีหมวกที่มีรูปทรงประหลาดคล้ายกับหัวหอมจนทำให้นักรบของเมืองนี้มักจะถูกล้อเลี่ยนอยู่บ่อยๆซึ่งสวนทางกับประสิทธิภาพที่ดีจนเหลือเชื่อ นั่นก็เพราะว่าส่วนที่โค้งมนนี่เองที่คอยเป็นตัวช่วยทำให้อาวุธที่มากระทบแฉลบออกไปด้านข้างแทน ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะของนักรบ Catarina ) ตามมาด้วยเมืองดีศรีคนกล้า Astora ซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมที่สูงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านยุทโธปกรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แถมผู้คนในเมืองนี้ยังมีศีลธรรมและจริยธรรมที่สูงส่งไม่ได้ดีเเตกเสแสร้งทำเหมือนนคร Oolacile... เมื่อในอดีตเมือง Astora เคยถูกโจมตีโดยอสูรกายลึกลับตนหนึ่งจนเกือบที่จะวอดวายกันทั้งเมือง แต่ว่ามีผู้กล้าคนหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้จนสามารถกำจัดมันลงได้ จากนั้นก็นำเอาดวงตาของเจ้าอสูรกายมาทำเป็นแหวนที่มีชื่อว่า Ring of the Evil Eye ที่มีคุณสมบัติในการดูดกลืนวิญญาณเพื่อนำมารักษาบาดแผลให้กับผู้ที่สวมใส่มัน ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะบางส่วนของนักรบจาก Astora ) ( ภาพประกอบ : แหวน Ring of the Evil Eye ภายในเกม Dark Souls ) อีกเมืองก็คือ Carim อันเเลื่องชื่อในความหลากหลายทางด้านการนับถือศาสนา โดยจะมีทั้งพวกที่นับถือเทพเจ้านอกรีตอย่าง Velka ตลอดจนเทพเจ้าที่อยู่นอกเหนือตระกูลของ Gwyn อย่างเช่น Caitha เทพแห่งการร่ำไห้, Fina เทพแห่งความงดงาม, หรือแม้แต่พวก Way of White เองก็มีฐานที่มั่นอยู่ในเมืองนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเอกลักษณ์ของคนที่มาจากเมืองนี้ก็คือท่าทางการพูดที่ฟังดูแปลกประหลาดเอามากๆ เดี่ยวก็พูดจริงจังเคร่งขรึมเดี่ยวก็หัวเราะอย่างกับคนบ้า ( ภาพประกอบ : มนุษย์ในภาพนี้ทั้งหมดล้วนนับถือเทพเจ้าที่แตกต่างกันแต่ก็มาจากเมือง Carim เหมือนกัน ) ส่วนศาสนา Way of White ที่ในยุคสมัยก่อนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมเหล่า Undead โดยเฉพาะ แต่ทว่าในปัจจุบันการที่มีมนุษย์เข้ามาบริหารองค์กรมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ใน Way of White ไปด้วยและเริ่มมีการชิงดีชิงเด่นเพื่อเหตุผลทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเมือง Thorolund อันเป็นบ้านของเหล่าพระชั้นสูงใน Way of Withe มากมายที่มักจะใช้ศาสนาบังหน้าเพื่อออกคำสั่งกำจัดศัตรูทางการเมือง   ( ภาพประกอบ : เหล่า Way of White ที่มาจากเมือง Thorolund ) เมืองที่ได้กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่ปกครองโดยมนุษย์ทั้งหมด ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจและขุมกำลังทหารที่มากพอสำหรับปกครองตัวเองได้สบาย แต่ก็มีบางสถานที่ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่โตอะไรแต่ก็มีผู้คนมากมายหลั่งไหลกันมา ด้วยปรารถนาที่จะเรียนรู้ศาสตร์แห่งเวทมนต์ Sorcery ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือโรงเรียนจอมเวทย์ Vinheim หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าโรงเรียนมังกรโดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับ Seath ที่เป็นเหมือนบิดาแห่งศาสตร์เวทมนต์ทั้งมวล และถ้านักเรียนคนใดที่จบการศึกษาไปแล้วแต่ยังมีความกระหายใคร่รู้อยู่ ก็ยังสามารถออกเดินทางไปหา Seath ที่หอจดหมายเหตุภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้และเรียนรู้ Sorcery  อยู่ที่นั่นได้ แม้ว่าในภายหลัง Seath จะถูกผนึกทางเข้าออกหอจดหมายเหตุเอาไว้แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ดันทุรังพยายามฝ่าเข้าไปเพื่อจะสนองความกระหายของตน ( ภาพประกอบ : เหล่านักเวทย์ที่มาจาก Vinheim )   นอกจากนี้ก็ยังมีอาณาจักรที่อยู่ห่างไกลซึ่งไม่ค่อยมีชื่อเสียงเเละความสลักสำคัญอะไรอน่าง Balder, เเละ Berenike เป็นเหมือนเเค่เขตปกครองตัวเองของมนุษย์ธรรมดาๆ   ราชวงศ์ที่แตกสลาย              ณ เมืองหลวง Anor Londo ที่ดูเหมือนว่าจะสงบสุขดีเเละไร้ซึ่งปัญหาจากภายนอก... บนฟากฟ้ามีตวงตะวันคอยสาดแสงในยามเช้าและมอบความอบอุ่นภายให้กับผู้คนในเมืองดังเช่นที่เป็นตลอดมา ทว่าความจริงเเล้วตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo แทบจะเรียกได้ว่าถูกตัดขาดออกจากโลกภายอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเพราะคำทำนายของผู้ถูกเลือกที่ทำให้เมืองนี้ต้องปิดกั้นตัวเอง ทุกตารางนิ้วล้วนเต็มไปด้วยเหล่า Silver Knight และทหารยักษ์มากมายที่ถูกวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา และแน่นอนว่าวังหลวงที่เป็นสถานที่อยู่อาศัยของ Gwynevere และ Gwyndolin ก็ย่อมต้องมีปราการสุดหินเป็นด้านสุดท้ายเพื่อทดสอบผู้ถูกเลือก ซึ่งก็คือสองนักรบฝีมือฉกาจนามว่าอัศวินราชสีห์ Ornstein และมือเพชฌฆาต Smough ( ภาพประกอบ : Ornstein(ขวา) และ Smough(ซ้าย) คู่หูมหาประลัยเเห่งเมืองหลวง Anor Londo ) ทั้งสองได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์สูงสุดเพื่อปกป้องเทพเจ้า แต่ในอดีตนั้น Smough มีนิสัยที่วิปริตผิด มนุษย์มนาชื่นชอบการกินกระดูกของมนุษย์ที่ถูกเขาฆ่าตาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จนทำให้เขาไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลสักที… ทุกท่านสงสัยกันไหมครับว่าทำไมถึงต้องเอาคนแบบนี้เข้ามาเป็นองครักษ์ระดับสูงภายในวัง นั่นก็เพราะตอนนี้ในเมืองหลวง Anor Londo แทบจะไม่เหลือขุนพลคนอื่นๆอยู่อีกแล้ว อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ Gwyn และ Nameless King ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณของเหล่านักรบได้สูญสิ้นไปหมดเเล้ว ทำให้บางส่วนได้เกษียณตัวเองดังเช่น Hawkeye Gough บ้างก็ออกเดินทางหายสาบสูญไปอีกนับไม่ถ้วน ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของ Ornstein(ซ้าย) และ Smough(ขวา) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการแต่งตั้งให้ทั้งสองทำหน้าที่เป็นองครักษ์อย่างเป็นทางการ ) มาพูดถึงด้านของ Ornstein กันบ้าง ซึ่งเขาก็คือยอดนักรบที่เคยรับใช้ Gwyn มาตั้งแต่สมัยสงครามมังกรในอดีต อีกทั้งยังเป็นศิษย์เอกของ Nameless King ที่ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าสังหารมังกรมาโดยตรง จนทำให้เขาได้รับฉายาว่า “นักปราบมังกร Ornstein” (อู้ฮู!...) และเท่านั้นยังไม่พอเขายังเป็นหนึ่งใน “สี่สุดยอดขุนพลแห่ง Gwyn” โดยตัวเขาเองได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำของกลุ่ม, คนถัดมาก็คืออัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias ผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานในการพิชิต The Abyss, คนที่สามก็คือมือมีดแห่งเหล่าทวยเทพ Ciaran นักลอบสังหารแห่งอาณาจักร Lordran, และคนสุดท้ายก็คือนัยน์ตาปักษา Gough ผู้ที่มีฝีมือการยิงธนูที่แม่นยำราวกับปาฏิหาริย์ แต่ทว่าเกือบทั้งหมดที่กล่าวมานั่นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง Anor Londo อีกแล้ว จะเหลือเอาไว้ก็แต่ Ornstein ที่นับวันก็ยิ่งเริ่มคิดทบทวนถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต เพราะตัวเขาก็เหมือนกับเสือดุที่มีเจ้านายถ้าหากคนขี่หลังอยู่ไม่เข้มแข็งพอละก็จะไม่มีวันควบคุมเสือดุตัวนี้ได้ และเนื่องจากการที่เขาเป็นนักรบที่เจนศึกมามากก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความกระหายในการต่อสู้ แต่นี่ต้องมาติดอยู่ภายในวังหลวงโดยจะออกไปไหนมาไหนห่างไกลก็ไม่ได้ มันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นเป็นทวีคูณ ( ภาพประกอบ : สี่สุดยอกขุนพลเเห่ง Gwyn ประกอบไปด้วย Ornstein(ซ้ายบน), Artorias(ขวาบน), Ciaran(ซ้ายล่าง), Gough(ขวาล่าง) ทั้งสี่คนคือขุนพลที่ Gwyn ไว้ใจมากที่สุด  )              ส่วนทางด้านของเทพเจ้าอย่าง Gwynevere เองก็ใช่ว่าจะดีเด่นไปกว่าคนอื่นๆ เพราะตัวนางก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับตำแหน่งหัวโขนที่ได้รับ และไหนจะพวกราชกิจต่างๆที่ถูกวงการโดยน้องชายอยู่ลับหลัง จะใช้อำนาจตามดุลพินิจของตัวเองก็ไม่ได้...จะกลับไปทำหน้าที่ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรเเบบเดิมก็ไม่ได้ Gwynevere จึงได้นำเอาความคับข้องใจนี้ไปปรึกษากับ Gwyndolin ผู้เป็นน้องชายเพื่อที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน แต่ทว่าต่อให้ Gwyndolin จะสงสารพี่สาวคนนี้มากแค่ไหนก็ตามแต่คำสั่งเสียของผู้เป็นพ่อก็ย่อมต้องมาก่อนเสมอ! ด้วยนี้นี่เองจึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มหินห่างมากขึ้นและที่สำคัญมันทำให้ Gwynevere  นึกหวนคิดถึงคำพูดของ Nameless King ผู้เป็นพี่ชาย ที่เคยกล่าวว่านางควรคิดคำนึงถึงความต้องการของตนเองให้มากกว่าความต้องการของคนที่ตายไปแล้ว ทำให้นางเริ่มมีความคิดว่าเมืองหลวง Anor Londo ไม่ใช่บ้านอีกไปแล้วแต่เป็นเหมือนคุกที่จองจำจิตใจของนางเอาไว้ ( ภาพประกอบ : Divine Blessing คือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ Gwnevere ประทานให้เเก่เหล่าสาวกที่บูชานางในฐานะเทพพีเเห่งความอุดมสมบูรณ์เเละการมีบุตร… ซึ่งมีฤทธิ์รักษาบาดเเผลเเละเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยม…. ) แต่ในระหว่างที่เกิดความไม่ลงรอยกันของสองพี่น้อง ก็มีรายงานจาก Way of White ว่าตามชานเมืองเริ่มมีข่าวลือถึงการกลับมาของ Curse of Undead! เมื่อเหล่าเทพเจ้าทราบเรื่องก็ต่างอกสั่นขวัญแขวนกันไปตามๆกัน เพราะยังคงจดจำภาพแห่งความวินาศสันตะโรอันเกิดจากการที่ The First Flame อ่อนกำลังลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้น Gwyndolin จึงได้รับสั่งการให้ Way of White เร่งเผยแพร่คำทำนายของผู้ถูกเลือกออกไปยังดินแดนต่างๆให้มากที่สุดจนนำไปสู่การตีความคำทำนายออกมาแบบต่างๆซึ่งเเทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย กลับมาทางด้านของ Gwynevere เมื่อนางได้รู้ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้นางตระนักได้ว่าความมืดจะย่างกรายเข้ามาสู่เมืองหลวง Anor Londo ในอีกไม่ช้า Gwynevere จึงได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะแอบหนีออกจากเมืองหลวง Anor Londo ไปพร้อมๆกับเทพเจ้าหลายองค์ที่มีตวามคิดเช่นเดียวกัน จากนั้น Gwynevere ก็ได้ไปพึ่งใบบุญของ Flann เทพแห่งอัคคีและทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสกัน ณ อาณาจักรในดินแดนที่ห่างไกลนามว่า Heide ซึ่งจะมีบทบาทที่สำคัญในเวลาต่อมา.... ( ภาพประกอบ : Ring of the Sun Princess เป็นของดูต่างหน้าไม่กี่อย่างที่ Gwynevere ทิ้งเอาไว้  ) กลับมาทางด้านของเมืองหลวง Anor Londo ที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาความน่าเชื่อถือเพราะเหล่าเทพเจ้าหลายองค์ได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา บีบให้ Gwyndolin จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้เวทมนต์สร้างภาพลวงตาของบรรดาทุกคนที่หายตัวไปขึ้นมาทดเเทน ซึ่งภาพลวงตาเหล่านี้จะมีพลังวิเศษและนิสัยใจคอใกล้เคียงกับตัวจริงทุกประการ เมื่อปัญหาการหายตัวไปถูกจัดการได้เเล้วต่อมาก็ถึงคราวของปัญหาภาพลักษณ์ภายในตัวเมือง Gwyndolin ได้จัดการสร้างภาพลวงตาของดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อทำให้ดูเหมือนว่าแสงสว่างยังคงสาดส่องอยู่ในเมือง Anor Londo ดังเช่นวันวาน…. แต่ทว่ามีหรือเรื่องที่ฉาวโฉ่เช่นนี้จะรอดพ้นสายตาของ Ornstein ไปได้ เขาได้คอยเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและได้นำกลับมาคิดทบทวน จนมีอยู่วันหนึ่ง Ornstein ก็ได้เดินทางไปยังวิหารของเทพเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งในนั้นมีเเท่นบูชาที่ว่างเปล่าอยู่อันหนึ่งซึ่งในอดีตมันเคยรองรับเทวรูปของ Nameless King ผู้เป็นอาจารย์ของเขา Ornstein ได้จ้องมองเข้าไปยังแท่นบูชาที่ว่างเปล่านั้นราวกับว่าในสายตาเขามันยังคงมีเทวรูปของ Nameless King ตั้งอยู่เสมอมา… ( ภาพประกอบ : ทางด้านซ้ายของแท่นบูชาเคยเป็นที่วางรูปปั้นของ Nameless King ) ค่ำคืนที่แสนเยือกเย็นและยาวนานค่อยๆลอยผ่านพ้นเมืองหลวง Anor Londo ไปอย่างช้าๆ ต่างกับภายในวังที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากการสังสรรค์รื่นเริง แต่ทว่าค่ำคืนนี้กลับมีบุคคลปริศนาที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมงานด้วย… บุคคลปริศนาคนนั้นได้เดินแหวกกลางงานที่เต็มไปด้วยเหล่าทวยเทพมากมายอย่างไม่สนใจมารยาทหรือพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น โดยเขามุ่งตรงเข้าไปหา Gwyndolin จากนั้นก็เอยปากบอกให้เทพเจ้าคนนี้คลายภาพลวงตาของทุกคนออกไปซะ เมื่อพูดจบผู้คนในงานก็ต่างหันไปมองยังบุคคลปริศนาซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น Ornstein นี่เอง! เขาได้เริ่มสาธยายความคับข้องใจออกมาว่า Nameless King นั้นพูดถูกต้องมาตลอดสถานที่แห่งนี้ได้เดินทางมาถึงจุดแตกดับแล้ว เเต่ Gwyndolin กลับเอาแต่เบือนหน้าหนีความเป็นจริง เเละตัวเขาจะไม่ปกป้องภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริงเป็นอันขาด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีองครักษ์ที่ชื่อว่า Ornstein อีก สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้ Gwyndolin โกรธจนแทบอยากจะฆ่าอัศวินราชสีห์คนนี้ทิ้งแต่ก็ต้องยั้งเอามือไว้ เพราะฉายา “นักปราบมังกร” ของ Ornstein นั้นเป็นของจริง! เพียงแค่ Gwyndolin กระดิกนิ้วเขาก็สามารถพุ่งเข้าประชิดตัวได้ในพริบตา ( ภาพประกอบ : Ornstein มีชื่อเรื่องการใช้หอกแทงทะลุเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรได้ด้วยความเร็วชั่วพริบตา ) เมื่อเห็นว่าไม่มีท่าทีจะเกลี้ยกล่อมได้ Gwyndolin จึงใช้วิธีลงทัณฑ์โดยอ้างถึงการตระบัดสัตย์ต่อเทพเจ้า ฉะนั้นก่อนที่เขาจะไปก็จะต้องมอบ Soul ครึ่งหนึ่งของตนเองคืนให้แก่เหล่าทวยเทพ และแค่นั้นยังไม่พอ Gwyndolin ยังสั่งให้เขาถอดแหวน Leo Ring ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ 4 สุดยอดขุนพลเพราะคนที่ทรยศไม่มีสิทธิที่จะสวมมันอีกเเล้ว การลงทัณฑ์ดังกล่าวสำหรับ Ornstein มันก็ไม่ต่างอะไรกับการย่ำยีเกียรติของนักรบซึ่งเขาพากเพียรสั่งสมมานาน...แต่ทว่า Ornstein กลับไม่ลังเลที่จะทิ้งมันไปเลย เขาลงมือกระชาก Soul ออกมาร่างกายของตัวเองพร้อมๆกับถอดแหวน Leo Ring ทิ้งเอาไว้ที่พื้นและก็เดินจากไป ปล่อยให้ Gwyndolin ต้องยืนสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าภาพลวงตาทั้งหลาย ที่เริ่มกลับมาสังสรรค์อีกครั้งโดยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ( ภาพประกอบ : Leo Ring เป็นหนึ่งในแหวนที่สี่สุดยอดขุนพลแต่ละคนจะได้รับเพื่อเป็นการแสดงเกียรติสูงสุดของนักรบ ) ก่อนที่ Ornstein จะก้าวเท้าออกจากเมืองหลวง Anor Londo เขาก็ได้ไปบอกลาเพื่อนคนสุดท้ายอย่าง Smough ที่กำลังโมโหโกรธาเขาเป็นอย่างยิ่งและยังได้กล่าวว่าตนควรจะฆ่า Ornstein ทิ้งซะเดี๋ยวนี้ แต่เพราะยังเห็นว่าเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนจึงได้ยอมปล่อยให้ขาผ่านไป...ใครจะไปอยากเชื่อกันเล่า Smough ที่ผู้คนปรามาสถึงนิสัยส่วนตัวอันน่ารังเกียจกลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่มีความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวมากที่สุด     เส้นทางของคำทำนาย              กระแพร่กระจายของข่าวลือที่ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ได้ทำให้หลายอาณาจักรเริ่มตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือกันอย่างแข็งขัน  หลายดินแดนเริ่มมีการคัดสันเหล่าตัวแทนเพื่อส่งไปทำตามคำทำนายที่ดินแดน Lordran โดยส่วนมากก็จะเป็นพวก Undead เพราะว่าสามารถที่จะตายแล้วเกิดใหม่ได้เรื่อยๆแถมยังเป็นการป้องกันปัญหาการเข้าสู่ภาวะ Hollow ไปในตัว จนคำติดปากที่ว่า “ผู้ถูกเลือก” ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “Undead ผู้ถูกเลือก” ไปแทน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่เดินทางมายังดินแดน Lordran จะมาเพื่อทำตามคำทำนายของผู้ถูกเลือกกันเสียหมด บางคนก็เป็นพ่อค้าที่มาเพื่อการค้าขายโดยเฉพาะ บ้างก็เป็นอาชญากรที่รักในการปล้นฆ่าโดยมาเพื่อคอยดักปล้นหรือกลั่นแกล้งเหล่า Undead คนอื่นๆ... ซึ่งคนพวกนี้จะมองว่า Curse of Undead ไม่ใช่คำสาปแต่มันเป็นเหมือนพรจากพระเจ้าที่มอบชีวิตอันเป็นอมตะให้ ( ภาพประกอบ : เหล่าบรรดาคนที่มายังดินเเดน Lordran ด้วยเหตุผลอื่น ) ดูเหมือนว่าในยุคนี้สถานการณ์ของ Curse of Undead จะอยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมและดูแลได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าแค่รอให้เวลาผ่านไปแล้วเดียวผู้ถูกเลือกตามคำทำนายก็จะโผล่ตัวออกมาเอง แต่ที่ไหนได้เมื่อยิ่งเวลาผ่านพ้นไป จากวันก็เข้าสู่เดือน จากเดือนก็เข้าสู่ปี จากปีก็กลายเป็นหลายสิบปีซึ่งก็ไม่มีวี่แววของผู้ถูกเลือกว่าจะโผล่สักที ประกอบกับช่วงพักหลังมานี้มี Undead หลายคนเริ่มไม่ยอมทำตามคำนายส่งผลให้หลายอาณาจักรเริ่มร้อนรน ประกอบกับจำนวนของ Undead ที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนเป็นการยากที่จะควบคุม ทาง Way of White เองก็ได้เร่งประโคมข่าวหนักขึ้นอีก! โดยหยิบเอามาตรการที่รุนแรงมากขึ้นมาใช้อย่างเช่นการจัดตั้งอาสาสมัครตามหมู่บ้านเล็กๆให้ออกตามล่าและขับไล่พวก Undead เพื่อบีบให้ต้องลี้ภัยไปยังดินแดน Lordran ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ทิ้งขยะของดินเเดนอื่นๆไปเเล้ว… จากการคัดสันหาตัวแทนมาตอนนี้ก็ได้แปลเลี่ยนกลายเป็นการบีบบังคับไปเเทน ในบางอาณาจักรถึงขั้นจัดตั้งสถานกักกันเหล่า Undead ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเหล่าผู้โชคร้ายทั้งหลายจะถูกนำตัวมาเเละบังคับให้ผูกวิญญาณเข้ากับ Bonfire ในสถานนี้เพื่อให้เกิด, ตาย, และวนเวียนอยู่ในสถานกักกันไปตลอดกาล (โหดร้ายสุดๆ) โลกทั้งใบได้กำลังกลับเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง! ( ภาพประกอบ : มุมมองจากภายนอกของ Undead Asylum ) ณ ดินแดนทางตอนเหนืออันห่างไกลสุดลูกหูลูกตา ได้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า Undead Asylum ที่สร้างขึ้นมาเพื่อกักขังและทำการทดสอบเพื่อค้นหาตัว Undead ผู้ถูกเลือก แต่ทว่าท่ามกลางเหล่าผู้คนมากมายที่ถูกจับตัวมาอย่างไม่ยินยอม ก็ได้มีนักรบหนุ่มอยู่คนหนึ่งที่เต็มใจอาสามายังสุสานแห่งนี้ด้วยตัวเองเพราะมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำทำนาย นามของนักรบคนนั้นก็คือ Oscar แห่ง Astora ซึ่งเขาได้พยายามรวบรวมผู้คนข้างใน Undead Asylum ให้ช่วยกันต่อสู้เเละหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ทว่าอุปสรรคตามรายทางนั้นก็ช่างมีมากเสียเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นเส้นทางภายในที่มีความคดเคี้ยววงวน จรดเหล่าทหารยามและพวกอสูรร้ายที่ได้รับอนุญาตให้สังหาร Undead ทันทีที่พบเจอ หลายคนเริ่มยอมแพ้และสิ้นหวังเพราะต่อให้ฝ่าฟันขึ้นไปยังดาดฟ้าได้สำเร็จ พื้นที่เเห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและหุบเหวสูงลึก ไม่ว่าจะพยายามปีนป่ายแค่ไหนหากพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะตกลงไปตายและกลับมาเกิดใหม่ยัง Undead Asylum เหมือนเดิม ทำให้ทุกคนที่เหลืออยู่หมดหวังจนกลายสภาพเป็น Hollow จะเหลือก็แต่ตัว Oscar คนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีสติลงเหลือแบบเลือนราง... แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจทำให้เขาได้ไปพบเข้ากับ “Undead นิรนาม” คนหนึ่งที่ถูกขุมขังอยู่คุกเบื้องล่าง และเมื่อ Oscar ดูจนแน่ใจว่า Undead นิรนามคนนั้นไม่ได้เป็นพวก Hollow เขาจึงหอบสังขารของตนเองไปยังซากศพที่อยู่ใกล้ๆ และจัดการเอากุญแจประตูห้องขังที่มีอยู่กับตัวยัดเข้าใส่ในเนื้อหนังของศพ เพื่อป้องกันไม่ให้กุญแจที่แสนสำคัญนี้กระเด็นหายไปจากแรงของการโยนกระเเทกพื้น ( ภาพประกอบ : Oscar กำลังพยายามช่วย Undead นิรนาม ) ( ภาพประกอบ : กุญเเจเเห่งความหวังที่ถูกส่งมาโดย Oscar ) Oscar ได้โยนศพลงไปในห้องขังของ Undead นิรนามที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันเเละกันเเต่ไม่ปริปากพูดคุยกันเลยเเม้เเต่คำเดียว เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าให้หนีออกไปได้เสียก่อนแล้วค่อยมากล่าวขอบคุณก็ยังไม่สาย... Undead นิรนามได้ไขกุญแจและออกเดินไปตามทางโถงทางเดินแคบๆซึ่งเต็มไปเหล่า Undead มากมายที่นั่งลงอย่างสิ้นหวังเเละเสียสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังถูกเทพเจ้า Velka จับจ้องอยู่ห่างๆ   วิกฤติความมืดในครั้งนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก หนึ่งราชาละทิ้งหน้าที่แห่งราชวงศ์ หนึ่งอัศวินหมาป่าเสียสละแต่ล้มเหลว หนึ่งเทพเจ้าร่ำไห้เเละเบือนความจริง หนึ่งหญิงสาวหลับใหลชั่วนิรันดร์เพื่อยับยั้งความมืด  นำไปสู่การสูญสิ้นดวงตะวันแห่งเหล่าทวยเทพ จะมีก็แต่เจ้ามนุษย์ตัวจ่อยที่อาจหาญขึ้นท้าทายด้วยแรงศรัทธา อันก่อกำเนิดมาจากคำปลิ้นปล้อนของคนตาย     ( ภาพประกอบ : โถงทางเดินใน Undead Asylum ที่มีเเสงสว่างสลับกับความมืดไปจนสุดทางเดิน... )   คุยกันหลังเรื่องเล่า           ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เจ็ด “ อำนาจแห่งปุถุชน และการหวนคืนของคำสาป ” ตอนแรกผมวางแผนว่าจะเขียนบทนี้ให้รวบยอดและเร่งเข้าเหตุการณ์ในตัวเกมให้เร็วที่สุด แต่ว่าหากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการข้ามเนื้อซึ่งเป็นเสน่ห์สำคัญของเกมๆนี้ไป และอาจทำให้ท่านผู้ชมไม่เข้าใจถึงแรงผลักดันต่างๆของตัวละครภายในเกม ดังนั้นเพื่อจัดวางเนื้อหาให้เป็นระเบียบมากขึ้นผมจะแบ่งการสรุปเนื้อหาออกเป็นสองส่วน ซึ่งก็คือ Main Quest หรือเนื้อเรื่องหลักที่ผมจะเขียนให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน และจากนั้นผมถึงจะค่อยหยิบเอาพวก Side Quests ที่มีเนื้อเรื่องรองออกมาสาธยายให้อ่านกันและรวมไปถึงฉากจบแบบต่างๆด้วย...แต่ว่าตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วผมจึงขอตัวลาทุกท่านไปก่อน สวัสดีครับ  
21 Jan 2020
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 6 กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย
สวัสดีครับทุกท่าน!ขอต้อนรับเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่หก โดยในบทนี้เราจะมาสานต่อเรื่องราวหลังจากที่ Gwyn พ่ายแพ้ในการทำสงครามกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ยกทัพกลับไปยังเมืองหลวง Anor Londo เพื่อสะสางปัญหาภายในที่มันคาราคาซังมานาน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมก็ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่หก “ กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  บทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สาม บทที่สี บทที่ห้า ความเสื่อมของอำนาจ                      นับเป็นเวลาหลายปีที่ Gwyn ได้ออกเดินทางไปทำสงครามยังดินแดนอันห่างไกล และได้ละทิ้งเมืองหลวง Anor Londo เอาไว้เบื้องหลัง โดยเขาได้แต่งตั้งให้โอรสคนแรกของตนที่มีศักดิ์เป็นถึง God of War ขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ในความเป็นจริงการเเต่งตั้งครั้งนี้มันเป็นเเค่การกลบเกลื่อนเหตุทะเลาะเบาะแวงกันในราชวงศ์ ซึ่งบานปลายจนทำให้โอรสคนแรกไม่ยอมไปออกรบจนส่งผลให้ Gwyn ต้องออกนำทัพไปสู้รบกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากที่เขาจากไปไม่นานเจ้าโอรสคนแรกก็หายตัวไปอย่างปริศนา เเละเปิดช่องให้พวกตัวเหลือบไรที่จ้องจะยึดอำนาจของ Gwyn ใช้โอกาสนี้ออกมาสร้างความวุ่นวายต่างๆนานาให้กับเหล่าเทพเจ้า โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกบฏทมิฬซึ่งถูกสนับสนุนอย่างลับๆโดยเทพเจ้า Velka  ทำให้ในตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo จะต้องระแวงทั้งศึกนอกและศึกในอยู่ตลอดเวลา    ( ภาพประกอบ : อสูรกาย Taurus คือปราการสำคัญในการป้องกันนคร Izalith จนทำให้ Gwyn พ่ายเเพ้ ) เเละหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากเจ้ามังกรวิปลาส Seath ที่เหิมเกริมใช้อํานาจบาดใหญ่อย่างไม่ไว้หน้าเทพเจ้า เนื่องจากในเมืองหลวง Anor Londo ตำเเหน่งที่ปรึกษาของมันจะเป็นรองแค่ต่อ Gwyn และโอรสคนแรกเพียงเท่านั้นซึ่งทั้งคู่ก็ไม่อยู่ในเมืองเเล้ว จึงทำให้ Seath อ้างคําสัญญาที่ Gwyn เคยให้ไว้กับมัน  และทำการทดลองเวทมนตร์ภายในครรภ์ของ Gwynevere จนนางตั้งท้อง และได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงคนหนึ่งที่เป็นเลือดผสมระหว่างมังกรและเทพเจ้าคนแรกของโลก นามของเธอก็คือเจ้าหญิงนอกรีต “ Priscilla ” โดยเธอมีผิวพันและใบหน้าที่คล้ายคลึงผู้เป็นแม่ แต่ทั่วร่างกายกลับมีขนสีขาวปกคุมและยังมีหางมังกรเหมือนกับผู้เป็นพ่อ แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูงดงามและไร้เดียงสาของเธอกลับซ่อนเร้นพลังที่มีความสามารถในการดูดกลืนชีวิตซึ่งคล้ายกับเหล่า Darkwraith และเธอยังมีความสามารถในการล่องหนหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ Priscilla กลายเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าทวยเทพไม่เว้นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดอย่าง Gwynevere ส่วนสำหรับ Seath มันก็มองว่าเธอเป็นแค่อีกหนึ่งผลการทดลองเท่านั้น...ในเมื่อโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการ Priscilla อีกแล้ว เธอจึงถูกส่งไปจองจำอยู่ในโลก Painted World of Ariamis อันหนาวเหน็บเเละมืดมิดตลอดกาล ( ภาพประกอบด้านซ้าย : ภาพ Concept Art ของ Priscilla ) ( ภาพประกอบด้านขวา : หน้าตาของ Priscilla ภายในเกม Dark Souls ภาคเเรก )                      อีกหนึ่งการทดลองที่ Seath ทุ่มเทเเรงกายเเรงใจเพื่อให้มันสำเร็จก็คือการทดลองที่มุ่งสู่ความเป็นอมตะ เพราะในอดีตมันเคยถูกเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันดูถูกและเหยียดหยามในความพิกลพิการที่ปราศจากความคงกระพันอันเป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกร ทำให้หลังจากนั้นมันก็ได้หมกมุ่นอยู่กับการทดลองสู่ความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เเละถึงแม้ในภายหลัง Seath จะค้นพบหนทางสู่ความเป็นอมตะได้สำเร็จ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยศีลธรรมในจิตใจที่บิดเบี้ยวอันเกิดมาจากการทดลองวิปริตนับครั้งไม่ถ้วน หากจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับตลกร้ายเพราะความเป็นอมตะที่ Seath ได้มา กลับทำให้มันต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนวิปลาสไปตลอดกาล  ( ภาพประกอบ : แท่ง Crystal อันล้ำค่าของ Seath ที่กักเก็บพลังความเป็นอมตะเอาไว้ )   คำทำนายของผู้ถูกเลือก                                   หลายปีมาแล้วที่ Gwyn  ได้ต่อสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก(แพ้) ประกอบกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น จึงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองหลวง Anor Londo โดยก่อนที่จะเข้าเมืองเขาก็ได้สั่งการให้พวก Black Knight ออกไปตั่งแคมป์ให้ห่างไกลจากตัวเมือง เพราะต้องการปิดบังพวกชุดเกราะที่ถูกเพลิง Chaos เผาไหม้จนกลายเป็นสีดําสนิท อันเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ ( ภาพประกอบ : Black Knight คือกองทัพหลักที่ Gwyn ใช้ในการต่อสู้กับเหล่าอสูรเเห่ง Izalith )  เมื่อเข้ามาถึงยังวังหลวงสิ่งแรกที่ Gwyn คาดหวังก็คือการได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีระบุรุษจากบรรดาบุตรของตน แต่ก็ต้องพบว่ามีเพียงแค่ Gwyndolin และ Gwynevere เท่านั้นที่ออกมาต้อนรับเขา และเมื่อถามไถ่จนรู้เรื่องราวทั้งหมด Gwyn ก็ถึงกับควันออกหู โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอมอยู่ปกป้องเมืองหลวง Anor Londo อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวล อีกทั้งยังมีข่าวลือหน่าหูจากพวก Warrior of Sunlight ว่าโอรสคนแรกไปมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิที่บูชามังกรนิรันดรอันเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับเทพเจ้า แต่ถึงจะโกรธเพียงใด Gwyn ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าลูกคนนี้นี่เเหละที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ เขาจึงได้ออกคำสั่งให้ตามหาตัวโอรสคนเเรกเเละพากลับมายังเมืองหลวง Anor Londo เเต่ก็หาไม่เจอ... ( ภาพประกอบ : Ash Lake สุสานร้างของเหล่ามังกรนิรันดร ลือกัน ว่าที่เเห่งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้โอรสคนเเรกมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป )  เรื่องที่เกิดขึ้นมันได้ทำให้ทั้งกายและใจของ Gwyn ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่สุดๆจนเรียกได้ว่าแทบจะหมดอาลัยตายอยากกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องทนเห็นอาณาจักร Lordran ของตนค่อยๆล้มสลายลง หรือบรรดาคนใกล้ชิดที่ทยอยกันตีตัวออกห่างจากเขา ด้วยความสิ้นหวังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงทำให้ Gwyn ได้ตัดสิ้นใจใช้วิธีสุดท้าย... วิธีซึ่งต้องแลกมาด้วยวิญญาณของตัวเองด้วยการอุทิศ Lord Soul หรือมหาดวงวิญญาณทวายเข้าเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต่ออายุให้กับ The First Flame นั่นจะเป็นการยืดเวลาของยุคแห่งไฟออกไปสักพักซึ่ง Gwyn ก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้มันไม่มีทางยั่งยืน เขาจึงได้ลงมือวางแผนครั้งสุดท้าย แผนการที่จะกลายเป็น “บาปแรก” ที่วันหนึ่งจะนำความพินาศมาสู่โลกของเขาเสียเอง Gwyn ได้เรียกตัวเหล่าบริวารทั้งหมดที่ยังคงภักดีต่อเขามาเข้าเฝ้าและหาลือในแผนการใหญ่ครั้งนี้ และหลังจากหาลืออยู่หลายวัน Gwyn ก็ได้แผนการที่มีชื่อว่า “ผู้ถูกเลือก” ขึ้นมา โดย Gwyn เริ่มจากให้นักบวชของ Way of White ออกป่าวประกาศไปทั่วทุกดินแดนว่าเขาจะเป็นผู้ที่เสียสละและยอมอุทิศ Lord Soul ภายในกายเป็นเชื้อเพลิงมอบแด่ The First Flame เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัยจากความมืดมิด จากนั้นก็อุปโลกน์คำทำนายว่า “หากวันใดก็ตามที่ความมืดย่างกรายกลับคืนมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีผู้ถูกเลือกทำหน้าที่ต่ออายุของ The First Flame เฉกเช่นที่ Gwyn เคยทำ” ซึ่งนี้จะถือเป็นการได้รับเกียรติที่สูงที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีได้ (ตอแหลสุดๆ...) แต่ประเด็นสำคัญก็คือการที่คนๆหนึ่งจะเป็นผู้ถูกเลือกได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย และต่อให้กลายเป็นผู้ถูกเลือกได้แล้วคนๆนั้นก็ต้องไปตามล่า Lord Soul จากเหล่าบรรดา Lord ตนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่มดแห่ง Izalith และจ้าวแห่งความตาย Nito …. ยังไม่หมด! ผู้ที่ถูกเลือกจำเป็นจะต้องไปสังหาร Four Kings เพื่อช่วงชิงเศษเสี้ยว Lord Soul ของ Gwyn กลับคืนมา และยังไปต้องสังหาร Seath เพื่อเก็บเอาดวงวิญญาณของมังกรนิรันดรมาด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มพลัง Soul ของผู้ถูกเลือกให้แข็งแกร่งมากพอที่จะต่ออายุของ The First Flame ได้  อันที่จริงหากเราลองมาคิดดูดีๆ ก็จะเห็นว่ารายชื่อพวกนีัทั้งหมดถ้าไม่ใช่ศัตรูของ Gwyn ก็เป็นพวกหอกข้างแคร่ของเทพเจ้าทั้งนั้น สรุปง่ายๆก็คือ Gwyn หลอกใช้ผู้ถูกเลือกให้ไปกำจัดเสี้ยนหนามและศัตรูไปพร้อมๆกับต่ออายุของ The First Flame นั่นเอง ( ภาพประกอบ : Soul คือพลังวิญญาณที่จะทำให้ผู้ครอบครองเเข็งเเกร่งยิ่งขึ้น ทำให้ในช่วงที่เศรษฐกิจล่มสลาย Soul จึงถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางการเเลกเปลี่ยนเเทนเหรียญกษาปณ์ )                      หลังจากที่คำทำนายแพร่สะพัดออกไป เหล่าบรรดามนุษย์ที่เป็น Undead ก็ต่างกลับมามีหวังที่จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในทางกลับกันคำทำนายนี้ก็เหมือนกับบอกให้ศัตรูของ Gwyn เตรียมตัวรับมือศึกที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างเช่นพวกอสูรแห่ง Izalith ที่เมื่อรู้ถึงคำทำนายก็ได้ส่งเหล่าอสูรบางส่วนขึ้นไปบนผิวโลกเพื่อขัดขวางทุกคนที่ต้องการทำตามคำทำนายนี้ หรือจะเป็นเจ้าอสรพิษเจ้าเล่ห์ Kaathe ที่จ้องจะปั่นหัวผู้ถูกเลือกให้มีความคิดทรยศต่อเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ Gwyn จึงต้องทำให้มั่นใจว่าคนที่จะถือครอง Lord Soul และจะเข้าไปถึง The First Flame  ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าไว้ใจและคัดสันมาแล้วเท่านั้น Gwyn จึงได้สร้างอุปกรณ์ทรงพลังชิ้นหนึ่งขึ้นที่เรียกว่า Lordvessel ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการดึงพลังของ The First Flame ออกมาใช้งานได้สารพัดประโยชน์ เช่นใช้ในการสร้างม่านพลังวิเศษเพื่อปิดกั้นเส้นทางต่างๆได้ Gwyn จึงได้ใช้ความสามารถนี้สร้างม่านพลังขึ้นมาผนึกเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังรังของ Seath, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้และมีเเต่คนที่เทพเจ้าเห็นว่าคู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับ Lordvessel เพื่อใช้เป็นกุญแจปลดผนึกเส้นทางนั้นๆได้ ( ภาพประกอบ : Lordvessel ยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อ Bonfire จากทุกสถานที่และทุกช่วงเวลาเข้าด้วยกัน )              เมื่อการเผยแพร่คำทำนายประสบความสำเร็จ Gwyn ก็ได้เรียกตัวบรรดาลูกๆที่เหลือเข้ามาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย โดยเขาได้แต่งตั้งให้ลูกสาวคนโตอย่าง Gwynevere ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราวในระหว่างที่รอให้โอรสคนเเรกกลับมาปกครองดูแลเมืองหลวง Anor Londo แต่ถ้าหากโอรสคนเเรกยังคงดื้อดึงไม่ทำตาม Gwyn ก็อนุญาตให้ขับไล่ออกจากราชวงศ์ เรียกได้ว่าตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย! ส่วน Gwyndolin เขาได้กำชับให้ทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาผู้เป็นพี่สาวอยู่เบื้องหลัง เนื่องมาจาก Gwynevere ไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องการเมืองเท่าไรนัก เเ ส่วนด้านความมั่นคง Gwyn ก็ได้เรียกตัวเหล่า Silver Knight และทหารทั้งหมดให้กลับมาปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ช่วงเวลาอันหอมหวานในอำนาจของ Gwyn มันกำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาได้นำกำลังเหล่า Black Knight ออกเดินทางไปยัง Kiln of the First Flame ซึ่งถูกสร้างโดย Lord ทั้งสามตนในสมัยที่ยังทำสงครามมังกรร่สมกันเพื่อกักเก็บพลังของ The First Flame เอาไว้ข้างใน เมื่อเข้ามาถึง Gwyn ก็ได้นั่งลงและจ้องมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย กองไฟที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา  และวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะมอบกลับคืนให้กับมัน... บรรยากาศโดยรอบเริ่มค่อยๆเงียบสงัดลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆหรี่ลงๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุนเพียงเพื่อเฝ้ารอการตัดสินใจของมหาเทพคนนี้ ทุกคนต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดเเต่ปราศจากหมู่ดาว นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า The First Flame ได้ตายลงแล้ว! ทั่วโลกต่างเกิดความวุ่นวายขึ้น บ้างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวบ้างก็ยอมรับชะตากรรมที่กำลังมาถึง การหายไปของแสงสว่างยังทำให้แม้แต่โอรสคนแรกก็ยังต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อเฝ้ามองแสงสุดท้ายที่กำลังจะลับหาย ณ ปลายขอบฟ้า แต่ฉับพลันอยู่ดีๆก็บังเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นแสงสว่างจากการระเบิดได้สาดส่องไปทั่วผืนปฐพีราวกับรุ่งสาง และเมื่อมองไปบนฝากฟ้าก็จะได้เห็นดวงตะวันลอยสุกสว่างตั้งตระหง่าน สิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้เพราะว่า Gwyn ยอมสละตัวเองให้กับ The First Flame เหล่าผู้คนที่เคยหวาดกลัวกลับลุกขึ้นและโห่ร้องยินดีพร้อมกับเอยสรรเสริญเทพเจ้า Gwyn ว่าเป็นผู้ช่วยให้โลกพ้นจากการล่มสลาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายในเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะต่างก็รู่ดีว่านี่มันเป็นแค่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ! ( ภาพประกอบ : สภาพของ Kiln of The First Flame หลังจากที่ Gwyn อุทิศตัวเองให้กับไฟ )                      การอุทิศตัวเองของ Gwyn ได้ทำให้วิญญาณของเขาถูกเผาไหม้จนสูญสลายไป และคงเหลือเอาไว้เพียงร่างกายที่ไร้สติคอยเดินวนเวียนไปมารอบ The First Flame ส่วนบริเวณโดยรอบต่างถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านจำมหาศาลล่องลอยไปตามท้องฟ้าและปกคลุมล้อมรอบ Kiln of The First Flame ด้านพวก Black Knight ที่ติดตามมาด้วยเมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้วก็ต่างออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าระวังภัยจากภายนอกให้แก่เหล่าเทพเจ้า เหลือไว้ไม่กี่คนเพื่อเป็นบททดสอบสุดท้ายให้แก่ผู้ถูกเลือก หลังจากที่โลกรอดพ้นวิกฤติมาได้แบบฉิวเฉียด เหล่าเทพเจ้าก็อวดอ้างความสำเร็จของ Gwyn และจัดพิธีศพอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาด้วยการสร้างโลงศพเปล่าขนาดมหึมาเพื่อเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี จากนั้นยังได้ยกย่องให้ Gwyn กลายเป็น “ Lord of  Cinder ” หรือจ้าวแห่งปฐมเพลิงคนแรกของโลก ภายในพิธีศพมีผู้คนจากทั่วทุกดินแดนแห่แหนกันมาเข้าร่วมพิธีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม้แต่ลูกอกตัญญูอย่างโอรสคนแรกก็ยังกลับมาร่วมพิธีศพเช่นกัน แต่พอ Gwynevere และ Gwyndolin พูดถึงเรื่องการสืบราชบัลลังก์เขาก็ได้เเต่อ้างว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าจะต้องไปทำเเละเเม้จะขอร้องมากเเค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว จนสุดท้าย Gwyndolin ทนไม่ไหวจึงหยิบเอาคำสั่งไม้ตายที่ Gwyn เคยให้ไว้ออกมาข่มขู่ผู้เป็นพี่ชาย เเต่โอรสคนแรกกลับตอบว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย ราชบัลลังก์มันก็เป็นแค่ภาพมายาและเป็นการเเสดงออกถึงความดื้อรั้นในการรักษาอำนาจ ตัวเขาจะไม่ยอมแบกรับคำโกหกของผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดขาด! ( ภาพประกอบ : ในภาพคืออาวุธที่ถูกร่ายด้วยเวทมนตร์ Sunlight Blade ซึ่งโอรสคนเเรกได้ทิ้งเอาไว้เพื่อเป็นคำบอกลา Gwyn เป็นครั้งสุดท้าย ) ก่อนที่จะจากไปเขาก็ยังได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายเพื่อเตือนสติน้องๆทั้งสองคน ว่าควรจะเลิกตามรอยโชคชะตาที่ผู้เป็นพ่อได้กำหนดเอาไว้ให้ จงอย่าได้เป็นเหมือนเขาที่เคยถูกฝังความคิดให้หลงเข่นฆ่าเหล่ามังกรนิรันดรแบบไม่มีเหตุผล เมื่อพูดจบเขาก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง Anor Londo ทันทีและไม่เคยย้อนกลับมาเหยียบยังเมืองนี้อีกเลย  คำพูดที่เขาทิ้งไว้ดูเหมือนจะไปสะกิดใจ Gwynevere ให้เริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่สำหรับ Gwyndolin มันก็คือการทรยศต่อผู้เป็นพ่อ...ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง Gwyndolin จึงได้ออกคำสั่งผ่านพี่สาวให้ขับไล่เเละลบจารึกการมีตัวตนอยู่ของโอรสคนเเรกออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนพวก Warrior of Sunlight ซึ่งบูชาและนับถือโอรสคนแรกก็ถูกบังคับให้ละทิ้งความเชื่อ ส่วนพวกสิ่งของต่างๆที่เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของโอรสคนแรกก็ล้วนแต่ถูกทำลายจนหมดสิ้น บีบให้เหล่าสาวกต้องแอบบูชาอยู่ในเงามืดและเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ Nameless King ” หรือกษัตริย์ไร้นามเป็นข้อความลับเพื่อใช้กล่าวแทนชื่อของโอรสคนแรก ( ภาพประกอบ : ในอดีต ณ สถานที่เเห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งรูปปั้นของ Nameless King ให้กับเหล่าสาวกได้เคารพบูชา )   ยุคเเห่งไฟที่ไม่มีวันหวนคืน                      หลังจากที่ Gwyn ได้เสียสละเพื่อให้แสงสว่างกลับคืนมาสู่โลกนี้อีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาในตัวมนุษย์มีต่อเทพเจ้าซึ่งหากมองอย่างผิวเผินก็อาจจะดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นแต่ติดตรงที่สองในสามของผู้ที่ศรัทธาล้วนแต่เป็นคนที่อาศัยอยู่นอกดินแดน Lordran เกือบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เมืองหลวง Anor Londo ก็ยังคงไม่ปลอดภัยและอาจสามารถถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ เเละไหนจะการเสื่อมลงของอำนาจปกครองอีก เพราะในอดีต Gwyn จะคอยเข้าไปดูเเลเเละกำกับการปกครองทั้งหมดจะอย่างใกล้ชิดจนเรียกได้ว่าเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆเรื่อง ซึ่งข้อดีก็คือมันจะทำให้อาณาจักรเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน แต่หากวันใดวันหนึ่งที่คนสั่งการไม่อยู่แล้วละก็ฐานอำนาจก็จะเกิดความสั่นคลอนและพังลงได้อย่างง่ายดาย (ตัวอย่างเช่นตอนที่ Gwyn ออกไปสู้รบกับอสูรแห่ง Izalith จนเกิดความวุ่นวายภายใน) แม้แต่องค์กรใหญ่ๆอย่าง Way of White และ Silver Knight ก็ยังเริ่มแต่งตั้งให้มนุษย์เข้ามารับตำแหน่งระดับสูงในองค์กรเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่เหล่าทวยเทพที่มักจะวุ่นอยู่กับปัญหาความมั่นคงและต้องมานั่งเฟ้นหาผู้ถูกเลือกตามคำทำนายอีก(น่าปวดหัวจริงๆ) ( ภาพประกอบ : Andre คือมนุษย์ที่เป็น Undead จึงทำให้เขาสามารถทำในงานที่ตนเองรักไปได้ตลอดกาล ) ทางด้านสังคมของมนุษย์ เหล่า Undead ที่ก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ร่ำร้องว่าอยากจะตายเพื่อให้หลุดพ้นจาก Curse of Undead เสียเหลือเกิน แต่พอเอาเข้าจริงๆเมื่อมนุษย์กลับมาตายได้อีกครั้งหนึ่ง คนเหล่านั้นกลับกลืนน้ำลายตัวเองและไม่ยอมตาย นั่นก็เพราะว่าการเป็น Undead ในยุคแห่งไฟจะทำให้ร่างกายจะไม่เข้าสู่ภาวะ Hollow อีกต่อไปเเละส่งผลให้พวก Undead สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆตามที่ต้องการ จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้มนุษย์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องการเมืองการปกครองอย่างช้าๆ เเม้เเต่ป้อมปราการหลายแห่งใน Lordran ที่ในอดีตเคยถูกใช้เพื่อสอดเเนมพฤติกรรมของเหล่ามนุษย์ มาตอนนี้กลับถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขตของมนุษย์ไปเสียแล้ว ( ภาพประกอบ : Undead Burg เป็นอีกหนึ่งที่ซึ่งถูกมนุษย์เข้ายึดครองหลังจากการเสื่อมอำนาจของเทพเจ้า ) ความเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นใยังส่งผลให้เหล่าบรรดา Lords ตนอื่นๆเริ่มมีปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นจ้าวแห่งความตาย Nito ที่แม้จะถูก Lordvessel ผนึกทางเข้าออกเอาไว้ก็ตาม แต่เขาก็ยังดั้นด้นหาวิธีจนสามารถส่งเหล่าสมุนบางส่วนออกมาได้ โดยสมุนพวกนี้จะเรียกตัวเองว่า Gravelord Servant หรือผู้รับใช้จ้าวแห่งความตายที่จะคอยออกตามล่าเหล่า Undead ที่พยายามโกงความตาย ( ภาพประกอบ : Eye of Death เป็นเครื่องรางที่เหล่า Gravelord Servant มักจะพกติดตัวกัน ) ส่วนทางด้านแม่มดแห่ง Izalith หลังจากถูกผนึกทางเข้าออกเอาไว้ นางก็ได้ถูกตัดขาดออกจากกองทัพอสูร ซึ่งในบรรดาพวกนั้นก็มีลูกสาวสองคนของนางนามว่า Quelaag และ Quelaan ที่ติดอยู่ภายใต้พื้นดินใกล้กับบริเวณทะเลสาบพิษ The Great Swamp และไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าไปยังนคร Izalith ได้ ทั้งสองจึงได้ตัดสินใจนำเหล่าอสูรที่เหลืออยู่บุกเข้ายึดป้อมปราการร้างแห่งหนึ่งซึ่งใจกลางสถานที่นี้มีระฆังใบใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ โดยมันเคยถูกใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนถึงการรุกรานจากเหล่าอสูร ( ภาพประกอบ : ภายหลังระฆังนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบ สำหรับผู้ถูกเลือกเเละจะถูกเรียกว่า Bell of Awakening ) หลังจากเข้ายึดป้อมปราการเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็ดำเนินการสะสมกองกำลังอสูรให้เพิ่มมากขึ้น แต่ทว่าวิธีการเดิมๆอย่างการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นอสูรนั่น กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ The Great Swamp แทบจะไม่มีมนุษย์เดินทางผ่านเข้ามาอีกแล้วเเละยิ่งหลังจากที่ Gwyn ถอนกำลังรบออกไป ทะเลสาบพิษแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไปโดยปริยาย ดังนั้น Quelaan จึงใช้วิธีแบ่งเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของตัวเองและแปลเปลี่ยนมันออกมาเป็นไข่อสูรหลายร้อยใบที่รอวันฟักตัวออกมาเป็นกองทัพอสูร เพื่อเตรียมตัวสำหรับการมาเยือนของเหล่าผู้ถูกเลือกที่หมายมั่นจะช่วงชิงดวงวิญญาณ Lord Soul ของผู้เป็นมารดา เเต่เมื่อเวลาผ่านไข่หลายฟองของนางกลับค่อยๆตายลงตาม Soul ในร่างที่ค่อยๆน้อยลง ทำให้ Quelaan เลือกใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อว่านางจะดูดซับพิษร้ายออกจากร่างของใครก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากพิษใน The Great Swamp เพื่อหลอกล่อให้คนเหล่านั้นเข้ามายังรังของนางเเละจะถูกนำตัวไปกระทำการบางอย่างที่วิปริตยิ่งกว่าการกลายสภาพเป็นอสูร... ( ภาพประกอบ : เส้นทางที่ถูกผนึกเอาไว้ของนคร Izalith คนที่จะผ่านไปได้จะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าเลือกมาเเล้วเท่านั้น )                      ในยุคสมัยนี้ดูเหมือนว่าสายลมแห่งความเงียบสงบได้กำลังพัดผ่านโลกทั้งใบที่เหน็ดเหนื่อยล้าจากการมาถึงของยุคมืดเเละกลายเป็นช่วงเวลาฟ้าหลังฝนที่สงบสุขยาวนานนับพันปี หลายอารยธรรมก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่จนยิ่งใหญ่เเเละรุ่งเรือง และหลายอารยธรรมก็ล่มสลายหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนเเปลงก็คือ  “วันหนึ่งแสงแห่งเพลิงจะมอดดับลง และโลกจะคงเหลือไว้เพียงความมืดมิดชั่วนิรันดร์”   คุยกันหลังเรื่องเล่า                      ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 6 “ กำเนิดจ้าวแห่งปฐมเพลิง และยุคสมัยเเห่งการเสื่อมถอย ” ผมต้องขอบอกเลยว่าในบทนี้ผมพยายามที่จะขมวดปมต่างๆในเรื่องให้มากที่สุด เพื่อที่จะเร่งนำท่านผู้ชมเข้าสู่ยุคสมัยที่เป็นเหตุการณ์ในเกมให้เร็วที่สุด โดยยังคงไว้ซึ่งสาระที่สำคัญที่จำเป็นต้องทราบ  เราทุกคนต่างก็เคยเห็นตัวละครนักวิทยาศาสตร์สติเฟืองใน Plot ของเกมยอดฮิตหลายๆเกม แต่รู้หรือไม่ว่ามันก็มีเค้าความเป็นจริงอยู่บ้างเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นพวกยารักษาหรือผลิตภัณฑ์ทางเคมีต่างๆก่อนที่จะนำไปใช้กับมนุษย์ก็จะถูกนำทดสอบเพื่อหาผลข้างเคียงในสัตว์เสียก่อน (หนูทดลอง) เเถมในช่วงเวลาสงครามก็เคยมีการทดลองที่วิปริตสุดๆกับมนุษย์เช่นกัน.... เอาเป็นว่าในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่าคำทำนายของผู้ถูกเลือกที่ Gwyn ทิ้งเอาไว้ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน ( ภาพประกอบ : เเผ่นหลังของผู้ถูกเลือกซึ่งจะเป็นผู้ที่เเบกรับคำโกหกของ Gwyn เอาไว้ )  
02 Jan 2020
บทสรุป Dark Souls ตำนานของเกมบทที่ 5 “อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ”
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า ความเดิมในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่ The First Flame ได้อ่อนกำลังลง อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายน้อยใหญ่ทั่วปฐพี ไม่ว่าจะเป็น Curse of Undead ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดศาสนาอย่าง Way of White ขึ้นมา, หรือการก่อกบฏที่เกือบจะทำให้ Gwyn ต้องสูญเสียอาญาจักรที่สุดรักสุดหวงของเขา โดยในบทนี้ผมจะมาเล่าตำนานของวีรบุรุษผู้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อเข้าต่อสู้กับ The Abyss อันเป็นขุมพลังเเห่งความมืดไร้จุดจบ.... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอต้อนรับท่านผู้ชมเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่ห้า “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” < ลิงค์บทความก่อนหน้า >  1. บทที่หนึ่ง 2. บทที่สอง 3. บทที่สาม 4. บทที่สี่   มหานครแห่งการจองจำ Ringed City ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn  ( ภาพประกอบ : บรรยากาศของ Ringed City ภายในเกม ) เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้  ( ภาพประกอบ : เวทมนต์ Repair หนึ่งในของดีเมือง Oolacile )                 Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง ( ภาพประกอบ : Judicator มีพลังในการเรียกวิญาณของสมาชิก Spear of the Church มาเพื่อใช้ต่อสู้ได้ชั่วคราว ) แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น ( ภาพประกอบ : Ringed City ถูกออกเเบบมาให้สามารถเฝ้าดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords ได้จากทุกมุมเมือง ) เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว ) ( ภาพประกอบ : ร่างกายของ Mad King ถูกตรึงเข้ากับอาวุธในขณะทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปเกิดใหม่ ) ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน ( ภาพประกอบ : Midir ต้องต่อสู้กับความมืดอยู่ตลอกเวลา จนได้รับฉายาว่า Darkeater หรือผู้ดื่มกินความมืด ) ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile   นครสีทอง Oolacile กับเมืองคนตาย New Londo เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น ( ภาพประกอบ : หน้าตาอันหล่อเหลาของ Kaathe อสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ ) เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะ;jkประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง ( ภาพประกอบ : Dark Hand เป็นอาวุธเดียวในเกมที่ให้เราสามารถขโมย Humanity จากผู้เล่นคนอื่นได้ )                 เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น ( ภาพประกอบ : วิวระยะไกลของลานประลองในเมือง Oolacile ) ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง ( ภาพประกอบ : Ciaran คือมือสังหารที่คอยทำงานสกปรกให้กับ Gwyn ) ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล… Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่ ( ภาพประกอบ : Darkwraith คือนักรบที่ยอมรับพลังเเห่งความมืด ) เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Humanity บริสุทธิ์ที่มีความคิดเเละสติปัญญาเป็นของตนเอง ) ( ภาพประกอบด้านขวา : ประชากรในเมือง Oolacile ที่กลายร่างเป็นปีศาจ ) ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา ( ภาพประกอบ : นคร Oolacile ที่ได้ถูก The Abyss กลืนกินไปเเล้ว ) การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”   วีรบุรุษ Artorias… ก่อนหน้านี้ข่าวการจู่โจมของนักรบ Darkwraith เพื่อขโมย Humanity มันยังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะมันก็ไม่ต่างกับอาชญากรรมทั่วไปที่เกิดขึ้นในดินแดน Lordran แต่การปรากฏขึ้นของ The Abyss ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ Gwyn จึงต้องส่งอัศวิน Artorias พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามคนให้ออกเดินทางไปยังเมือง New Londo เเละนคร Oolacile เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ( ภาพประกอบ : Artorias มีอาวุธคู่กายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มือซ้าย และมีโล่คอยป้องกันการโจมตีที่มือขวา ) เมื่อ Artorias เดินทางมาถึงยังเมือง New Londo เขาก็ต้องพบว่า Darkwraith ได้แฝงตัวกลมกลืนไปกับเหล่าผู้คนในเมืองเเห่งนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่ากันแน่ที่เป็นผู้บูชาความมืด เเละเมื่อ Artorias ขอเข้าเฝ้าเหล่า Four Kings ก็ถูกบอกปัดจนปฏิเสธไปจนไม่ได้เข้าเฝ้าสักที นั่นทำให้อศวินหนุ่มผู้นี้เริ่มคิดว่า Four Kings ก็รู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ เมื่อไม่มีความคืบหน้าเหล่าผู้ติดตามของ Artorias ก็ได้แนะนำให้เขาออกเดินทางล่วงหน้าไปยังนคร Oolacile ก่อนเลย ส่วนทางนี้พวกตนจะคอยสืบหาต้นต่อของความมืดเอง ทำให้อัศวินหนุ่มผู้นี้ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่ง เเต่ตลอดการเดินทางครั้งนี้ Artorias จะต้องปะทะกับสัตว์ป่าที่ถูก The Abyss กลืนกินไปตลอดทาง และเขายังได้ช่วยชีวิตของลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งเอาไว้ เเต่เเทนที่มันจะวิ่งหนีกลับเข้าป่าไปตามสัญชาตญาณมันกลับเดินตามเขาไปทุกหนทุกเเห่ง แม้แต่ในเวลาที่ Artorias ต่อสู้มันก็จะคอยจ้องมองอยู่ห่างๆราวกับว่ากำลังเรียนรู้เพลงดาบของเขาก็ไม่ปาน Artorias จึงตั้งชื่อให้กับมันว่า “ เจ้าขนเงิน Sif ” ( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนึ่งในผู้ติดตามของ Artorias นามว่า Ingward ) ( ภาพประกอบด้านขวา : สัตว์ป่าในบริเวณเมือง Oolacile ที่ถูกความมืดกลืนกิน ) ยิ่ง Artorias เดินทางเข้าไปใกล้เมือง Oolacile ก็ยิ่งมีปีศาจโผล่หน้าออกมาไม่ขาดสาย ทำให้การเดินทางเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ในวันหนึ่งขณะที่ Artorias กับ Sif กำลังต่อสู่อยู่กับฝูงปีศาจเหมือนอย่างทุกวัน อยู่ๆก็มีลูกธนูขนาดยักษ์ลอยพุ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจเหล่านั้น Artorias รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นฝีมือของ Gough ยักษาผู้เป็นสหายเก่าของเขานั่นเอง Gough เป็นหนึ่งในขุนพลที่มีอายุมากที่สุดของ Gwyn เเละยังได้รับใช้เหล่าเทพเจ้ามาตั้งแต่ในยุคของสงครามมังกร โดยหน้าที่ของเขาก็คือการยิงธนูขนาดยักษ์ใส่พวกมังกรเพื่อให้มันตกจากฟากฟ้า เเต่หลังจากสงครามมังกรสิ้นสุดลงบทบาทเเละหน้าที่ของเขาก็ค่อยๆลดลงตามไปด้วย จนสุดท้าย Gough ได้ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากสนามรบเเต่ทว่า Gwyn ก็ยังรู้สึกเสียดายฝีมือของเจ้ายักษ์อยู่ จึงให้ Gough ไปประจำอยู่ที่เมือง Oolacile เเต่ทว่าผู้คนในเมืองกลับไม่ชอบใจเสียเท่าไร เพราะ Gough มีนิสัยบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกยักษ์มาเเต่เดิม ซึ่งก็คือการเป็นคนตรงไปตรงมา, คิดยังไงก็เเสดงออกมายังงั้น เเถมพวกยักษ์ยังมีสติปัญญาที่เชื่องช้าเข้าขั้นซื่อ(บื้อ) ทำให้เขามักจะมีปัญหากับคนบางจำพวกในเมือง Oolacile อยู่เป็นประจำโดยเฉพาะกับพวกนักเวทย์เเห่ง Oolacile ที่เเอบทำการทดลองความเเห่งมืด เเต่ด้วยพละกำลังที่มากกว่าของ Gough ทำให้คนพวกนั้นต้องจำยอมเขาอยู่ร่ำไป ( ภาพประกอบ : Hawkeye Gough นักล่ามังกรด้วยธนูที่เก่งที่สุดของ Gwyn เเละเขามีประสาทหูที่ดีสุดๆ ) จนกระทั่งในขณะที่ Gough กำลังหลับลึกอยู่ ก็ได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเเอบเอารากไม้ไปอุดรูที่ดวงตาในหมวกเหล็กของเขา เเละหลอกว่า Gough ป่วยจนมองไม่เห็น ( เเละพี่เเกก็บ้าจี้เชื่อตาม ) มิหน้ำซ้ำพวกมันยังหลอกว่าจะสร้างหอคอยให้กับเขาเพื่อความปลอดภัย เเต่ความเป็นจริงพวกมันได้สร้างคุกขึ้นมารอบๆตัว Gough เพื่อขังลืมเขาเอาไว้ นานๆทีถึงจะมีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนเขาเป็นครั้งคราว...เเต่เขาก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ Gough มีกิจกรรมในยามว่างก็คือ การใช้หิน Carving ที่เมื่อตกเเตกเเล้วจะส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ โยนใส่ผู้คนตามที่ต่างๆในเมืองเพื่อเเกล้งให้ตกใจ เเม้ต่อมาภายหลัง The Abyss จะเข้ากลืนกินนคร Oolacile ไปเเล้วก็ตาม เเต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเเหกคุกออกไปเเต่อย่างใด ว่ากันว่าเป็นเพราะตัวเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้ที่ปราศจากเหล่ามังกรนิรันดรอย่างในอดีต ( ภาพประกอบ : หิน Carving เป็นหินที่เมื่อเเตกออกจะส่งเสียงเป็นภาษาได้ เป็นของที่ผู้เล่น PVP ใช้เยาะเย้ยกัน )                 เมื่อ Artorias เดินทางไปถึงยังหอคอยที่คุมขัง Gough เอาไว้เขาก็ต้องพบว่าประตูทางเข้าถูกผนึกเอาไว้ด้วยเวทยมนต์ทำให้เปิดไม่ออก เเต่ Gough ก็บอกกับเขาว่านั่นไม่จำเป็นเพราะตนก็ไม่ได้อยากจะออกไปจากที่นี่อยู่เเล้ว เเต่ Gough ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนคร Oolacile ทั้งหมดให้ Artorias ฟังเเละยังเตือนสหายว่า The Abyss ที่อยู่ใต้ดินของนครเเห่งทรงพลังมาก เเม้เเต่มังกรดำ Kalameet ก็ยังถูกกลืนกินเเละออกอาละวาดไปทั่วดินเเดนนี้ ฉะนั้น Artorias จะเดินดุ่มๆลงไปยัง The Abyss ไม่ได้ ( ภาพประกอบ : Kalameet เป็นหนึ่งในมังกรนิรันดรที่เคยเเอบซ่อนอยู่ใต้ดินใกล้เมือง Oolacile ) หลังจากอัศวินหนุ่มทราบเรื่องนี้เขาก็ได้เเต่ครุ่นคิดหาหนทางทีจะลงไปยัง The Abyss ให้ได้ จนสุดท้าย Artorias ก็ได้พบกับ Kaathe ที่คอยจับจ้องเขามานานเเล้ว มันได้เข้ามาเสนอสิ้นค้าซึ่งเป็นแหวนที่จะช่วยให้ Artorias ลงไปยัง The Abyss ได้โดยไม่ถูกกลืนกิน...เเละแม้ว่า Artorias จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าอสรพิษตัวนี้เท่าไรแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องยินยอมสวมเเหวนของมัน ( บางครั้งหากเราอยากจะกำจัดความมืด เราอาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งของมันเสียก่อน ) ส่วนแรงจูงใจที่มันเลือกจะช่วย Artorias ก็เพราะกลัวว่าพลังความมืดของ Manus จะไปกระตุ้น The Abyss ในเมือง New Londo จนบ้าคลั่งตามไปด้วย เเละต่อให้ Artorias จะไม่สำเร็จมันก็ยังเป็นการตัดกำลังสำคัญของ Gwyn ไปในตัวอยู่ดี ( ภาพประกอบ : Covenant of Artorias เป็นเเหวนที่ต่อมาจะกลายเป็นเครื่องรางที่บอกเล่าวีรกรรมของ Artorias ) ในขณะที่ Artorias กำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปลุยกับ Manus เขาก็สังเดตว่า Sif ยังคงเดินตามเขาอยู่ไม่ห่าง เเม้จะไล่สักกี่ Sif ก็ไม่ยอมไปไหนราวกับว่ามันจะขอติดตาม Artorias ไปทุกหนทุกแห่งแม้จะต้องลุยผ่านความมืดไปด้วยก็ตาม เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น Artorias จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย เเละก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความมืดเพื่อกำราบ The Abyss... วีรกรรมที่ห้าวหาญของเขาถูกบอกเล่าส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น บางก็เเต่งเสริมเติมแต่งให้ฟังดูอลังการเหนือความเป็นจริง บางก็บอกว่าเป็นเพียงแค่นิทานปรัมปรา แต่ที่แน่ๆเรื่องราวของ Artorias ผู้พิชิตความมืดได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจเเก่คนรุ่นหลังที่อยากจะลุกขึ้นต่อสู้กับความมืด...ต่อสู้กับ The Abyss... ( ภาพประกอบ : รูปร่างของ Manus, ชื่อนี้ยังมีความหมายว่า”มือ” อีกทั้งยังเป็นชื่อเรียกกฏหมายโรมันโบราณที่เกี่ยวข้องกับสามีเเละภรรยา ) กลับมายังสถานการณ์ของ Gwyn เขาได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับไปยังนคร Anor Londo พร้อมกับสร้างเรื่องว่าตนได้มีชัยเหนือเหล่าอสูรเเห่ง Izalith ทั้งที่จริงเขาทำได้เเค่ตรึงกำลังของเหล่าอสูรเเห่ง Izalith เอาไว้เท่านั้น ส่วนข่าวเรื่องที่ว่า Artorias สามารถทำลาย The Abyss ใน Oolacile ลงได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน เเต่ก็ยังคงเหลือพวก Four Kings กับ Darkwraith ซึ่งยังลอยนวลอยู่ในเมือง New Londo โดยเรื่องนี้ได้ทำให้ Gwyn โกรธสุดๆเพราะว่าในอดีต Gwyn เคยเเบ่ง Soul ที่ทรงพลังของตนเองให้กับเหล่า Four Kings เพื่อเป็นสัญญาใจเเห่งความภักดี เเต่นี่พวกมันกลับมาหักหลังเขาเสียได้ Gwyn จึงได้รับสั่งให้ผู้ติดตามของ Artorias ที่อยู่ในเมือง New Londo ลักลอบเข้าไปปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไหลทะลักเข้าสู่เมือง New Londo ทำให้ทั้งเด็ก, ผู้หญิง, คนแก่ และอีกหลายพันชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมืดต้องจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนที่เหลือรอดเเละพยายามจะว่ายน้ำมายังริมฝั่งก็จะถูก Silver Knight สังหารไปเรื่อยๆ วนไปมาจนกว่าจะกลายเป็น Hollow และตายสนิท ( ในเมื่อเลี้ยงไม่เชื่องมันก็ต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นธรรมดา ) การสังเวยทั้งเมืองเพื่อยับยั้งความมืดในครั้งนี้ได้สร้างคำครหาให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ Gwyn ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องหยุมหยิมอีกเเล้ว เขาไม่เลือกวิธีการอีกต่อ...ไม่ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใดหรือจะทำให้ชื่อเสียงต้องเน่าเหม็นฉาวโฉ่แค่ไหน Gwyn จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักร Lordran ของเขาคงอยู่ต่อไป แม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองก็ตาม… ( ภาพประกอบ : สภาพของเมือง New Londo หลังจากถูกน้ำท่วม ) คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานในเกม Dark Souls บทที่ 5 “ อสูรทมิฬ กับอัศวินเขี้ยวหมาป่า ” ในบทนี้ผมจำเป็นต้องนำเอาเนื้อหาของเกมภาคสามมาช่วยปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งความท้าทายมากที่สุดของบทนี้ก็คือการต้องเรียบเรียง Timeline ให้สอดคล้องกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ( ภาพประกอบ : Hidetaka Miyazaki หัวเรือใหญ่ของ Fromsoftware ผู้ชอบสร้างเนื้อเรื่องที่มึนงงให้กับผู้เล่น ) Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของค่ายเกม Fromsoftware ซึ่งผลิตเกมตระกูล Dark Souls ออกมา ได้เคยให้เคยสัมภาษณ์ว่าเกม Dark Souls ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Pop Culture หลายอย่าง โดยอันที่เราจะเห็นกันได้ชัดๆก็คืออัศวิน Artorias ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในการ์ตูน Berserk เป็นต้น เอาเป็นว่าเมื่อผมทำ Lore ของภาคหนึ่งจบลง ผมจะกลับมาทำเกร็ดความรู้ของเกมนี้ให้กับทุกท่านได้อ่านกัน แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวลาไปก่อน และพบกันใหม่ในครั้งหน้าสวัสดีครับ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Artorias จากเกม Dark Souls ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Berserker Armor จากการ์ตูน Berserk )
10 Dec 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Soul ตำนานบทที่ 4 “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกครั้งกับ บทที่สี่ของ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls จะว่าไปแล้วเราก็เดินทางกันมาไกลพอสมควรกับซีรี่ย์นี้ หากว่าใครอยากจะทบทวนเนื้อหา ก็มีลิงค์ด้านล่างสำหรับเข้าไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้เลย ส่วนคนที่เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของเกม Dark Souls บทที่สี่  “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “ - บทที่ 1 - บทที่ 2 - บทที่ 3 - คำสาปของผู้ไม่ตาย ( ภาพประกอบ : The First Flame ที่เคยให้เเสงสว่างกับโลกใบนี้กำลังจะดับลงในไม่ช้า  )              นับตั้งเเต่ The First Flame ได้มอบการมีชีวิตให้เเก่เหล่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโศกเศร้า ไม่ว่าจะเป็นสันติภาพหรือความวุ่นวาย ล้วนเเล้วเเต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นการย้ำเตือนว่าคนเรามีเวลาอยู่บนโลกอย่างจำกัดเเละต้องใช้ชีวิตนี้ให้มีค่ามากที่สุด เเต่เมื่อ The First Flame ได้อ่อนกำลังลงมันก็ทำให้โรคร้ายที่เรียกว่า Curse of Undead หรือคำสาปของผู้ไม่ตายปรากฏขึ้นมาบนโลก เเละเพื่อเป็นการทำความเข้าใจกับ Curse of Undead ผมจะขอยกตัวอย่างเป็นนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง              กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็กๆทางตอนเหนือของดินเเดน Lordran มีชายขี้เมาอยู่คนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนเพื่อที่จะกลับบ้านของเขา แต่ด้วยความไม่ระมัดระวัง ชายขี้เมาสะดุดล้มลงกลางถนนเเละเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะจังหวะนั้นมีรถม้าวิ่งผ่านมาพอดี ทำให้เขาถูกล้อเกวียนทับเข้ากลางลำตัวจนเสียชีวิต ผู้คนแถวนั้นต่างเข้ามามุงดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นด้วยความสลดใจ จนกระทั่งทหารประจำหมู่บ้านได้กำลังนำศพของชายขึ้เมาไปฝังยังสุสาน ทว่าเรื่องพิสดารก็เกิดขึ้น เพราะร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของชายขี้เมากลับสะดุ้งขึ้นมาใหม่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น เเต่ถึงเขาจะคืนชีพขึ้นมาใหม่ ทว่าร่างกายกลับเน่าเปื่อยราวกับเป็นศพ ชายคนนั้นได้แต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน! ช่วยฉันด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ” เขาวิ่งตรงเข้าไปหาผู้คนเพื่อขอความช่วยเหลือเเต่ด้วยรูปร่างที่เหมือนกับศพเดินได้ ทำให้ทุกคนก็ต่างวิ่งหนีแตกกระเจิง จนกระทั่งมีทหารกล้าคนหนึ่งได้นำเอาดาบเข้าไปตัดศีรษะของชายคนนั้นเสียจึงทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ แต่อยู่ดีๆชายคนนั้นก็ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้ง เเต่คราวนี้มีสภาพที่เน่าเฟะยิ่งกว่าเดิม แถมหัวที่ถูกตัดออกไปก็ยังสามารถร่ำร้องขอความช่วยเหลือได้ไม่หยุด ส่วนร่างที่ไร้หัวก็วิ่งวนไปมาทั่วหมู่บ้าน สร้างความควันผวาให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น...นิทานเรื่องนี้อาจจะฟังดูแปลกๆแต่มันก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกของ Dark Souls  ( ภาพประกอบ : เเม้ตายจนกลายเป็น Undead เเต่นิสัยก็ยังคงเหมือนกับตอนยังมีชีวิต  ) การมาของ Curse of Undead สร้างความโกลาหลให้กับทุกอาณาจักรบนโลกและมันยังมีแนวโน้มที่มันจะระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับดินแดน Lordran เเต่ Gwyn ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว เขาได้มอบหมายให้ยักษาตนหนึ่งนาม Allfather Lloyd จัดตั้งศาสนา Way of White ขึ้นมา โดยสาวกของศาสนานี้จะประกอบไปด้วยพระนักบวชที่ใช้เวทมนต์ Miracle และพวก Paladin ที่เป็นเหมือนนักรบ คำสอนของ Way of White มีอยู่ไม่กี่อย่างโดยสรุปเป็นใจความได้ว่า “ จงทำตามที่พระเจ้าประสงค์เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและถูกต้อง “ แม้มันจะเป็นคำสอนที่ฟังดูแปลกๆแต่ก็มีผู้คนมากมายที่ยอมรับ เพราะคิดว่า Way of White จะปกป้องให้ตนพ้นจาก Curse of Undead ได้ ( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์ของศาสนา Way of White  ) Way of White ได้ส่งคำเชื้อเชิญไปยังเหล่านักปราชญ์ทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้มาประชุมเเละเฟ้นหาวิธีในการจัดการกับมนุษย์ที่กลายเป็น Undead โดยหนึ่งในนักปราชญ์คนหนึ่งมีนามว่า Ludleth ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลง Soul หรือพลังวิญญาณให้กลายเป็นวัตถุต่างๆได้ ( ในเวลาต่อมา Ludleth จะได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกจากความมืด ) ซึ่งเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายได้วิเคราะห์ว่า Curse of Undead มีสาเหตุมาจาก Humanity  อันเป็นพลังงานมีอยู่ในตัวของมนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์สิ้นชีพ Humanity ในตัวก็จะค่อยๆหายไปเเละร่วมไปถึงร่างกายก็จะเน่าเปื่อยลงไปตาม ถ้าหากว่าเริ่มตายบ่อยครั้งเข้าก็จะสูญเสียความทรงจำไปทีละนิดๆจนท้ายที่สุดจะเข้าสู่ภาวะ Hollow อันเป็นภาวะที่ Undead ได้สูญเสียสติปัญญาไปโดยสมบูรณ์และจะมีพฤติกรรมที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา เเต่หากถูกรบกวนก็จะเข้าทำร้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที ทว่าก็ภาวะ Hollow นี่แหละที่ Undead จะสามารถตายได้จริงๆ  ( ภาพประกอบ : พฤติกรรมของ Hollow เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ เดียวก็หวาดกลัวเดียวก็เกรี้ยวกราด ) ปัญหาติดอยู่ตรงที่การจะฆ่า Undead ให้เข้าสู่ภาวะ Hollow ได้นั้น จะมีจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนเเตกต่างกัน บางตนก็ตาย 10 ครั้ง, บางตนก็เป็นร้อย, เเละโดยเฉพาะพวกที่มีแรงจูงใจให้อยู่ต่อที่แม้จะถูกฆ่าตายนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าสู่ภาวะ Hollow เสียที  ทำให้ Way of White ต้องเริ่มมองหาหนทางอื่น โดยในระหว่างที่การทดลองกำลังดำเนินไป ก็มีเหตุทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายของ Undead สองตน แต่คนที่ชนะกลับดูซับ Humanity ของคนที่ตายไปโดยบังเอิญ ทำให้ร่างกายกลับมามีสภาพดูดีเหมือนตอนยังมีชีวิต แต่ก็เป็นเเค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นไม่ใช่การรักษาที่เเท้จริงเพราะหากว่าตายอีกครั้งก็จะกลับไปเป็น Undead เหมือนเดิม มาถึงจุดนี้ Way of White ก็รู้แล้วว่าตราบใดที่ The First Flame ยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ Curse of Undead ก็จะเป็นชะตากรรมของมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการใช้ประโยชน์จากความเป็น Undead ให้มากที่สุด โดย Way of White ได้เผยแพร่คำสอนที่ว่า “ มันผู้ใดที่เป็น Undead มันผู้นั้นคือคนบาปเเละวิธีเดียวที่จะไถ่บาปได้ก็คือต้องถวายตัวรับใช้เทพเจ้าไปชั่วชีวิตจนกว่าจะ Hollow  ” ซึ่งมันเป็นการโกหกเพื่อหลอกใช้ Undead นั่นเอง... มินำซ้ำ Gwyn ยังได้ใช้เวทมนต์สร้าง Dark Sign ซึ่งเคยถูกใช้กับเหล่า Ringed Knight มาก่อน ตีตราใส่ Dark Soul ในตัวมนุษย์ของทุกผู้ทุกนางเเละผูกเข้ากับ Bonfire ที่เป็นเหมือนท่อส่งพลังงานของ The First Flame  ( ภาพประกอบ : Bonfire ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเหล่า Undead ) Bonfire ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดเกิดใหม่ของ Undead ซึ่งตายลงในบริเวณใกล้เคียง เเละไฟของมันสามารถรักษาบาดแผลให้กับเหล่า Undead ได้อีกด้วย โดย Bonfire แต่ละที่จะมี Fire Keeper คอยประจำการอยู่ เเละทำหน้าที่ยุยงให้พวก Undead ทำตามความประสงค์ของเทพเจ้า ( หลอกใช้มนุษย์อีกแล้ว! ) ซึ่ง Fire Keeper ทั้งหมดจะต้องเป็นเพศหญิงเเละมักจะมีร่างกายที่พิกลพิการหรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคร้าย ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Fire Keep นาม Anastacia ที่ถูกตัดลิ้นออกไป ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Fire Keep ที่ถูกเรียกว่า Lady of the Darkling นางสวมใส่ชุดเกราะเพื่อปิดบังโรคผิวหนังร้ายเเรง) Way of White สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ Curse of Undead ได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่ Gwyn ก็ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างสนิท เพราะ Fire Keeper คนแรกของโลกได้ทำว่า The First Flame จะต้องดับสนิทลงอย่างแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับ Gwyn มันเป็นการตอกย้ำความกลัวในจิตใจของเข้าไปอีก แต่ในขณะที่เขากำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องของ The First Flame ก็มีข่าวลือมาจากใต้พิภพ ว่าแม่มดแห่ง Izalith ได้ประดิษฐ์ Chaos Flame ที่สามารถใช้ทดแทน The First Flame ขึ้นมาได้! สงครามอสูรใต้พิภพ  นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ Lord ทั้งสามของโลกใบใหม่ อย่าง Gwyn, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือติดต่อกันเลย จะมีก็เเค่พวกพ่อค้ามนุษย์ที่นานๆจึงจะเดินทางเข้าไป ทว่าช่วงพักหลังมานี้ ณ บึงพิษ Great Swarm ที่เคยเป็นทางลัดเข้าสู่ใจกลางนคร Izalith กลับถูกเหล่าอสูรจำนวนมากปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านมาทางนี้อีกยกเว้นพวกผู้ใช้ไฟ Pyromancer ที่ยังอาศัยอยู่ในบึงพิษ Great Swarm ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวของนคร Izalith ให้กับบุคคลภายนอกได้รับรู้ ( ภาพประกอบ : บึงพิษ Great Swarm ที่อยู่ด้านล่างของ Blighttown  ) เรื่องราวที่ว่าแม่มดแห่ง Izalith สามารถสร้าง Chaos Flame ได้สำเร็จ ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ที่ในขณะนั้นพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้ยุคแห่งเพลิง ต้องถึงการอวสาน แต่มีหรือที่แม่มดแห่ง Izalith จะยอมมอบ Chaos Flame ให้ง่ายๆ เพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้นางก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปเหมือนกัน Gwyn จึงได้สั่งให้รวบรวมกำลังพล Silver Knight และขุนพลเกือบทั้งหมดที่มี ให้เตรียมพร้อมทำสงครามกับนคร Izalith โดยเหลือกองกำลังไว้ปกป้องเมือง Anor Londo เพียงเเค่หยิบมือ ส่วนในเรื่องของ Curse of Undead Gwyn ก็ได้มอบหมายให้ Way of White จัดได้ตามสมควร ในขณะที่กองทัพของเขากำลังจะเดินทางออกจากป้อมปราการ Sens Fortress Gwyn ก็สังเกตเห็นว่าโอรสคนแรกของเขาที่ปกติจะออกเดินนำหน้าเหล่ากองทหารเสมอกลับหายหน้าไป Gwyn จึงได้เรียกตัวโอรสคนแรกของเขา เข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ความว่าโอรสคนแรกของ Gwyn ทราบถึงคำทำนายที่ The First Flame ก็จะต้องดับลงอย่างเเน่นอน เขาจึงคิดว่าสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดไม่ใช่การหอบเอากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้าน แต่ควรเป็นการยอมรับและเรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่ในยุคที่ปราศจาก The First Flame ต่างหาก ( ภาพประกอบ : Sens Fortress ปราการหน้าด่านของเมือง Anor Londo ) เมื่อได้ยินดังนั้น Gwyn ก็ของขึ้นทันทีด่าเจ้าลูกชายคนโตยกใหญ่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งอบรมเเละเเก้ไขปัญหาในครอบครัวอีกเเล้ว Gwyn จึงได้ถามเจ้าลูกชายคนโตเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมไปรบให้กับเขาหรือไม่ แต่โอรสคนเเรกก็ยังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ไปแน่นอน เรื่องนี้ทำให้ Gwyn ไม่พอใจเอามากๆเเต่เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัย Gwyn จึงได้ออกแถลงการณ์ว่าตนจะเป็นคนนำทัพไปสู้รบด้วยตัวเอง เเละได้แต่งตั้งโอรสคนแรกให้กลายเป็นราชาคอยทำหน้าที่ดูแลเมืองหลวง Anor Londo ในยามที่เขาไม่อยู่ซึ่งก็เป็นหน้าที่ๆสำคัญไม่เเพ้กัน แต่นั่นมันก็เป็นเเค่การแต่งตั้งแค่ในนามเท่านั้น เป็นการกลบเกลื่อนเรื่องที่เจ้าโอรสตนโตไม่ยอมไปออกรบในสงคราม ส่วนคนที่ได้รับหน้าที่ดูแลเมืองจริงๆก็คือ  Gwyndolin ซึ่งเป็นโอรสคนสุดท้อง  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Taurus Demon อสูรตัวยักษ์ที่เอากระดูกของอสูรด้วยกันมาทำเป็นอาวุธ ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Capra Demon คืออสูรที่กลายร่างมาจากมนุษย์  ) ทางด้านแม่มดแห่ง Izalith นางเองก็มีกองทัพอสูรเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเหมือนกัน เเต่นางก็มีความได้เปรียบจากพลังอันร้อนแรงของ Chaos Flame เข้ามาช่วยเหลือในการต่อสู้ ทำให้แม้แต่ชุดเกราะของพวก Silver Knight ที่ทนทานต่อไฟของมังกรก็ยังถูกเพลิง Chaos เผาไหม้เสียจนกลายเป็นสีดำสนิทจนถูกเรียกว่า Black Knight เเทน แต่ก็ใช่ว่าอสูรทุกตนจะอยู่ข้างเดียวกับแม่มดแห่ง Izalith เพราะมีอสูรบางตนถูกบังคับหรือทำให้กลายร่างโดยไม่เต็มใจพวกมันจึงได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn เเทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กองทัพของ Gwyn ได้เปรียบขึ้นมาเลยสักนิด  จะว่าไปเเล้วกองทัพ Silver Knight ของ Gwyn อาจจะดูน่าเกรงขามในสายตาของมวลมนุษย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา Lord ด้วยกันเอง กองทัพของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากมาย เเถมที่ชนะสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรมาได้ ก็เพราะพึ่งพาพลังของคนอื่นทั้งนั้น... ( ภาพประกอบ :สงครามอสูรครั้งที่หนึ่งได้ให้กำเนิดเหล่า Black Knight ขึ้นมา  ) กบฏทมิฬ              ทางด้านเมือง Anor Londo ที่ตอนนี้ไม่มี Gwyn อยู่เเล้ว มันจึงเป็นโอกาสอันดีให้ Velka ผู้เป็นพระชายาได้ดำเนินเเผนการล้างเเค้น Gwyn ผู้เป็นพระสวามี โดย Velka ได้ส่ง Havel The Rock ซึ่งเป็นสหายเก่าของโอรสคนแรกตั้งเเต่ครั้งที่ยังสู้รบกับเหล่ามังกร แต่ปัจจุบัน Havelได้ดำรงตำเเหน่งเป็นพระนักรบระดับสูงอยู่ใน Way of White เมื่อทั้งสองเจอกันต่างก็ยินดีเป็นอย่างมากเเละได้นั่งคุยปรับทุกข์กันตามประสาเพื่อนเก่า จนกระทั้ง Havel ได้เริ่มถามถึงเรื่องการเมืองภายใน Anor Londo และสถานที่ลับภายในวังหลวงเช่นพวกประตูลับหรือห้องใต้ดิน โดยก่อนที่โอรสคนแรกจะเริ่มสงสัยในตัวสหายเก่าคนนี้ Havel ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที โดยเขาได้แนะนำว่าโอรสคนแรกควรจะออกเดินทางตามหาจุดมุ่งหมายของตนเอง ดีกว่าจะอยู่เป็นหัวโขนในเมืองหลวงแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าคำแนะนำของ Havel จะสัมฤทธิ์ผล... โดยเรื่องนี้มันคือแผนการของ Velka  ที่จะตัดกำลังป้องกันของเมือง Anor Londo ออกไป เพราะนางประสงค์จะให้เกิดการก่อกบฏของเหล่ามนุษย์ขึ้น เพื้อให้ Gwyn ได้เห็นอาณาจักรที่เขารักนักรักหนาแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ และอีกอย่างก็คือการสังหารเจ้ามังกรวิปลาส Seath! ส่วนบรรดาเทพเจ้าที่เป็นบุตรของ Velka ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง ด้วยเพราะว่าแต่ละพระองค์ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่ามนุษย์อยู่เเล้ว ( ภาพประกอบ : Dark Ember ที่ใช้เพิ่มพลังความมืดให้กับอาวุธเพื่อต่อกรกับเทพเจ้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เพื่อการกบฏ  ) นับตั้งแต่ Gwyndolin ได้ถือกำเนิดขึ้นมา Velka ก็ไม่ได้ทำตัวนิ่งเฉยอย่างที่ Gwyn คิด แต่นางได้ส่งลูกสมุนเเฝงตัวเข้าไปอยู่ตามองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Silver Knight, Way of White หรือเเม้เเต่หน่วยลับอย่าง Darkmoon Blade ที่จะคอยตามล่าบุคคลที่กระทำความผิดบาปต่อพระเจ้า เเละเท่านั้นยังพอ Velka ยังเผยแผ่แนวคิดในดินแดน Lordran อย่างลับๆ ว่า Gwyn นั้นหลอกใช้มนุษย์เพื่ออำนาจของตน โดยเมืองที่ตอบรับแนวคิดนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นเมือง New Londo เพราะว่าประชาชนของเมืองนี้รู้ถึงการทดลองประหลาดๆของ Seath เป็นอย่างดี  แต่ถึงจะวางแผนมาดียังไงจำนวนคนของ Velka ก็ยังเป็นรองกองทัพของ  Gwyn อยู่ดี จนกระทั่งการมาของ Curse of Undead ที่ช่างมาได้เวลาประจวบเหมาะเสียเหลื่อเกิน เพราะหากว่าลูกสมุนของนางกลายเป็น Undead การถูกฆ่าตายก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาสู้รบใหม่ได้เรื่อยๆ ประกอบกับการที่ Gwyn จะต้องแบ่งกองกำลังออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังพระนักรบที่ต้องออกเดินทางไปจัดการกับพวก Hollow ในต่างแดน และยังต้องแบ่งกองทัพไปสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith อีก มันทำให้การป้องกันของเมือง  Anor Londo หละหลวมยิ่งมากขึ้น ส่วนด้านยุทโธปกรณ์ Harvel ก็รับหน้าที่เป็นคนจัดหามาให้ ซึ่งสำหรับคนที่มีเส้นสายอยู่เยอะอย่างเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร เรียกได้ว่าถ้าไม่ก่อกบฏตอนนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ( ภาพประกอบ : ชุดเกราะของกองกำลัง Havel The Rock  ) แต่เพื่อความไม่ประมาท Velka จึงได้ส่งมือดีหลายคนของนางเข้าไปขโมย Rite of Kindling จาก Nito ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการสร้างของเหลวที่เรียกว่า Estus ในปริมาณมาก เพื่อใช้สำหรับการรักษาบาดแผลของ Undead ในระหว่างการต่อสู้ ( เรียกง่ายๆก็คือไม่ต้องกลับจุดเซฟนั่นเอง ) โดยปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะกลุ่ม Way of White ก็ได้ส่งคนมาเฝ้าระวัง Nito อยู่เเล้วเหมือนกันเพราะก็ต้องการ Rite of Kindling ไปใช้กับ Undead ของฝ่ายตน  คณะเดินทางของ Velka ได้ลงไปยัง Tomb of Giants หรือสุสานของเหล่ายักษาที่แสนจะอันตราย เเละมืดมิด เเม้ว่า Nito จะไม่มีกองทัพเหมือนกับ Lord คนอื่น เเต่เขาก็สามารถปลุกซากศพที่มีอยู่มากมายให้ขึ้นมาสังหารเหล่าผู้บุกรุกได้ง่ายๆ แต่คนที่ Velka ส่งไปก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือเเถมยังใช้เล่ห์กลจนขโมย  Rite of Kindling จาก Nito มาได้ เหลืออุปสรรคเเค่อย่างเดียวนั่นก็คือต้องวิ่งหนีฝ่ากองทัพผีดิบออกมาให้ได้เท่านั้นเอง โดยในระหว่างที่ทำการหนีก็สูญเสียสมาชิกไปหลายคน ส่วนบรรดาคนที่วิ่งหนีมาถึงปากทางถ้ำก็ต้องพบกับลูกสมุนของ Nito นามว่า Pinwheel ที่ได้ทำการปิดตายถ้ำเอาไว้เเล้ว ( ภาพประกอบ : ซากศพของหนึ่งในลูกสมุนของ Velka ภายใน Tomb of Giants ) ในท้ายที่ภาระกิจของ Velka ก็ทำไม่สำเร็จ พวกเขาไม่สามารถที่จะนำ Rite of Kindling ออกมาได้ แต่ที่เเย่ไปกว่านั้นก็คือคนที่เหลือรอดกลับถูก Way of White จับตัวได้และถูกเค้นความจริงจนแผนการก่อกบฏความแตกจนได้  นำไปสู่การจับกุมครั้งใหญ่ใน Lordran พวกกองทหาร Silver Knight ออกลาดตระเวนตามเมืองต่างๆของมนุษย์เพื่อจับตัวผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมีส่วนร่วมในการกบฏครั้งนี้ เเต่ถึงแม้แผนการก่อกบฏจะได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกบางคนเลือกที่จะสวมเกราะออกไปสู้รบ จนกลายเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ในดินแดน Lordran ส่วนตัวการอย่าง Velka และ Havel ก็หายสาบสูญไปไร้ร่องลอย  ( ภาพประกอบ : หนึ่งในกบฏที่ถูกเพื่อนซึ่งเป็น Silver Knight ขังเอาไว้ไม่ให้ไปร่วมการจลาจล ) เมื่อ Gwyn ที่อยู่ในแนวหน้าได้ทราบถึงข่าวการกบฏก็ร้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังกลับไปไม่ได้เพราะยังติดพันการสู้รบกับเหล่าอสูรอยู่ เขาจึงได้ถ่ายทอดคำสั่งให้เนรเทศบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏทั้งหมดไปยัง Painted World of Ariamis ที่เป็นมิติคู่ขนาน โดยสร้างไว้เพื่อคุมขังเหล่าเทพเจ้านอกรีตโดยเฉพาะ เเละมีทางเข้าออกเป็นภาพวาดที่เป็นประตูมิติเชื่อมต่อสองโลกเอาไว้ด้วยกัน ( ภาพประกอบ : ภาพวาดที่เป็นประตูมิติสู่ Painted World of Ariamis ) แม้แผนการของ Velka จะล้มเหลวลงไป แต่ก็มี Primordial Serpent ตนหนึ่งที่จะสานต่อสิ่งที่นางเริ่มเอาไว้ นามของมันก็คือ ผู้เฝ้ามองจากความมืด Kaathe  คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สี่  “ คำสาปแห่งความมืด กับอสูรใต้พิภพ “ เป็นบทที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยละ และเนื้อหาในบทนี้ก็มีเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกเเห่งความจริงอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น Way of White ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของยุโรป ที่มีการสร้างความเชื่อให้ผู้คนอาสาไปรบในสงครามครูเสด ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ส. 1095 – 1192 ซึ่งมีโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า หากใครอาสาไปรบเพื่อศาสนาก็จะช่วยล้างบาปที่เคยทำไว้ได้ ( ภาพประกอบ : ภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวในสงครามครูเสด โดย Domenico Paradisi ที่มีชีวิตระหว่าง ค.ส.1689–1721) ส่วน Painted World of Ariamis เดิมทีผู้พัฒนาเกมได้สร้างมาเพื่อนำเอาพวก Cut Content ที่ไม่ได้ใช้งานเเต่ยังรู้สึกว่าน่าสนใจ เอามาใส่ไว้ข้างในนี้ เราจึงจะเจอทั้งพวกศัตรูที่เเปลกๆและ Item ที่เหมือนจะมาจากหลายสถานที่อยู่เต็มไปหมด ในบทต่อไปเราจะมาพูดถึงวีรกรรมของอัศวินหมาป่าผู้ท่องไปในความมืด เเละนครสีทองที่จะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด... บทความเขียนโดย: thong baithong  
25 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับ Lore และ ตำนานภายในเกมบทที่ 3
สวัสดีครับทุกท่านเรากลับมาเจอกันอีกแล้วใน Lore และตำนานของเกม Dark Souls ซึ่งเราก็เดินทางมาถึงบทที่สามกันเเล้ว สำหรับใครที่อยากจะทบทวนหรืออยากลองอ่านบทความก่อนหน้านี้ก็สามารถคลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลย ส่วนใครที่พอรู้เนื้อเรื่องอยู่เเล้วก็สามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลย - บทที่ 1 - บทที่ 2 - ในครั้งก่อนเราได้รู้เรื่องของ Nito กับแม่มดแห่ง Izalith กันไปแล้ว เเต่ในบทนี้เราจะพูดถึง Gwyn กับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ไปเริ่มกันเลยกับ บทที่สาม “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง”   ดินแดนอันเหลื่อมล้ำ Lordran Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito  และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น  ณ ใจกลางของดินแดน Lordran  เมือง Anor Londo เป็นเหมือนมหานครในอุดมคติ ทุกอย่างในเAvailable Toolsมืองนั้นดีเลิศเเละดูสวยงามไปหมด ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของทั้งโลก เหล่านักเดินทางทั้งหลายต่างหมายปองที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อเคารพสักการระเหล่าเทพเจ้า ,มาเพื่อการค้าขาย ,หรือแม้แต่มาด้วยเหตุผลทางการทูต เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญสุดๆกันไปเลย  แต่เมืองที่มันศิวิไลซ์เช่นนี้ก็มักจะซ่อนเอาความฟอนเฟะเอาไว้ใต้พรม ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่เป็นประชากรชั้นสองของดินเเดนเเห่งนี้นั่นเอง ( ภาพประกอบ : Blight Town หนึ่งในที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ) สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์  ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด ( ภาพประกอบ : หนึ่งในป้อมปราการที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า Undead Burg ) ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน ( ภาพประกอบ : The Dukes Archives ที่ภายในเก็บรักษาตำราเเละความรู้ต่างๆเอาไว้มากมาย ) แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง ( ภาพประกอบ : ผลการทดลองที่ใช้มนุษย์ของ Seath  )  โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า  Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก  ( ภาพประกอบ : รูปปั้นที่เเสดงหน้าตาอันหล่อเหลาของ Frampt เผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ) Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก  ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก ( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพเจ้า Gwyn ที่กำลังมอบมงกุฎให้กับ Pygmy Lord ภายใน Ringed City ) คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่  ( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์บนตัว Ringed Knight ที่ Gwyn มอบให้ ) เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย  พงศาวดารเเห่งเทพเจ้า ย้อนกลับไปในยุคที่ Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร การมีทายาทที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ และแน่นอนว่า Gwyn จะต้องมีพระชายาอยู่เคียงข้าง นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งความผิดบาป Velka แต่ประวัติศาสตร์กลับไม่ได้จารึกชื่อของนางเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า Gwyn ไม่อยากให้ Velka เข้ามามีบทบทบาทในการปกครองก็เป็นได้  สำหรับ Gwyn พระชายามีหน้าที่แค่ให้กำเนิดทายาทที่ทรงพลังเพียงเท่านั้น โดยโอรสคนเเรกของ Gwyn กับ Velka เป็นนักรบที่เเข็งเเกร่งเเละห้าวหาญ อาวุธคู่กายของเขาเป็นหอกยาวเล่มใหญ่ซึ่งมีพลังของสายฟ้าสถิตอยู่ข้างใน ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารทำให้เกิดลมพายุหมุนที่รุนเเรงได้ เขาได้ใช้มันปลิดชีพเหล่ามังกรมาแล้วนับไม่ถ้วนเพราะเขาถูกสอนว่าเหล่ามังกรคือรากเหง้าเเห่งชั่วร้ายเเละต้องถูกกำจัดทิ้ง  ( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่จะปรากฏตัวในอีกหลายพันปีต่อมา ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไมตรีจิตที่ดีทำให้เป็นที่รักและนับถือของเหล่านักรบมากมาย  Gwyn ปราบปลื้มในตัวลูกชายคนแรกของเขาอย่างมาก ถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็น God of War หรือเทพแห่งสงคราม ซึ่งต่อมาแม้สงครามมังกรจะได้จบลง เขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับ Gwyn เสมอ ไม่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดเขาจะเป็นคนแรกที่นำเหล่าทหารกล้าเข้าสู่สมรภูมิ เเละด้วยความสามารถที่รอบด้านเเบบนี้ เเน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่าง Gwyn จะต้องตักตวงผลประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด โดย Gwyn ได้จัดตั้ง Warrior of Sunlight  หรือกลุ่มนักรบแห่งเเสงตะวันขึ้นมา เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณให้กับเหล่านักรบทั้งหลายโดยเฉพาะพวกที่เป็นมนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีจิตใจใฝ่หา Dark Soul ในตัว  ( ภาพประกอบ : รูปปั้นโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่ถูกบูชาโดย Warrior of Sunlight ) บุตรของ Gwyn คนถัดมานั้นเป็นเพศหญิง ซึ่งมีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย(มาก)นามว่า Gwynevere อันเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีบุตร…ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดหรอก หน้าที่ของเธอคือการสร้างลูกหลานที่มีเชื้อสายเทพเจ้าให้คงอยู่สืบต่อไป ส่วนคนถัดมาก็เป็นเพศหญิงอีกเช่นกันนามของเธอก็คือ Filianore โดยเธอเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่เธอสามารถควบคุมกาลเวลาได้เลย แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นลูกของ Gwyn เธอก็เหมือนกับถูกขีดชะตากรรมเอาไว้อยู่เเล้ว Filianore ต้องออกเดินทางไปยังเมือง Ringed City เพื่อทำภารกิจบางอย่าง Gwyn มอบหมายให้กับเธอ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Gwyneveret ภายในเกม Dark Souls  ) ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Filianore จากเกม Dark Souls 3  ) บุตรทุกคนของ Gwyn ต่างเกิดมาพร้อมกับพลังเฉพาะตัว ซึ่ง Gwyn ก็อยากให้บุตรคนต่อไปมีพลังที่เหล่าทวยเทพยังไม่เคยมี ซึ่งเรื่องมันเริ่มขึ้นในขณะที่ Velka กำลังตั้งครรภ์บุตรคนสุดท้าย Gwyn อยากให้เด็กที่จะเกิดมามีพลังของ Sorcery เพราะเป็นพลังที่ยังไม่มีเทพองค์ใดใช้มันได้อย่างชำนาญ เขาได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา Seath ซึ่งเป็นบิดาเเห่งศาสตร์ Sorcery  ( ภาพประกอบ : รูปร่างหน้าของ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด เเละบิดาเเห่ง Sorcery ) เมื่อ Gwyn  ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Seath ฟัง เจ้ามังกรเจ้าเล่ห์ก็ได้ยอมตกลงที่จะช่วยเเต่มีข้อเเม้หนึ่งประการ ว่าในอนาคต Seath จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเทพเจ้าเป็นรางวัลตอบเเทน ซึ่ง Gwyn ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไปตามนั้นเพราะคิดว่า Seath คงไม่กล้าขออะไรที่มันเกินตัว โดยเมื่อทั้งสองเห็นชอบดังนั้น Seath ก็ได้แอบร่ายเวทมนต์ใส่ครรภ์ของ Velka โดยเมื่อถึงเวลานางก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายนามว่า Gwyndolin  ขึ้นมา ซึ่งทารกก็มีพลัง Sorcery อย่างที่ Gwyn ต้องการแต่ทว่ากลับมีขาที่เป็นงู จึงทำให้ Velka รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของ Seath ด้วยความที่นางไม่ชอบหน้า Seath เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเลยยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมเเละได้นำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องยัง Gwyn เร่งให้เขาจัดการเจ้ามังกรวิปลาสตัวนี้เสียที แต่ Velka กลับต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่า Gwyn เป็นตัวการออกคนสั่งในเรื่องนี้เสียเอง เท่านั้นยังไม่พอ Gwyn ยังพรากเอาตัว Gwyndolin ผู้เป็นบุตรคนสุดท้องไปจากนางและสั่งไม่ให้ข้องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีก นั่นทำให้ Velka เคียดแค้นเป็นอย่างมาก นางจึงได้สาบานว่าจะชำระเเค้นกับ Gwyn ให้สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อ ( ภาพประกอบ : Gwyndolin เเละขาที่เป็นงูของเขา ) Gwyndolin นอกจากมีพลังของ Sorcery ที่เเข็งเเกร่ง เขายังเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังได้รับพลังจากพระจันทร์ โดยในความเชื่อของเทพเจ้าได้เปรียบเทียบสตรีเพศว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มันเลยทำให้ Gwyndolin ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกผู้หญิงทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านการใช้ชีวิต  โดยเมื่อมีงานราชพิธีที่เขาต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้คน Gwyndolin ก็จะซ่อนขาที่เป็นงูเอาไว้ใต้กระโปงยาว จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับพี่สาวอย่าง Gwynevere ที่เขาจะทำตัวได้อย่างตามสบาย ซึ่งทั้งสองก็สนิทกันมากชนิดที่ว่ารู้นิสัยใจขอกันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด  คุยกันหลังเรื่องเล่า              ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สาม  “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง” ท่านผู้ชมรู้สึกยังไงกันบ้าง คิดว่าการกระทำของ Gwyn เป็นสิ่งที่ผิดจนไม่น่าให้อภัย หรือคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันก็สมควรแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญเเละจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้ ผมพูดถูกไหมครับ…. แต่อย่าคิดมากกันไปเลย เนื้อเรื่องในเกมนี้มันจะเป็นซะแบบนี้ทุกภาค มันจะดูดาร์คๆหน่อย แถมมี plot หลายอย่างที่หยิบเอามาจากความเชื่อหรือตำนานในโลกเเห่งความจริง เช่น Primordial Serpent ก็ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย โดยมันจะคอยล่อลวงให้มนุษย์กระทำความชั่ว  ในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่า เทพเจ้าที่พยายามฝืนลิขิตโลกจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร เเละก็การมาถึงของคำสาปที่จะกัดกินดินเเดนเเห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์ ( ภาพประกอบ : Dark Sign ตราบาปที่จะอยู่บนร่างของมนุษย์ไปตลอดกาล ) บทความเขียนโดย Thong Baithong
18 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls กับตำนานบทที่ 2
สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเเล้วกับบทที่สองของ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls ที่ผมได้ทำการเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาที่สำคัญๆมาไว้ในบทความนี้เเล้ว ในครั้งก่อนเราได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของตำนานในเกมไปส่วนหนึ่ง แต่หากมีใครเข้ามาอ่านบทความนี้เป็นครั้งแรกล่ะก็ ผมเเนะนำให้ลองอ่านบทที่ 1 “ การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” กันเสียก่อน รับรองได้เลยว่าท่านผู้ชมจะเข้าใจบทความอย่างไม่ติดขัดแน่นอน เมื่อรับทราบพร้อมกันแล้ว พวกเราก็ไปลุยกันเลยกับบทที่สอง “อำนาจของเหล่าทวยเทพและยุคแห่งเพลิง” สุสานแห่งความสงบ หลังการสิ้นสุดลงของมหาสงครามมังกร โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งเพลิงซึ่งแน่นอนว่าบรรดา Lord ทั้งสามที่ชนะสงครามต่างกลายเป็นมหาอำนาจเเห่งโลกใบใหม่ โดย Lord ตนแรก Nito จ้าวแห่งความตายที่แม้จะเป็นผู้ชนะในสงครามก็ตาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก Nito ได้เดินทางกลับไปยังใต้พื้นดินที่ทั้งมืดมิด,ทั้งหนาวเหน็บ ซึ่งเป็นสถานที่ๆบุคคลผู้ล่วงลับไปเเล้วจะได้พบกับความสงบสุขและหลุดพ้นจากความวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิต เเละคนไม่น้อยเชื่อว่าหากได้นำศพไปฝังใกล้กับที่อยู่ของ Nito วิญญาณเหล่านั้นก็จะได้ไปสู่สุขคติ เมื่อนานวันเข้าศพที่ถูกฝังไว้ ก็เพิ่มพูนมากขึ้นจนบริเวณโดยรอบ กลายสภาพเป็นสุสานเรียกว่า The Catacombs แหล่งพักผ่อนของชีวิตหลังความตาย แต่ดูเหมือนว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตจะไม่ยอมให้ Nito ได้พักผ่อนง่ายๆเสียแล้ว เพราะมีมนุษย์บางคนที่เต็มไปความกล้าบวกกับความบ้า ! ออกเดินทางฝ่าสุสานที่น่าขนพองสยองเกล้า เพื่อไปหา Nito  และขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้โดยแลกกับการที่ได้เรียนรู้ศาสตร์ที่จะมอบอำนาจเหนือความตายให้ แต่พวกข้ารับใช้เหล่านี้ก็มักจะนำเอาความรู้ไปใช้ทำอะไรที่มันพิเรนๆ จนเวทมนต์ดำย้อนกลับเข้าตัวเอง นครแห่งเพลิง หลังสงครามมังกรจบลง แม่มดแห่ง Izalith ก็ได้แยกตัวไปสถาปนาอาณาจักรของตน นามว่านคร Izalith ขึ้นมาซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินลึกลงไป โดยมันลึกเสียยิ่งกว่าสุสานของ Nito เสียอีก และยิ่งไปกว่านั้นตัวเมืองยังมีลำธานลาวาเดือดอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นปราการป้องกันนคร Izalith จากภัยอันตรายภายนอก ส่วนสิ่งก่อสร้างก็มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกได้ถึงความเจริญของมหานครแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี การปรากฏขึ้นของ The Frist Flame และการเข้าสู่ยุคแห่งเพลิง มันส่งผลดีต่อ Gwyn ที่เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมไปถึงบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือบรรดา Lord ตนอื่นอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่า Nito จะไม่สนใจในเรื่องนี้แต่สำหรับตัวแม่มดแห่ง Izalith นางมีความคิดทะเยอทะยานอยากจะสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่  แม้ว่าจะเริ่มต้นช้ากว่า Gwyn เเต่นางก็ได้ลงมือทำหลายอย่างไปพร้อมๆกันเพื่อให้อาณาจักรเข้มแข็งขึ้นอย่างเร็วที่สุด ทั้งใช้ให้บรรดาลูกสาว Daughters of Chaos ของนางเผยแพร่ศาสตร์แห่งการใช้ไฟแก่บุคคลคนที่มีคุณสมบัติคู่ควร และวางตัวคนพวกนั้นไว้ในตำแหน่งสำคัญในนคร Izalith หรือจะเป็นการพยายามสร้างมังกรที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วในอดีต ให้กลับมาซึ่งมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เเต่ถึงจะทดลองล้มเหลว เเม่มดเเห่ง Izalith ก็ไม่ได้กำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทิ้งไปแต่อย่างใด มิหนำซ้ำมันกลับถูกเก็บไว้ใกล้กับใจกลางตัวเมือง สร้างความกระอักกระอวนใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่การกระทำที่ว่ามาข้างต้น ก็หาได้เทียบเคียงกับผลงานชิ้นโบว์แดงของนางไม่ ซึ่งก็คือการสร้าง Chaos Flame ! หาก The Frist Flame เป็นขุมพลังของ Gwyn แล้วละก็  Chaos Flame ก็ย่อมเป็นขุมพลังของแม่มดแห่ง Izalith เช่นกัน ต่างกันตรงที่  Chaos Flame ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่ตัวมันถูกสร้างมาจากเศษเสี้ยว Lord Soul จากตัวของแม่มดแห่ง Izalith นอกจากนี้ Chaos Flame มันยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้คนที่สัมผัสมันมีอารมณ์รุนเเรงเเละแปรปรวน ด้วยเหตุนี้พระสวามีของเเม่มดเเห่ง Izalith นาม King Jeremiah และบรรดาลูกๆบางคนเริ่มสะกิดใจในพลังของ Chaos Flame แต่ถึงอย่างนั้นแม่มดแห่ง Izalith ก็ยังคงทุ่มเทให้กับการทดลอง Chaos Flame อย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตอนที่นางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่เว้น ทำให้ส่งผลต่อลูกที่อยู่ในครรภ์ของนาง โดยเมื่อถึงคราวคลอดออกมา นางได้ให้กำเนิดทารกเพศชายที่มีรูปร่างประหลาด มีลาวาไหลออกมาจากตัวตลอดเวลา มันสร้างความเจ็บปวดให้กับทารกเป็นอย่างมาก และทำให้เขาถูกเรียกว่า Ceaseless Discharge เเต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรังเกียจ Ceaseless Discharge มีพี่สาวของเขาคนหนึ่งที่คอยปลอบประโลมเเละมอบแหวนซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่เด็กก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ โดยวันหนึ่งที่ Ceaseless Discharge กำลังวิ่งเล่นอยู่ริมหน้าผา เขาก็ได้เผลอทำแหวนตกหล่นหายไป ทำให้หลังจากนั้นเขาต้องทนเติบโตมากับความเจ็บปวดไปจนตาย ความพังพินาศของ Izalith การเกิดขึ้นมาของ Ceaseless Discharge สร้างข้อกังขาให้กับการทดลอง Chaos Flame เป็นอย่างมากโดยเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง แม่มดแห่ง Izalith ได้แสดงผลของการทดลองด้วยการสร้างเวทมนต์ Chaos ขึ้นมา เวทมนต์ Chaos นั้นทรงพลังยิ่งกว่าศาสตร์เเห่งการใช้ไฟทั่วๆไป แต่ในทางกลับกัน มันก็คือการหยิบยื่นพลังของ  Chaos Flame ที่ยังไม่เสถียรเเละไม่เสร็จสมบูรณ์ ไปยังเหล่าประชากรในนคร Izalith เเละหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องพิลึกพิลั่นที่น่าตกใจขึ้น นั้นก็คือมีประชากรบางส่วนกลายร่างเป็น Demon หรืออสูรกาย คนที่กลายร่างนั้นจะมีขนาดและพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น โดยคนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหนูน้อย Ceaseless Discharge นี่เอง ทำให้ร่างกายที่ผิดปกติอยู่เเล้วของเขา กลับยิ่งมีสภาพที่บิดเบี้ยวและอัปลักษณ์เป็นทวีคูณ ( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนูน้อย Ceaseless Discharge คือคนเเรกที่กลายเป็นอสูร ) ( ภาพประกอบด้านขวา : หนึ่งในประชากรระดับสูงของนคร Izalith ที่กลายเป็นอสูร ) แต่ทว่าคนที่กลายร่างเป็นอสูรกายเหล่านี้ไม่ได้สูญเสียสติปัญญาแต่อย่างใด อสูรกายหลายตนยังมีความทรงจำครั้งยังเป็นมนุษย์เหลืออยู่ครบถ้วน ซึ่งเรื่องพิสดารเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะการทดลอง  Chaos Flame ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว เเต่แม่มดแห่ง Izalith ยังไม่สามารถที่จะควบคุมพลังของมันได้ และเนื่องจาก Chaos Flame ถูกสร้างให้มีความคล้ายกับ The First Flame ทำให้มีพลังในการมอบชีวิตเหมือนกัน เช่น The First Flame ที่เปลี่ยนจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ยักษาและมนุษย์ แต่กรณีของ Chaos Flame คือการเปลี่ยนเเปลงให้กลายเป็นอสูรกาย นคร Izalith ในตอนนี้เกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายที่มองว่า Chaos Flame เป็นพลังที่ชั่วร้ายและต้องถูกทำลายนำโดย King Jeremiah  ส่วนอีกฝ่ายสนับสนุนแม่มดแห่ง Izalith เพราะเชื่อว่าการกลายสภาพเป็นอสูรกายไม่ได้ทำให้อ่อนแอ แต่มันคือการยกระดับวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ให้สูงขึ้น    สูงยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพอย่าง Gwyn ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนนั้นมีมากกว่า ทำให้ King Jeremiah ถูกขับไล่ออกจากนคร Izalith ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยก็ต่างลี้ภัยขึ้นไปอยู่บนพื้นผิวโลก แต่คนที่เคยใกล้ชิดกับเวทมนต์ Chaos ไปแล้ว ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่อาจเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องกลายสภาพเป็นอสูรกายอย่างช้าๆไปได้  ( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร ParasiticWall Hugger ซึ่งในตัวเกมมี Codename ว่า “PrinceIzalis” )  ( ภาพประกอบด้านขวา : Xanthous King, Jeremiah หมวกรูปทรงประหลาดที่มีไว้เพื่อปกปิดศรีษะที่กำลังกลายสภาพ ) แต่มีหญิงคนหนึ่งที่ไม่กลายร่าง และเธอยังเป็นลูกสาวคนหนึ่งของแม่มดแห่ง Izalith อีกด้วย นามของเธอคือ Quelana ตัวเธอไม่อาจรับสภาพการกลายร่างเป็นอสูรได้ จึงวางเเผนทำทีว่าตนเสียชีวิตเเละหนีขึ้นไปยังพื้นพิภพ  และก็เป็น Quelana นี่เองที่นำเอาศาสตร์แห่งการใช้ไฟแบบดั่งเดิมมาถ่ายทอดสู่มนุษย์บนพื้นผิวโลก ปราการลาวาที่ครั้งหนึงเคยปกป้องเมืองมาตอนนี้มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะสิ่งที่บ่อนทำลายนคร Izalith จริงๆ มาจากน้ำมือของผู้สถาปนานครนี้เสียเอง ตอนนี้นคร Izalith ได้กลายเป็นเเค่เศษซากไปแล้ว เเต่ไม่ว่า Chaos Flame มันจะสร้างปัญหาเพียงใดก็ตาม พลังของมันก็มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เเม่มดเเห่ง Izalith จะปล่อยให้หลุดมือไป ( มาถึงจุดนี้ก็ให้คิดซะว่า Chaos Flame ก็เหมือนกับพลังงานนิวเคลียร์ในโลกความจริงของเรานี่เอง ที่มีทั้งผลดีเเละผลเสียอยู่ที่ว่าใครจะใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร ) เพื่อที่จะควบคุม Chaos Flame แม่มดแห่ง Izalith และลูกสาวอีกสองคนยอมถูก Chaos Flame กลืนกินจนกลายสภาพเป็นอสูรอย่างเต็มตัว เเละได้สร้าง Bed of Chaos ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับรากต้นไม้ ชอนไชไปตามซากมหานครที่ว่างเปล่าซึ่งเคยเป็นมหานครอันรุ่งเรือง แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำไปเสียเเล้วและถูกเรียกขานต่อๆกันมาว่า Lost Izalith แต่ทว่าบนเศษซากเหล่านั้นก็ได้ถือกำเนิดอารยธรรมใหม่ อารยธรรมของเหล่าอสูรแห่ง Izalith  ที่ต่อมาจะเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับเหล่าทวยเทพไปจนถึงจนวาระสุดท้ายของโลกใบนี้   คุยกันหลังเรื่องเล่า ก็จบลงไปแล้วนะครับกับบทที่สอง “อำนาจของเหล่าทวยเทพและยุคแห่งเพลิง” อันที่จริงเรื่องราวของเกม Dark Souls นี่มันสามารถจะเป็นบทเรียนสอนคนได้เลย เพราะมันมีข้อคิดที่แฝงอยู่ในการกระทำต่างๆของตัวละครเยอะมาก แล้วท่านผู้ชมละครับรู้สึกยังไงบ้าง ตัวผมบอกตรงๆเลยว่ากว่าจะเขียนบทนี้จบได้เล่นเอาปวดหัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องราวของแม่มดแห่ง Izalith ที่มีทฤษฎีให้คิดอยู่เต็มไปหมด ส่วนในเรื่องของ Nito เเม้จะมีอยู่เพียงนิดเดียวก็ตาม เเต่ผมก็อยากให้ท่านผู้ชมลองไปเล่นเองในตัวเกม Dark Souls ภาคเเรกเพื่อสัมพัทธ์ความน่ากลัวของมัน เเละอย่าเพิ่งเบื่อหน้ากันนะครับ เพราะผมมีเรื่องของเกม Dark Souls ให้เล่าต่อยาวเป็นหางว่าวเลย แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวไปก่อน เจอกันในบทที่สามซึ่งเราจะมาพูดถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า!
06 Nov 2019
สรุปเนื้อเรื่อง Dark Souls บทที่ 1 การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร
“Dark Souls” ชื่อนี้คงคุ้นหูใครหลายๆคนและแน่นอนว่าคนที่เคยเล่นเกมนี้จะต้องมีอาการหัวร้อนกันอย่างแน่นอน และอีกทั้งเนื้อเรื่องในเกมที่ชวนมึนงงชนิดที่ว่าต้องส่ายหัวกันเลยทีเดียว  หากเราเล่นแบบเพลินๆเผลอแป๊บเดียวอาจจะจบเกมไปแล้วโดยที่พลาดเนื้อหาสำคัญๆก็เป็นได้ เพราะพวกรายละเอียดเหล่านี้ถูกผู้สร้างซ่อนอยู่ในตลอดการเดินทางของผู้เล่น วันนี้ผมจึงจะมาเป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ที่จะช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวของจักรวาล Dark Souls ให้กับผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราก็มาลุยกับบทแรกกันเลยกับ! “การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” โลกของเหล่ามังกรและการมาถึงของไฟ เมื่อโลกถือกำเนิดขึ้น ทั้งผืนดิน,ท้องฟ้า, แหล่งน้ำ ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทาไม่มีทั้งค่ำคืนไม่มีทั้งรุ่งสาง ยุคนี้ได้ถูกเรียกว่า Age of Grey และพื้นพิภพได้ถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง นั้นก็คือ Everlasting Dragon หรือเรียกง่ายๆว่า “มังกรนิรันดร” ( ภาพประกอบ : โลกของ Dark Soul ในยุคเริ่มต้น ) ร่างกายของพวกมันมีเกล็ดที่แข็งแกร่งและทนทานต่อการโจมตีอีกทั้งยังไม่มีอายุขัย,ไม่แก่ชราเป็นร่างกายที่คงกระพัน มังกรเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า Arch Tree ยอดของมันสูงทะยานขึ้นไปจนเกือบจะแตะกับก้อนเมฆ บนพื้นพิภพไม่มีสิ่งใดกล้าต่อกรกับบรรดามังกรเหล่านี้ แต่ใต้ดินลึกลงไปเบื้องล่างได้เกิดปรากฏบางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดการ ( ภาพประกอบ : Everlasting Dragon หรือก็คือ “มังกรนิรันดร”  ) First Flame กองเพลิงกองแรกบนโลกได้ลุกโชนขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร มันลุกโชนขึ้นมาท่ามกลางความมืดและความหนาวเหน็บ แสงสว่างและความอบอุ่นได้ไปกระตุนความสนใจบรรดาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ใต้ดิน และมีสิ่งมีชีวิต 3 ตนได้ค้นพบ  “Lord Soul” หรือจิตวิญญาณอันทรงพลังจากข้างในกองเพลิง พวกมันจึงยึดครอง Lord Soulแต่ละดวงไว้กับตนเองเพื่อให้ได้พลังที่ยิ่งใหญ่ ( ภาพประกอบ : First Flame ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด  ) นามของตนแรกคือ “Gwyn เทพแห่งพระอาทิตย์” เป็นตัวแทนของแสง,และเป็นผู้นำของกองทัพ Silver Knight ( ภาพประกอบ : Gwyn และกองทัพ Silver Knight  ) ตนต่อมาคือ “Nito  จ้าวแห่งความตาย” มีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์และมีดาบคู่กายเล่มใหญ่เป็นอาวุธ ( ภาพประกอบ : Nito เทพเจ้าแห่งความตาย  ) และตนสุดท้าย “แม่มดแห่ง Izalith” ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งการใช้ไฟ และนางยังได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไปยังบรรดาลูกสาวซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า Daughters of Chaos  โดยต่อมาเผ่าพันธุ์ของLordทั้งสามได้ถูกเรียกว่า Giant (ยักษา) ( ภาพประกอบ : แม่มดแห่ง Izalith ) แต่ถ้าหาก Lord Soul เกิดขึ้นจากแสงสว่างของ First Flame เงาของมันก็ย่อมให้กำเนิด Soul ได้เช่นกัน นั้นก็คือ “The Dark Soul” มันถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวเล็กๆตนหนึ่งแต่แทนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จะเก็บเอา Dark Soul ไว้เพียงคนเดียวเหมือนกับบรรดา Lord ทั้งสามก่อนหน้านี้ มันกลับเลือกที่จะแยก Dark Soul ออกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนจากนั้นแจกจ่ายไปยังพวกพ้องสายพันธุ์เดียวกัน ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกนั้นเอง ( ภาพประกอบ : Pygmy Lord คนแรก ) โดยผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Pygmy Lord ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือตำแหน่งราชานั้นเอง ในตัวเกมไม่ได้บอกไว้ว่ามี Pygmy Lords กี่คนแต่อนุมานจากเนื้อเรื่องแล้วน่าจะมีเยอะมาก เพราะมันเป็นเหมือเชื้อสายกษัตริย์ที่มีการสืบราชวงศ์ต่อๆกันมา มหาสงครามครองพิภพ เมื่อถึงจุดที่อาณาจักรของ Gwyn นั้นเรืองอำนาจมากขึ้น Gwyn ได้นำกองทัพ Silver Knight ของตนเข้าทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงหรือบางทีมันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่อยากพิชิตจุดสูงสุดของห่วงโซ่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่างอย่าง Gwyn ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นดวงตะวันบนพื้นพิภพลอยสุขสว่างแทนที่โลกอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทา ทางด้านของพวกมังกรนิรันดรผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดดูว่าถ้าหากมีมดตัวเล็กๆกำลังกัดเราอยู่ ก็คงเดาไม่ยากเลยว่าเราจะทำอย่างไรกับมัน ถึง Gwyn จะมีกองทัพ Silver Knight และขุนพลมือฉมังในสังกัดจำนวนมาก แต่เห็นทีสงครามใต้ผืนฟ้าสีเทาครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งนานวัน Gwyn ค่อยๆถูกเหล่ามังกรนิรันดรเข้าบดขยี้กองทัพจนและเริ่มสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าทวยเทพที่เป็นวงศาคณาญาติหรือเผ่าพันธุ์เดียวกันกับ Gwyn จ่างก็เริ่มล้มตายจากการต่อสู้ ( ภาพประกอบ : เหล่าบรรดาขุนพลของ Gwyn ที่รบในสงครามมังกร ) บีบให้ Gwyn ต้องเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้...แม้หนทางนั้นจะต้องดำดิ่งสู่ความมืดก็ตาม เขาได้รวมมือกับ Nito และแม่มดแห่ง Izalith เพื่อที่จะเอาชนะในมหาสงคราม เอาจริงๆมันเหมือนตลกร้ายที่สิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าต้องขอความร่วมมือกับตัวแทนแห่งความตายและแม่มดนอกรีต แม้ตอนนี้ Gwyn จะได้พันธมิตรมาเพิ่มแต่เขาก็ยังคงแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากกว่านี้ เขาต้องการกองกำลังที่จะมาเป็นหมากใต้บังคับบัญชาหรืออย่างน้อยก็สนับสนุนตัวเขาเพียงคนเดียว โดยทางออกก็คือกองกำลังนักรบของ Pygmy Lord นั้นเอง นักรบพวกนี้ในภายหลังจะถูกเรียกขานว่า Ringed Knight ( ภาพประกอบ : Ringed Knight และศาสตราวุธอันทรงพลัง ) ซึ่งเป็นนักรบที่มีฝีมือช่ำชองในการรบระยะประชิดอย่างมากจึงได้รับหน้าที่เป็นหน่วยประจัญบานกับมังกร สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาขุนพลของ Gwyn ในแนวหน้า ทำให้  Silver Knight ส่วนมากต้องแปรเปลี่ยนเป็นกองหนุนระยะไกล คอยยิงธนูขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อยิงมังกรให้ตกจากท้องฟ้าโดยเฉพาะ ( ภาพประกอบ : ภาพภายในเกมของ Dragonslayer Greatbow หรือธนูสังหารมังกร ) ความลับในความเก่งกาจดุจปีศาจของ Ringed Knight พวกนี้มาจากอาวุธและชุดเกราะที่ตีขึ้นจากใน The Abyss  ซึ่งเป็นสถานที่ๆมีแต่ความมืดมิดไร้จุดจบ โดยชุดเกราะจะดึงเอาพลังจาก Dark Soul ในตัวของมนุษย์ออกมาเพิ่มพลังให้กับคนที่สวมใส่มันและที่สำคัญเลยก็คือคนพวกนี้เป็นอมตะ! จากท่าทีเสียเปรียบตั้งแต่ต้นของGwyn ในสงครามมาตอนนี้เขาพอที่จะมีกำลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสงครามกับเหล่ามังกรครั้งนี้เกือบจะต้องกินเวลาแสนนานไม่รู้จบเสียแล้ว หาก Gwyn ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ทรยศที่เป็นหนึ่งในบรรดามังกรนิรันดร นามของมังกรตัวนั้นคือ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด ( ภาพประกอบ : Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด)  Seath เกิดมาในฐานะของมังกรนิรันดรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่บนจุดสูงสุดเหนือเผ่าพันธุ์อื่น แต่ตัว Seath นั้นแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเพราะมีร่างกายที่พิกลพิการไม่มีขาและไร้ซึ่งเกล็ดทำให้มองเห็นเนื้อสีขาวที่บอบบาง และอีกสิ่งที่ไม่มีก็คือความคงกระพันที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกรนิรันดร ปราศจากมันเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ Seath ไม่ถูกยอมรับและถูกมองข้ามจากเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันเอง เป็นแค่ตัวภาระในสงครามที่ไม่สามารถออกรบได้ มันเป็นบาดแผลในใจผนวกกับความแค้นในโชคชะตาที่ต้องเกิดมาต้องพิกลพิการและถูกปฏิเสธจากเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่ใช่ว่า Seath จะยอมรับต่อชะตากรรมเช่นนี้ เขาทดแทนร่างกายที่อ่อนแอด้วยความพยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้ และแล้ว Seath สามารถสร้างศาสตร์แห่ง Sorcery หรือก็คือเวทย์มนต์ขึ้นมาได้ ( ภาพประกอบ : พลัง Sorcery ในเกม Dark Souls ) ด้วยความแค้นที่ฝังลึก Seath ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn และช่วยเหล่าเทพคิดค้นศาสตร์แห่ง Miracle ศาสตร์ที่ต้องอาศัยความศรัทธาเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ Gwyn จึงสามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังที่ทำลายเกล็ดอันแข็งแกร่งของเหล่ามังกรนิรันดรลงได้และแน่นอนว่า Gwyn ต้องติดอาวุธใหม่นี้ให้กับกองกำลัง Silver Knight ของเขาด้วยอย่างแน่นอน ( ภาพประกอบ : พลัง Miracle ที่ Gwyn ใช้สร้างสายฟ้าเพื่อสังหารมังกรนิรันดร) เมื่อเกล็ดหลุดหายไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า Nito จ้าวแห่งความตายก็รับไม้ต่อทันที เขาจัดการใช้พลังสร้างโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายที่ไร้การป้องกันของพวกมังกรทำให้เจ็บปวดทรมานจนตาย เมื่อเหล่ามังกรเห็นว่าความคงกระพันของพวกตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายล้วนต่างก็หวาดกลัวแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียแล้ว เพราะแม่มดแห่ง Izalith และลูกๆของนางได้ใช้พลังไฟเผาต้น  Arch Tree ที่เป็นบ้านของเหล่ามังกรจนหมดสิ้น ( ภาพประกอบ : การต่อสู้ในสงครามมังกรของ Nito และแม่มดแห่ง Izalith )  ชั่วพริบมหาสงครามอันยาวนานก็ได้จบลง นับจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเหล่ามังกร เมฆหมอกสีเทาที่เคยบดบังท้องฟ้าได้หายไปเผยให้เห็นรุ่งอรุณที่สดใส่บนฝากฟ้าและโลกก็ได้เข้าสู่  Age of Fire หรือยุคแห่งไฟ ยุคของ Gywn อย่างแท้จริง ( ภาพประกอบ : กองพะเนินศากศพของเหล่ามังกร ) จบลงไปแล้วกับ Lore บทที่หนึ่ง “การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” ในเกม Dark Souls ที่ผมได้รวบรวมและปะติดปะต่อเรื่องราวที่มีอยู่อันน้อยนิดมาให้กับท่านผู้อ่านได้รับชม ผมยินดีมากถ้าหลายๆคนอยากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับLoreที่แตกต่างออกไป เพราะตัวเกมเหมือนจะออกแบบให้เนื้อเรื่องมีความกำกวมอยู่ในตัว เช่น ตัวเกมอธิบาย 40% ที่เหลือต้องสังเกตเอาเอง จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกัน ส่วนบทต่อไปนั้นเราจะไปดูเหตุการณ์หลังสงครามกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดา Lord ทั้งสาม และการเผยโฉมศัตรูที่แท้จริงของ Gwyn… บทความนี้เขียนโดย thong baithong
28 Oct 2019
ผู้สร้าง Dark Soul ได้รับรางวัลสูงที่สุดในงาน Golden Joysticks
Hidetaka Miyazaki บิดาผู้สร้างเกมซีรีส์หัวร้อนชื่อดังอย่าง Dark Soul จากผลงานเกมสุดยอดเยี่ยมมาทุกๆ ภาค ล่าสุดเจ้าตัวได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award ในงาน Golden Joysticks ณ เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยรางวัลนี้จะให้แก่บุคลากรที่ประสบความสำเร็จในวงการเกม ซึ่งทาง Hidetaka Miyazaki ก็ได้ให้เครดิตไปถึงทีมพัฒนาของตนอย่าง From Software ทุกๆ คนที่ทำงานมาตลอดหลายปี "มันเซอร์ไพร์สและเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Golden Joystick Award อันทรงคุณค่านี้ ซึ่งตัวรางวัลนี้มันไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่มันเป็นของทุกๆ คนที่ร่วมทำงานกับผมมาหลายๆ ปีที่สร้างเกม เหล่าผู้คนที่แชร์ Passion กับผม และอยากจะขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่มาร่วมมือกันใน From Software หรือผู้จัดจำหน่ายของเรา ผมขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้ง ครอบครัวที่คอยช่วยเหลือ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากขอบคุณผู้เล่นทุกคน ที่สนุกและซาบซึ้งในเกมของผม ซึ่งผมเองมีแผนที่จะทำเกมไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ผมจะทำได้ และผมจะพยายามให้เต็มที่เพื่อทำให้แน่ใจว่าเกมเหล่านี้จะทำให้คุณสนุก ผมขอขอบคุณทุกการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในอนาคต" ชม Golden Joystick Awards 2018 จาก GoldenJoystickAwards ที่ www.twitch.tv โดยตอนนี้ทีม From Software พึ่งจะเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Sekiro: Shadows Die Twice ที่จะเป็นเกมคล้ายๆ Dark Soul แต่จะมีระบบการเล่นที่แตกต่างไปเข้าถึงผู้เล่นง่ายขึ้น รวมถึงเราจะได้เข้าสู่ยุคแห่งซามูไรอีกด้วย https://www.youtube.com/watch?v=37Rrmdw8DUs ซึ่งเกมนี้มีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงเดือนมีนาคมปี 2019 บนเครื่อง PC, PS4 และ Xbox One ขอบคุณข้อมูลจาก VG247  
19 Nov 2018
กว่าจะมา! Bandai Namco ประกาศวันวางจำหน่าย Dark Souls: Remastered ใน Switch
หลังจากที่โดนโรคเลื่อนและเงียบหายกันไปให้ลุ้น ล่าสุด Bandai Namco และ From Software ได้ประกาศวันวางจำหน่ายเกม Dark Souls: Remastered และหุ่น Amiibo Solaire of Astora แล้ว คือวันที่ 19 ตุลาคมนี้! Praise The Sun! DARK SOULS: Remastered for #NintendoSwitch and the Solaire of Astora amiibo will launch on Oct. 19th! Journey to Lordran and experience the groundbreaking action-RPG on the go! An online Network Test will be scheduled prior to release. Stay tuned for more info. pic.twitter.com/WE1xNmLi0j — Bandai Namco US (@BandaiNamcoUS) August 14, 2018 สำหรับเกม Dark Souls: Remastered เคยวางจำหน่ายในคอนโซล PS4, Xbox One, PC ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยในตอนแรกจะวางจำหน่ายเกมสำหรับเครื่อง Switch พร้อมๆ กัน ก่อนที่ Bandai Namco จะออกมาประกาศว่าเกมจะเลื่อนไปออกช่วงปลายปีแทนเพื่อให้ทีมพัฒนาได้มีโอกาสปรับแต่งเกมให้เหมาะสมกับ Switch ให้มากที่สุด นอกจากนี้ ผู้พัฒนายังประกาศด้วยว่าเกมจะทำการเปิดทดสอบระบบออนไลน์ก่อนวันวางจำหน่ายด้วย แต่ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัด
14 Aug 2018
ถึงเวลาสลับบทบาท! Dark Souls 3 จะมี Mod ใหม่ ให้ผู้เล่นสามารถเป็นบอสได้
เว็บ Kotaku เปิดเผยว่า Dark Souls 3 เกมแนว Action RPG แบบ Open World จากค่ายผู้พัฒนา FROM SOFTWARE กำลังจะมี Mod ใหม่ ชื่อ "The Forces of Annihilation Mod" เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นบอส โดย DATEHACKS กลุ่มผู้สร้าง Mod ได้เปิดเผยคลิปอธิบาย Mod ซึ่งใช้เวลาพัฒนานานร่วม 3 ปี และคลิปเกมเพลย์ผ่านทางเว็บ Reddit ด้วย นอกจากนี้ผู้สร้าง Mod ได้เตือนผ่านคลิปว่า การใช้ Mod ไม่ควรใช้ในเกมแบบออนไลน์เด็ดขาด เพราะว่าถึงแม้ว่าพอเราใช้ Mod แล้วเราจะสามารถเห็นหรือควบคุมบอสให้โจมตี NPC หรือมอนสเตอร์ได้ แต่ผู้เล่นคนอื่นจะยังคงเห็นเกมเป็นแบบปกติ นอกจากนี้เรายังไม่สามารถโจมตีผู้เล่นคนอื่นด้วยบอสที่เราครอบครองอยู่ได้ ฉะนั้นการใช้ Mod เล่นออนไลน์ก็มีแต่แค่จะทำให้ถูกแบนเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการในการปล่อย The Forces of Annihilation Mod ออกมาอย่างแน่ชัด แต่คาดว่าคงไม่นานเกินรอ และอาจมีการอัพเดทข่าวความคืบหน้าผ่านเว็บ Reddit ในอาทิตย์หน้าด้วย ทั้งนี้ Mod ที่อนุญาติให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทเป็นบอส ไม่ได้เพิ่งมีแค่ใน Dark Souls 3 แต่ผู้สร้าง Mod อย่าง DATEHACKS เคยปล่อย Mod "Age of Fire" ของ Dark Souls มาแล้วเหมือนกัน หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจสามารถเล่น Dark Souls 3 ได้ผ่านทาง  PS4, Xbox One และ PC ปล.ล่าสุดคลิปเกมเพลย์และคลิปอธิบายการใช้ Mod ได้สายลมแล้ว รวมถึงแหล่งที่มาจาก Reddit ก็ปลิวไปแล้วเช่นกัน
13 Aug 2018
Amazon Italy หลุดข้อมูลเกมเพียบ ทั้ง Sunset Overdrive 2, Bloodborne 2, Splinter Cell
คงต้องฟังหูไว้หูกันให้หนักๆ เลยกับข่าวนี้ เมื่อเกมเมอร์จากเว็บบอร์ด Resetera ขาประจำได้โพสต์รายงานถึง Amazon Italy ที่ล่าสุดได้เพิ่มหน้าสินค้าสำหรับเกมมากมาย ตั้งแต่ Bloodborne 2, Sunset Overdrive 2 และSpinter Cell ภาคใหม่ แถมยังเฉลยวันวางจำหน่ายเกม Dreams และ Dark Souls Remastered สำหรับ Switch อีกด้วย   สำหรับเกม Bloodborne 2 และ Sunset Overdrive 2 นั้นเรียกว่าเชื่อยากทั้งสองเกม เพราะทาง From Software ผู้พัฒนา Bloodborne ก็มีงานเต็มมือทั้ง Sekiro: Shadows Die Twice และเกม PSVR Deracine ส่วนผู้พัฒนาเกม Sunset Overdrive อย่าง Insomniac ก็เคยประกาศชัดเจนว่าไม่มีแผนจะสร้างภาคต่อ (เกมภาคแรกเวอร์ชั่น PC ที่รับปากมานานยังไม่ออกด้วยซ้ำ)   ส่วน Splinter Cell นั้นมีข่าวแว่วๆ มาว่าจะเปิดตัวในงาน E3 หลังจากที่ Ubisoft ได้ปล่อย DLC ที่พาพระเอก Sam Fisher ไปเป็นแขกรับเชิญในเกม Ghost Recon: Wildlands แม้ว่าสุดท้ายเกมจะไม่ได้เปิดตัวในงานอย่างที่คาดกัน แต่ในปีนี้ก็ยังมีงานเกมใหญ่ๆ อย่าง Gamescom อยู่ซึ่งเป็นงานใหญ่สำหรับค่ายฟังยุโรป จึงเป็นไปได้ว่า Ubisoft อาจจะกั๊กเกมไว้เปิดตัวในงานนั้น (เดือนสิงหาคม) ก็ได้   สำหรับเกม Dreams เกม Playstation Exclusive จากผู้สร้างเกม Little Big Planet นั้นเคยเปิดตัวกันไปแล้ว แต่ไม่เคยประกาศวันวางจำหน่ายมาก่อน ในเว็บ Amazon Italy บอกว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งจะชนกับเกมเรือธงของโซนี่อย่าง Days Gone และเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Anthem และ Metro: Exodus จึงดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ (แถมผู้พัฒนาเคยรับปากว่าจะวางจำหน่ายปีนี้)   เกม Dark Souls Remastered ดูจะเป็นเกมเดียวที่อาจจะมีความเป็นไปได้ โดยใน Amazon Italy ลงวันวางจำหน่ายไว้เป็นวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ Nintendo จะวางจำหน่าย Amiibo Solaire of Astora จึงดูจะสมเหตุสมผลที่สุดในเกมที่หลุดออกมา
02 Jul 2018
ขา PC ยิ้ม! Dark Souls: Remastered หลุดใน Steam ก่อนขายจริงหนึ่งวัน!
สำหรับเกมเมอร์สายโหดทั้งหลายที่รอจะสัมผัสเกมสุดฮิดอย่าง Dark Souls ในเวอร์ชันปรับปรุงใหม่อีกครั้ง สามารถเข้าไปโหลดเกมมาเล่นผ่าน Steam ได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน จากกำหนดการเดิมที่จะวางจำหน่ายพรุ่งนี้! โดยนอกจากกราฟิกแล้ว ในเวอร์ชันใหม่นี้ยังปรับปรุงการทำงานของเกมให้เป็น Full-HD 1080p (และซัพพอร์ต 4K) 60FPS อีกด้วย (ภาค Switch สุดแค่ 30FPS) และแก้บั๊กหลายๆ จุดทำให้เกมเป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ เวอร์ชันใหม่ยังปรับปรุงระบบอื่นๆ ในเกมขึ้นเล็กน้อย เช่นทำให้สามารถรองรับผู้เล่นในโหมดออนไลน์ได้ 6 คนจากเดิมได้ 4 คน เป็นต้น สำหรับผู้ที่เคยซื้อเกมเวอร์ชัน Dark Souls: Prepare to Die Edition มาก่อนแล้ว สามารถซื้อเกมเวอร์ชันใหม่นี้ได้ในราคา 50%! เพื่อนๆ ที่เคยเล่นแล้วคิดถึงบอสตัวไหนใน Dark Soul มากที่สุด คอมเมนต์เข้ามาคุยกันนะ!
24 May 2018